ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
ความในพระไตรปิฎกระบุว่า กัปปัจจุบันนี้ เรียกว่า ภัทรกัป แปลว่า กัปเจริญ มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดถึง ๕ พระองค์ อุบัติแล้ว ๔ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และพระโคดม คงเหลือพระเมตเตยยะ เรียกกันสามัญว่า พระศรีอาริย์ หรือพระศรีอารยเมตไตรย จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า ตามความเชื่อกระแสหลักในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่สืบมาจากลังกา กล่าวว่าขณะนี้พระศรีอาริย์เกิดเป็นเทพบุตร ประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต รอเวลามาบังเกิดเมื่อสิ้นพุทธกาลของพระโคดม เมื่อล่วงเวลา ๕,๐๐๐ ปี ดังความในบทไหว้ลายลักษณ์รอยพระพุทธบาท ซึ่งชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่ชาวใต้สวดเป็นประจำทุกค่ำคืนว่า “...พระพุทธเจ้า เสด็จเข้านิฤพาน ยังแต่พระศรีอาริย์ ในชั้นดุสิตา พระพุทธรูปัง ยังครองศาสนา ให้สงฆ์ทั้งหลาย กราบไหว้วันทา ต่างองค์พระศาสดา สรรเพชญมุนี รักษาศาสนา ถ้วนห้าพันปี คำพระชินศรี โปรดให้แก่เรา...” เรื่องเล่าในพระพุทธศาสนากล่าวว่า เมื่อพระศาสนาพระสมณโคดมเจ้าถ้วนถึง ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธศาสนาอันตรธานไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายประกอบด้วยอกุศลกรรมหนาแน่น ทำให้มีอายุน้อยถอยลงโดยลำดับ กระทั่งมีอายุ ๑๐ ปี ชายหญิงอายุได้เพียง ๕ ปี ก็แต่งงานกัน กาลนั้นจึงเกิดสัตถันตรกัป สมัยแห่งความพินาศ ด้วยมนุษย์จับอาวุธขึ้นมาประหัตประหารกัน โดยเห็นกันและกันเป็นสัตว์ เรียกว่า มิคคสัญญี เป็นเวลา ๗ วัน จนผืนแผ่นดินเต็มด้วยซากศพ นองด้วยน้ำเลือด น้ำหนอง คนเหล่าหนึ่งหนีไปอยู่ตามลำพังในซอกเขา พุ่มไม้ เถื่อนถ้ำ ที่วิเวก เมื่อครบ ๗ วัน ออกมาพบกัน ชักชวนกันทำการกุศล ด้วยอำนาจการจำศีลภาวนา จึงเกิดฝนตกเป็นเวลา ๗ ราตรี พัดเอาซากศพสิ่งปฏิกูลลอยไป จากนั้นด้วยผลแห่งทาน ศีล ภาวนาของคนทั้งหลาย โลกจึงกลับเจริญขึ้น เกิดห่าฝนมธุรสตกตลอด ๗ วัน เป็นอาหารแก่มนุษย์ ห่าฝนแก้วแหวนเงินทอง ห่าฝนของหอม ห่าฝนชะมด กฤษณา จันทน์จุณ ชำระล้างพื้นแผ่นดิน ให้กลิ่นหอม ห่าฝนข้าวสาร ข้าวเปลือก เลี้ยงชีวิตคน ห่าฝนผ้าผ่อนแพรพรรณ ห่าฝนภาชนะ เครื่องใช้สอย และห่าฝนแก้วมณีทั้งเจ็ด ตกลงทั่วทั้งแผ่นดิน อายุมนุษย์ก็ทวีขึ้นตามลำดับด้วยผลแห่งกุศลกรรม จนอายุยืนถึงอสงไขยหนึ่ง มนุษย์ไม่รู้จักความเจ็บ ความตาย มีความประมาท อายุจึงลดลงเหลือ ๘๐,๐๐๐ ปี ถึงวาระที่พระศรีอารยเมตไตรยจะเสด็จลงมาโปรดคนทั้งหลาย เป็นช่วงเวลาที่โลกมนุษย์เป็นแดนบรมสุข ด้วยความอุดมสมบูรณ์ต่าง ๆ พระศรีอาริย์ จึงมาบังเกิดภายหลังพุทธกาลของพระพุทธเจ้าศากยมุนีเนิ่นนาน นับด้วยอสงไขย เป็นเวลานับประมาณไม่ได้ อย่างไรก็ดี ผู้ปรารถนาจะได้พบ เกิดทันศาสนาของพระศรีอาริย์ มีอยู่เป็นอันมาก ตามพื้นบ้าน พื้นเมือง จึงเกิดการแต่งนิทาน ว่าด้วยพระศรีอาริย์ยุคกึ่งพุทธกาล แสดงเรื่องพระศรีอาริย์จุติลงมาในโลกมนุษย์ เพื่อเยี่ยมโลก ในยุคศาสนาใกล้จะถึง ๒,๕๐๐ ปี ปรากฏเป็นคติความเชื่อเฉพาะถิ่นในที่บางแห่ง อาทิ ตำนานพระศรีอาริย์วัดไลย์ จังหวัดลพบุรี เป็นต้น--------------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ) สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร --------------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง ๑. จรัล ทองวิไล. “ไหว้ลายลักษณ์: วรรณกรรมแหล่บูชารอยพระพุทธบาทแบบฉบับภาคใต้.” นิตยสารศิลปากร, ปีที่ ๖๓, ฉบับที่ ๖ (พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๖๓): ๑๕-๒๙. ๒. เทพ สุทรศารทูล. กาพย์พระมาลัย. กรุงเทพฯ : พระนารายณ์, ๒๕๓๖. ๓. นิยะดา เหล่าสุนทร. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา สำนวน ที่ ๑. กรุงเทพฯ : ลายคำ, ๒๕๕๕. ๔. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก ๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์ ว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า๕. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ๓. จักกวัตติสูตร ๖. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. ๗. สมุดมาลัยและสุบินกลอนสวด. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๕๕. ๘. อภิลักษณ์ เกษมผลกูล และ ดรณ์ แก้วนัย. “พระศรีอาริย์เมืองลพบุรี ฉบับหอสมุดแห่งชาติ.” สยามปกรณ์ปริวรรต เล่ม ๓ งานสำรวจ ศึกษา และปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง. ศูนย์สยามทัศน์ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดพิมพ์เผยแพร่, ๒๕๕๗.
เลขทะเบียน: กจ.บ.8/1-7:1ก-7ก ชื่อเรื่อง: พระอภิธมฺมตฺถสงฺคิณี พระสมนฺตมหาปฏฺฐาน เผด็จ ข้อมูลลักษณะ: อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ประวัติ : ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 จำนวน 1คัมภีร์ 14 ผูก จำนวนหน้า: 94 หน้า
วันอังคารที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยนายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการปรับปรุงอาคารและห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า และร่วมประชุมหารือทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ พร้อมแนะนำแนวทางในการจัดการเข้าชมให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถบริการแก่ประชาชนที่มาใช้บริการได้อย่างเรียบร้อย โดยมีร้อยเอกบุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ให้การต้อนรับ กรมศิลปากร ได้ดำเนินโครงการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติศูนย์ศึกษาวัฒนธรรมบ้านเก่า รวมถึงองค์ความรู้ด้านโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่มีความถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน และเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีมาตรฐานทั้งรูปแบบอาคารที่สะดุดตาโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลุมขุดค้นทางโบราณคดี เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมที่สื่อถึงการพบโบราณวัตถุที่แทรกอยู่ในชั้นดิน ภูมิทัศน์ที่เปิดให้สัมผัสบรรยากาศภูมิประเทศ เพื่อให้เข้าใจถึงการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยบนพื้นที่แหล่งโบราณคดีจริง รวมไปถึงนิทรรศการภายในที่ตั้งให้เป็นพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุด
ชื่อเรื่อง สาวิตรีผู้แต่ง พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพิมพครั้งที่ 2ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ วรรณกรรม วรรณคดีเลขหมู่ 895.912 ม113สสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์คุรุสภาปีที่พิมพ์ 2498ลักษณะวัสดุ 92 หน้าหัวเรื่อง วรรณคดีสันสกฤตภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกสาวิตรี เป็นบทพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ชื่อเรื่อง นิสัยจตุกกนิบาต (นิสัยจตุกกนิบาต)
สพ.บ. 358/3ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 54 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 52.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
โพธิปกฺขิยธมฺม (โพธิปกฺขิยธมฺม)
ชบ.บ.49/1-3
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ติโลกนยวินิจฺฉย (ไตรโลกนยฺยวินิจฺฉย)
ชบ.บ.95ก/1-6
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.249/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 64 หน้า ; 4.5 x 53 ซ.ม. : ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 115 (203-216) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : วินัยกิจ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
โบราณคดีที่ทรงรักทรงรักษา
“...ในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ เรามักจะต้องเดินทางมาก ต้องเข้าไปในภูมิประเทศที่มีลักษณะต่างๆ กัน ลักษณะภูมิประเทศแปลกๆ เหล่านี้ นอกจากมีความสวยงามแล้วยังเป็นเครื่องกำหนดความเป็นอยู่ของมนุษย์ไม่มากก็น้อย สถานที่ส่วนใหญ่ที่เราเยี่ยมเยียนมักจะเป็นชุมชนใหญ่น้อย ที่อยู่อาศัยของคนมากหน้าหลายตาที่มีวิถีชีวิต ถือประเพณี ประกอบการงานอาชีพต่างกัน สถานที่เหล่านี้บ้างก็เป็นชุมชนที่เกิดขึ้นใหม่ แต่เรามักจะพบบ่อยๆ ว่า บริเวณที่ตั้งชุมชนในปัจจุบันนี้เคยมีมนุษย์มาตั้งหลักแหล่ง ทำมาหาเลี้ยงชีพ สร้างสรรค์วัฒนธรรมสืบทอดกันมาแต่อดีตอันยาวนาน บางครั้งเราอาจอดเสียมิได้ที่จะนึกย้อนกลับไปว่า แต่ก่อนสถานที่ที่เรากำลังยืนอยู่ เป็นทางดำเนินชีวิตของบรรพชน ไม่รู้จักเท่าไรที่ผ่านความสุข ความทุกข์ นานาประการ ได้มาและสูญเสียสิ่งต่างๆ จนผืนแผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินไทย ที่เป็นของเรา ที่เราจะต้องถนอมรักษาไว้ให้อยู่ต่อไปอย่างดี...”๑
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงสนพระราชหฤทัยในประวัติศาสตร์โบราณคดีนับแต่ทรงพระเยาว์ ทรงเล่าถึงกิจกรรมสำคัญที่ต้องพระราชหฤทัยอย่างหนึ่ง คือ การศึกษาโบราณคดี หรือประวัติศาสตร์ ในครั้งนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเชิญศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล เพื่อถวายคำบรรยายในเรื่องโบราณคดี และนำเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อทรงเจริญพระชันษา ทรงเลือกสาขาวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอกในการศึกษาปริญญาตรี ที่คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทรงศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาวิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
วิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโท เรื่อง จารึกปราสาทพนมรุ้ง นับเป็นพระราชนิพนธ์ที่ทรงคุณค่าในทางวิชาการ ไม่เฉพาะเพียงเรื่องราวศิราจารึกที่เป็นภาษาตะวันออกเท่านั้น หากยังเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางโบราณคดีของโบราณสถานปราสาทพนมรุ้งด้วย
ความสนพระราชหฤทัยใฝ่รู้และทรงศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยพระองค์เอง เมื่อทรงมีโอกาสนำสรรพวิทยา ที่ทรงเรียนรู้มาถ่ายทอด ทำให้เมื่อทรงตกลงพระราชหฤทัยในการรับราชการที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๓ เป็นต้นมา จึงทรงเลือกสอนวิชาประวัติศาสตร์ และอารยธรรมไทยให้แก่นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อปลูกฝังความรัก ความภาคภูมิในประวัติความเป็นมาของชาติและบรรพชนไทย
นอกจากพระองค์จะทรงสอนในห้องเรียนแล้ว ยังทรงมีพระราชดำริว่า การศึกษาด้วยการฟังบรรยาย การอ่านหนังสือ หรือศึกษาจากสไลด์ภาพนิ่ง หรือสื่ออื่นใดนั้นไม่สามารถให้ภาพที่แท้จริงได้ จึงทรงจัดกิจกรรมทัศนศึกษาประกอบในการสอนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงนำคณาจารย์และนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าไปทัศนศึกษาพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย ในแต่ละครั้งทรงนำนักเรียนของพระองค์ไปยังสถานที่สำคัญทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ รวมถึงสถานที่สำคัญด้านอื่นๆ เช่น การทหาร การเกษตร ฯลฯ ดังที่ได้พระราชทาน สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗ ความตอนหนึ่งว่า
“...การบรรยายถ่ายทอดความรู้ของอาจารย์ให้นักเรียน การเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมออกความคิดเห็น การให้นักเรียนอ่านหนังสือ การค้นคว้าในห้องสมุด การไปศึกษาค้นคว้าต่อในสถาบันที่มีข้อมูล เช่น หอจดหมายเหตุ หรือการออกไปสัมภาษณ์ การออกไปสังเกตการณ์ ออกไปเห็นอะไรๆ ให้กว้างขวาง และรู้จักโยงวิชาการต่างๆ ที่ได้เรียนรู้มาเข้าด้วยกัน ประวัติศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยความเป็นมา ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องอดีตที่ห่างไกลอย่างเดียว ความเป็นมาทุกๆ นาทีที่เปลี่ยนไปก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ โดยคิดอย่างกว้างที่สุด การสอนแต่เรื่องโบราณอาจเป็นประโยชน์แก่นักเรียนน้อยเกินไป ประวัติศาสตร์แบ่งได้เป็นหลายสาขา แต่ต้องโยงเข้าหากันให้ได้ เพราะว่าเป็นปัจจัยของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ประเพณี หรือว่าเทคโนโลยี การใช้วิธีสอนให้ออกไปศึกษานอกห้องเรียนหรือทัศนศึกษาเป็นครั้งคราว เพื่อให้ดูทุกอย่าง และฝึกตัดสินว่าตนเองเห็นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร การดูงานหรือทัศนศึกษาช่วยให้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง ได้พบปะผู้คนที่แปลกออกไปกว่าคนที่เคยพบเห็นอยู่เป็นประจำ ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนฐานะต่างๆ มีลักษณะนิสัยต่างกัน มาจากสิ่งแวดล้อมต่างกัน แล้วฝึกการวิจัย การเรียนรู้นอกห้อง...การจัดแต่ละครั้งต้องการให้นักเรียนได้รับความรู้ทั่วไปทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม ความมั่นคงและการทหาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เรื่องอาชีพราษฎรเป็นเรื่องที่เน้นมากตลอดเวลา...”๒
ในการเสด็จพระราชดำเนินแต่ละครั้ง ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการ นักโบราณคดีผู้ปฏิบัติงานของกรมศิลปากรเป็นวิทยากรนำชม รวมทั้งพระราชทานแนวพระราชดำริในการจัดพิมพ์เอกสารประกอบการทัศนศึกษาในแต่ละครั้ง โดยทรงพระราชนิพนธ์ คำนำ และทรงเป็นบรรณาธิการในการจัดพิมพ์เอกสารนั้นด้วยพระองค์เอง ทรงสนพระราชหฤทัยอย่างจริงจังในงานโบราณคดี และการอนุรักษ์โบราณสถาน
แนวพระราชดำริที่พระราชทานแก่กรมศิลปากรในการเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแหล่งโบราณคดี และโบราณสถาน ถือเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณคดี โบราณสถานอย่างยั่งยืน ซึ่งกรมศิลปากรได้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติสืบต่อมา ดังปรากฏในกรณีต่างๆ ได้แก่แนวพระราชดำริเมื่อเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแหล่งต้นน้ำเมืองสุโขทัย (โซกพระร่วงลองพระขรรค์ และโซกอื่นๆ เมื่อวันที่ ๑๙ - ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๔)
ในครั้งนั้นพระราชทานพระราชานุญาตให้คณะข้าราชการกรมศิลปากร ประกอบด้วย รองอธิบดีกรมศิลปากร (นายนิคม มูสิกะคามะ) ผู้อำนวยการกองโบราณคดี (นายประโชติ สังขนุกิจ) หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (นางสาวมณีรัตน์ ท้วมเจริญ) หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย (นายเอนก สีหามาตย์) ฯลฯ เข้าเฝ้าเป็นกรณีพิเศษ เพื่อรับพระราชทานกระแสพระราชดำริเกี่ยวกับการจัดทำกำหนดการนำนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าไปทัศนศึกษา และแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์โบราณสถานและการจัดการโบราณวัตถุ ซึ่งมีสาระโดยสังเขป ดังนี้
· การบรรยายและนำชมวิทยากรผู้บรรยายมักจะอธิบายรายละเอียดลึกเกินไป มีคำศัพท์เฉพาะต่างๆ ซึ่งทรงเข้าใจ เพราะทรงมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับโบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ เนื่องจากทรงสนพระราชฤทัย และเคยเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโบราณสถาน และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้กราบบังคมทูลอธิบายให้ทราบแต่เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ แต่นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าไม่มีความรู้พื้นฐานด้านนี้ จึงควรใช้ภาษาง่ายๆ ในการบรรยาย ไม่ควรใช้ศัพท์ทางวิชาการมาก หากใช้ก็ควรอธิบายความหมายให้ชัดเจน
· การอนุรักษ์โบราณสถานและการจัดการโบราณวัตถุ กรมศิลปากรควรสร้างคลังพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่เพื่อจัดเก็บของให้เป็นระบบ สามารถใช้เป็นสถานที่ศึกษาเปรียบเทียบโบราณวัตถุ ได้ทรงมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับการขายโบราณวัตถุว่าเป็นสิ่งไม่ควรทำ ถ้าจะขายก็ควรทำเทียมขึ้นมาขายน่าจะดีกว่า
เกี่ยวกับการอนุรักษ์โบราณสถาน พระราชทานแนวพระราชดำริว่า การที่กรมศิลปากรมีบุคลากรปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์โบราณสถานไม่เพียงพอ ควรที่จะเปิดหลักสูตรวิชาเฉพาะเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถานในสถาบันการศึกษาที่อยู่ในการดูแลของกรม เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทางเข้ามาสนับสนุนการปฏิบัติงาน และลดปัญหาการว่างงาน
การอนุรักษ์หลักฐานทางโบราณคดีในบริเวณหลุมขุดค้นวัดชมชื่น อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
เมื่อคราวที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพื้นที่ขุดค้นวัดชมชื่น เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ และทรงถามถึงการอนุรักษ์หลักฐานทางโบราณคดีในบริเวณหลุมขุดค้นนั้น กรมศิลปากรได้น้อมนำพระราชดำริในการอนุรักษ์แหล่งโบราณคดีดังกล่าว ด้วยการจัดให้พื้นที่หลุมขุดค้นวัดชมชื่นเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี โดยสร้างหลังคาคลุมหลุมขุดค้น จัดแสดงข้อมูลพร้อมภาพเกี่ยวกับหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ และการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบแหล่ง ส่งผลให้แหล่งขุดค้นวัดชมชื่นได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของประเทศไทยที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งในเวลาต่อมา
จากแนวพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อันทรงคุณประโยชน์ต่อ การดำเนินงานด้านโบราณคดีและการอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ ดังที่กล่าวมา นับเป็นพระกรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อกรมศิลปากร สะท้อนถึงพระราชหฤทัยที่ทรงรักและทรงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ยั่งยืนสืบไป
อ่านต่อ ที่นี่
ที่มาข้อมูล : หนังสือสิปปธัช : พระผู้เป็นธงชัยแห่งสรรพศิลป์ (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส ๑๐๔ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร)
ชื่อผู้แต่ง : กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง : ตำนานพระแก้วมรกต
ครั้งที่พิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ ๑
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๐๘
จำนวนหน้า : ๖๒ หน้า
หมายเหตุ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพนายเลี่ยม ปราบใหญ่ และนางจู ปราบใหญ่
หนังสือเรื่องตำนานพระแก้วมรกดนี้ มีฉบับอยู่ในหอสมุดแห่งชาติหลายสำนวน ฉบับนี้เข้าใจว่าเป็นสำนวนแต่งในรัชกาลที่ ๕ อาศัยฉบับเดิมซึ่งพระเจ้านันทเสน ผู้ครองนครหลวงพระบาง นำมาทูลเกล้าถวายฯ ในรัชกาลที่ ๑ เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๑ มีรายละเอียดปรากฎอยู่ในบันทึกของเจ้าหน้าที่กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ ซึ่งได้พิมพ์อยู้ในตำนานพระแก้วมรกต ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๗
ชื่อเรื่อง : จดหมายเหตุการเดินทางของราล์ฟ ฟิตช และจดหมายเหตุของวิลาภาเคทะระ เรื่องคณะทูตลังกาเข้ามาประเทศสยาม ชื่อผู้แต่ง : นันทา สุตกุล, แปล. ปีที่พิมพ์ : 2508 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : วัดประยุรวงศาวาสจำนวนหน้า : 146 หน้า สาระสังเขป : เป็นหนังสืออนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางทองอยู่ วีรเวศม์เลขา (สามสูตร) ณ เมรุวัดประยุรวงศาวาส ในวันที่ 21 มีนาคม 2508 และในหนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์เรื่องของจดหมายเหตุการเดินทางของราล์ฟ ฟิตช และจดหมายเหตุของวิลาภาเคทะระ เรื่องคณะทูตลังกาเข้ามาประเทศสยาม โดยนางสาวนันทา สุตกุล ศ.บ. (โบราณคดี) กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรม ศิลปากร ได้แปลและเรียบเรียงไว้
“ สถานพระนารายณ์ ” จาก สถานรวบรวมโบราณวัตถุ สู่ ศักดิ์สิทธิ์สถาน ของชาวโคราช
___________________________________
บริเวณจุดกึ่งกลางเมืองนครราชสีมา นอกจากจะเป็นจุดสูงสุดของเมืองนครราชสีมาแล้ว พื้นที่บริเวณนี้นับว่าเป็น หัวใจของเมืองอีกด้วย เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งในศาสนาพุทธ และศาสนาฮินดู ที่ชาวโคราชให้ความเคารพศรัทธามาอย่างยาวนาน อันได้แก่ วัดกลางนคร (วัดพระนารายณ์มหาราช) ศาลหลักเมือง และสถานพระนารายณ์ ที่จะนำมาเสนอในวันนี้ครับ
.
จุดเริ่มต้นของ สถานพระนารายณ์ นั้น คงเริ่มต้นจากการเป็นจุดที่ผู้คนในอดีต นำโบราณวัตถุ ประเภทชิ้นส่วนประดับสถาปัตยกรรมหินทราย อาทิ ทับหลัง ปราสาทจำลอง กรอบประตู ประติมากรรมรูปเคารพ และรูปบุคคลหินทราย ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ โดยกำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-17 มารวบรวมไว้ ทางด้านทิศใต้ของคูน้ำรอบอุโบสถ วัดกลางนคร แต่จะเริ่มต้นเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน ทั้งนี้เมื่อเวลาผ่านไป จุดรวบรวมโบราณวัตถุแห่งนี้ จึงถูกขนานนามหรือเรียกชื่อใหม่ โดยยึดโยงจากรูปเคารพพระนารายณ์ที่พบ ว่า หอนารายณ์ ศาลพระนารายณ์ และสถานพระนารายณ์ ในเวลาต่อมา
.
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เราเห็นว่า สถานพระนารายณ์ ถูกยกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวโคราชให้ความสำคัญ เป็นระยะเวลาอย่างน้อยกว่า 122 ปี โดยอ้างอิงจากเหตุการณ์คราวล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เสด็จทอดพระเนตร และสักการะ ณ หอนารายณ์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2443 โดยจากภาพถ่ายเก่าจะเห็นได้ว่า สถานพระนารายณ์ในอดีต ถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่ถาวร กระทั่ง พ.ศ.2511 สถานพระนารายณ์ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นอาคารถาวรดังเช่นในปัจจุบัน
.
ใน พ.ศ.2507 กรมศิลปากร ได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายโบราณวัตถุไปเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานมหาวีรวงศ์ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย สถานพระนารายณ์ ในวันนี้ จึงหลงเหลือโบราณวัตถุเพียง 2 รายการเท่านั้น ได้แก่ 1. ประติมากรรมรูปพระนารายณ์ และ 2. ประติมากรรมพระคเณศวร์ ให้ประชาชน ได้เคารพจวบจนถึงปัจจุบัน และจากการขุดค้นทางโบราณคดีใน พ.ศ. 2562 ไม่พบหลักฐาน หรือร่องรอยศาสนสถานใต้ผิวดิน จึงเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า โบราณวัตถุดังกล่าวถูกเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น แต่จะเป็นที่ใดนั้น ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจน
.
ในอนาคตอันใกล้ สถานพระนารายณ์ หลังนี้ กำลังจะถูกรื้อ และสร้างใหม่ ให้งดงาม สมเกียรติ คนโคราช โดยได้รับความร่วมมือทั้งหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชน ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีแผนจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลาย พ.ศ.2565 ที่จะถึงนี้ การนำเสนอในครั้งนี้ จึงมีความตั้งใจให้ทุกท่านได้รำลึก และรู้จัก สถานพระนารายณ์ แห่งนี้ไปพร้อมกัน ครับ
เรียบเรียงนำเสนอโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา