ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,784 รายการ
นำเข้าโบราณวัตถุเข้ามาในราชอาณาจักร
ขั้นตอนและวิธีการขออนุญาตนำโบราณวัตถุเข้ามาในราชอาณาจักร
โบราณวัตถุที่จะขออนุญาตนำเข้ามาในราชอาณาจักร มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
๑. ประเภทของโบราณวัตถุ
โบราณวัตถุที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ได้แก่ โบราณวัตถุที่มีแหล่งกำเนิด
ในต่างประเทศ ประเภทพระพุทธรูป เทวรูป หรือรูปเคารพในศาสนา และชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบของ
โบราณสถานตามพิกัดอัตราอากรขาเข้า ประเภทที่ ๙๗๐๓.๐๐๙ แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. พระพุทธรูป
๒. เทวรูปหรือรูปเคารพในศาสนา
๓. ชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบของโบราณสถาน
๒. วัตถุประสงค์ในการขอนำเข้ามาในราชอาณาจักร
๑. นำมาจัดแสดงเพื่อการศึกษาและเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว
โดยมีกำหนดระยะเวลาในการจัดแสดง และส่งกลับไว้แน่นอน
๒. เพื่อการสักการบูชา ในปริมาณไม่เกิน ๒ ชิ้น
๓. เพื่อบริจาคให้แก่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ
๓. ระยะเวลาที่ขอนำเข้ามาในราชอาณาจักร
กรมศิลปากรจะได้พิจารณาอนุญาตเป็นกรณี ๆ ไป
๔. ผู้ขออนุญาตนำโบราณวัตถุเข้ามาในราชอาณาจักรจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้
(๑) ผู้ขออนุญาตจะต้องไปซื้อแบบฟอร์มในการขออนุญาตนำเข้า (แบบ ข.๑ ข.๒ หรือ ข.๓
แล้วแต่กรณี) ที่กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี พร้อมกรอกรายละเอียดต่าง ๆ
ตามแบบฟอร์ม
(๒) ผู้ขออนุญาตทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศิลปากร โดยแจ้ง เรื่อง ขออนุญาตนำพระพุทธรูป หรือ
เทวรูปหรือรูปเคารพในศาสนา หรือชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบของโบราณสถาน หรือทั้งหมด
เข้ามาในราชอาณาจักร โดยแจ้งรายละเอียด จำนวน ชนิด ขนาด (กว้าง, ยาว, สูง เป็น
เซนติเมตร) ของโบราณวัตถุ และระบุสถานที่เก็บโบราณวัตถุที่นำเข้าพร้อมหมายเลข
โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้
(๓) เอกสารแนบการขออนุญาตนำเข้าประกอบด้วย
๑. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
๒. สำเนาทะเบียนบ้าน
๓. หลักฐานการซื้อขาย
๔. ใบขนส่งสินค้า หรือ Invoice
๕. ถ้าเป็นโบราณวัตถุจะต้องขอใบอนุญาตนำของออกจากประเทศนั้นๆ ด้วย
(๔) ภาพถ่ายโบราณวัตถุที่ขออนุญาตนำเข้าเฉพาะด้านหน้า โดยถ่ายภาพ ๑ ครั้ง อัดพร้อมกัน
จำนวน ๒ ใบ ขนาด ๓ x ๕ นิ้ว
(๕) ผู้ขออนุญาตจะต้องทำหนังสือขออนุญาตด่านศุลกากรเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร
เข้าตรวจพิสูจน์โบราณวัตถุในคลังตามระเบียบกรมศุลกากร
(๖) ผู้นำเข้าจะต้องจัดพาหนะ รับ – ส่ง พนักงานเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ไปตรวจพิสูจน์
โบราณวัตถุนั้น ๆ
๕. สถานที่ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
• สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เลขที่ ๘๑/๑ ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิระ เขตดุสิต
กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท์ , โทรสาร ๐ ๒๖๒๘ ๕๐๓๓, ๐ ๒๒๘๑ ๖๗๖๖
• สำนักงานเลขานุการกรม กลุ่มนิติการ โทรศัพท์ ๐ ๒๒๒๒ ๔๕๖๖, ๐ ๒๒๒๕ ๘๙๕๘
โทรสาร ๐ ๒๒๒๖ ๑๗๕๑
อบรมผู้ใช้งานระบบสัมมนาออนไลน์ ในวันที่ 22 มีนาคม 2556
ตั้งแต่เวลา 9.00 - 16.00 โดยเจ้าหน้าที่บริษัท เอ็มเวิร์ค กรุ๊ป จำกัด
รายงานบัญชีงบทดลองและเอกสารประกอบงบทดลอง สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา (เดือนสิงหาคม ๒๕๖๒)
กล่าวถึงตำนานวังหลัง เจ้าต่างกรมในกรมพระราชวังหลัง พระโอรสธิดาในกรมพระราชวังหลัง กรมหมื่นนราเทเวศร์สิ้นพระชนม์ ปราบกบฏเวียงจันท์
อบรมผู้ใช้งานระบบสัมมนาออนไลน์ ในวันที่ 22 มีนาคม 2556
ตั้งแต่เวลา 9.00 - 16.00 โดยเจ้าหน้าที่บริษัท เอ็มเวิร์ค กรุ๊ป จำกัด
ไข้ทรพิษหรือฝีดาษ เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถติดต่อผ่านได้จากการสัมผัสหรือการหายใจรดกัน เป็นโรคที่มีการระบาดรุนแรงและรวดเร็ว มีการกล่าวถึงโรคชนิดนี้มากว่า ๒,๐๐๐ ปี ส่วนในไทยเริ่มปรากฏหลักฐานช่วงสมัยอยุธยา ระบุว่ามีการระบาดและทำลายชีวิตคนเป็นจำนวนมาก ซิมอง เดอ ลาลูแบร์ ราชฑูตฝรั่งเศสในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถึงระบุว่า "โรคห่า"ของไทยที่แท้จริงคือ"โรคไข้ทรพิษ"นั่นเอง มาถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ "หมอบรัดเล" ได้เข้ามาเมืองไทยในฐานะแพทย์มิชชันนารีสังกัดคณะมิชชันนารีอเมริกัน ได้ทำการปลูกฝีให้คนไทย ช่วยรักษาชีวิตราษฎรไว้เป็นจำนวนมากอีกทั้งเขียนตำรา"ปลูกฝีโคให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้"ซึ่งช่วยให้การสาธารณสุขของไทยมีความก้าวหน้าได้ระดับหนึ่ง และประการสำคัญพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ตรา"พระราชบัญญัติจัดการป้องกันไข้ทรพิษ พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ " เพื่อเป็นกฏหมายบังคับใช้ทั่วประเทศให้คนไทยทุกคนต้องปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ โดยเริ่มในทารกตั้งอายุ ๖ เดือนเป็นต้นไป การปลูกฝีไข้ทรพิษตามที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุ ระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๑ -๒๔๗๓ ทำให้เห็นว่ารัฐได้พยายามป้องกันและรักษาโรคอย่างต่อเนื่องได้แก่ ๑.ออกหนังสือป้องกันโรค ๒.จำหน่ายและแจกยาโรยฝีหนองของโอสถสภา ๓.ออกใบปลิวทั้งภาษาไทยและภาษาจีน ๔.ให้แพทย์หลวงและแพทย์ตำบลออกไปปลูกฝีหนองตามหมู่บ้าน และกำชับให้ราษฎรมาปลูกฝีซ้ำหากปลูกครั้งแรกไม่ขึ้น ๕.วางระเบียบการเบิกฝีหนอง ถ้าไม่ได้รับในเวลาสมควรต้องรีบแจ้งกรมสาธารณสุขโดยด่วนเพราะฝีหนองอาจหมดอายุได้ เห็นได้ว่ารัฐพยายามควบคุมการระบาดของโรคนี้อย่างต่อเนื่อง จากแบบรายงานประจำปี พ.ศ.๒๔๗๒ ของสาธารณสุขมณฑล แจ้งเสนอไปยังสมุหเทศาภิบาลมณฑล ความว่า"...ในมณฑลนี้มีพลเมืองทั้งสิ้น ๑๖๖,๖๖๕ คน ได้มีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ รวม๒๖,๔๔๑ คน โดยแพทย์สาธารณสุขปลูกให้และปลูกโดยเงินบำเหน็จ(จ้างแพทย์เชลยศักดิ์และแพทย์ตำบล โดยคิดค่าบำเหน็จให้วันละ ๑บาท)..." ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ มีรายงานจากขุนประสาทประสิทธิการ นายอำเภอมะขาม แจ้งมายังสมุหเทศาภิบาลมณฑลจันทบุรี ว่าเกิดไข้ทรพิษที่บ่อนอก ตำบลบ่อไพลิน เมืองพระตะบอง อินโดจีนของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนติดกับฝั่งมณฑลจันทบุรีด้านกิ่งกำพุช อำเภอมะขาม(ปัจจุบันคืออำเภอโป่งน้ำร้อน) และมีคำสั่งด่วน"...ให้ขุนอนันต์ไปประจำตรวจคนต่างด้าวที่กิ่งกำพุช ที่จะเข้ามาในพระราชอาณาเขตต์ จะต้องปลูกฝีทุกคน..." และหลังจากนั้นได้สืบทราบว่าเชื้อโรคที่แพร่ระบาดมาจากพวกกุล่าไปค้าพลอยที่เมืองข่า แล้วกลับมาพักพร้อมแพร่เชื้อระบาดที่บ่อดินเหนียว บ่อพะฮี้ บ้านห้วยใส และบ้านกะชุกในเขตเมืองพระตะบอง มีการระบาดมาประมาณ ๓ เดือนแล้วและยังเป็นต่อเนื่อง ดังนั้นวิธีแก้ไขในเบื้องต้นคือปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษให้ แต่ถ้าใครไม่ยินยอมให้ปลูกฝี ก็ห้ามมิให้เข้ามาในสยาม จากเอกสารจดหมายเหตุของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี ที่ปรากฏในเรื่องโรคระบาดไข้ทรพิษ สามารถสะท้อนให้เห็นว่าในช่วงระยะเวลากว่า ๒๒ ปี ที่รัฐพยายามแก้ไขโรคระบาดไข้ทรพิษที่เป็นมหันตภัยร้ายที่คร่าชีวิตคนอย่างมากมาย ได้อย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งพยายามให้ความรู้ทุกรูปแบบเพื่อให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด สุดท้ายก็สามารถกำจัดโรคระบาดชนิดนี้ไปได้อย่างเด็ดขาด ผู้เขียน นางสุมลฑริกาญจณ์ มายะรังษี นักจดหมายเหตุชำนาญการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี เอกสารอ้างอิง -หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี.เอกสารจดหมายเหตุ รหัส(๑๓)มท ๕/๔๐ เรื่องไข้ทรพิษที่บ่อนอก ตำบลบ่อไพลิน เมืองพระตะบอง ซึ่งติดต่อกับกำพุช(๑๓ ม.ค. ๒๔๗๓-๒๒ พ.ค.๒๔๗๔). -หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี. เอกสารจดหมายเหตุ รหัส(๑๓)มท ๕/๓๕ เรื่องสาธารณสุขส่งรายงานประจำปี พ.ศ.๒๔๗๒(๓ ก.ค.๒๔๗๓). -หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี.เอกสารจดหมายเหตุ รหัส(๑๓)มท ๕/๑๐ เรื่อง ให้ระดมจัดการสุขศึกษาเรื่องปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ(๙ มี.ค.๒๔๖๘- ๕ ส.ค.๒๔๗๐). -หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี. เอกสารจดหมายเหตุ รหัส(๑๓)มท ๕/๒ เรื่อง ส่งบาญชีจำหน่ายยาโอสถสภาปลูกไข้ทรพิษแลหนังสือป้องกันโรค(๕ ม.ค. ร.ศ.๑๒๗ - ๒๓ ก.ค. ร.ศ.๑๒๘).
วันศุกร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก ได้จัดโครงการเครือข่ายเพื่อการอนุรักษ์ภาษา ตัวเขียน และวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายอนันต์ นาคนิคม ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี ประธานในพิธี กล่าวรายงานโดย นางสาวระเบียบ หงส์พันธ์ หัวหน้าหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก กาญจนบุรี ในช่วงเช้ามีการแสดงฟ้อนแคน จากกลุ่มชาติพันธุ์ไทยทรงดำ การบรรยาย หัวข้อ "กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดกาญจนบุรี" โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ชิตชยางค์ ยมาภัย หัวหน้าโครงการพันธกิจสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหิดลกับสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และการบรรยาย หัวข้อ "ภาษาโบราณ และพัฒนาการอักษรไทยโบราณ" โดยวิทยากรจากกลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ในช่วงบ่าย ชมการแสดงจากชาวไทยเชื้อสายมอญ ชุดรำหงส์ทอง การเสวนา หัวข้อ "ภาษาถิ่น : สำเนียงเสียงเมืองกาญจน์" โดย ๑.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฟ้อน เปรมพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ๒.นายอ๊อกปาย วงษ์รามัญ ตัวแทนกลุ่มภาษามอญ ๓.นายนรพล คงนานดี ตัวแทนกลุ่มภาษากะเหรี่ยง ๔.นายพฤทธิ์อุกฤษฎ์ ช่างเรือนกุล ตัวแทนกลุ่มภาษาชาวไทยทรงดำ ๕.นายสามารถ คงอาจหาญ ตัวแทนภาษาถิ่นกลางสำเนียงเหน่อ(อ่านสุนทรพจน์เกี่ยวกับเมืองกาญจนบุรี ด้วยสำเนียงเหน่อ) ๖.นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ดำเนินรายการ ในโซนชั้นล่างก็จะมีฐานการเรียนรู้ วิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณี ของกลุ่มชาติพันธุ์ ไทยทรงดำ มอญ และกะเหรี่ยงนำสื่อความรู้เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ของตนมา มาจัดแสดง ทั้งในด้านวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี สาธิตการทำอาหาร และจำหน่ายสินค้า กลุ่มพันธกิจวัฒนธรรมสถานบริรักษ์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย ม.มหิดล work shop ทำขนม สืบสานวัฒนธรรมไทยทรงดำ กลุามหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ เ มีการเขียนอักษรโบราณ ที่เรียกว่า ใบลาน หอจดหทายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี เล่นเกมส์จิ๊กซอว์ แจกรางวัล อุทยานประวัติสาสตร์เมืองสิงห์ นำความรู้เกี่ยวกับอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ขุดพบโบราณสถานที่สำคัญมาแสดงให้ชม และนิทรรศการ "วิถีและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดกาญจนบุรี"