ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัฐกาลที่ ๗)
ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร
เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
วันรัฐธรรมนูญ ตรงกับวันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี
รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายว่าด้วยระเบียบการปกครองประเทศ
วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ
๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
๔. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร
จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอกพระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ
วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
๑. พระมหากษัตริย์
๒. สภาผู้แทนราษฎร
๓. คณะกรรมการราษฎร
๔. ศาล
ลักษณะการปกครอง แม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฎิบัติราชการต่างๆจะต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎร จึงจะใช้ได้สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมา ภิไธยประกาศใช้แล้ว จึงจะมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้ว พิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม
กระทั่งถึงวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิ ได้เปลี่ยนระบอบการปกครอง เป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริการราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็น ที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาจนถึงปัจจุบันรัฐธรรมนูญไทยมีทั้งสิ้น ๒๐ ฉบับ แต่ถ้านับเฉพาะฉบับที่สำคัญจะมีเพียง ๑๓ ฉบับดังนี้
๑. ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช ๒๔๒๗ ประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๕ เดือน ๑๓ วัน
๒. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๑๓ ปี ๕ เดือน
๓. รัฐธรรมนูญฉบับราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ รวมอายุการประกาศและการบังคับใช้ ๑ ปี ๕ เดือน ๒๘ วัน
๔. รัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ รวมอายุการประกาศใช้ ๑ ปี ๔ เดือน ๑๔ วัน
๕. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ ประกาศและบังคับใช้เมื่อ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๒ ปี ๘ เดือน ๖ วัน
๖. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ ประกาศและบังคับใช้ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ รวมอายุและประกาศบังคับใช้ ๖ ปี ๗ เดือน ๑๒ วัน
๗. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๐๒ ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๒ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๙ ปี ๔ เดือน ๒๐ วัน
๘. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๓ ปี ๔ เดือน ๒๐ วัน
๙. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๑๕ ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้เมื่อ วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๑ ปี ๙ เดือน ๒๒ วัน
๑๐. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๒ ปี
๑๑. รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๙ ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๑ ปี
๑๒. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๒๐ รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ ๑ ปี ๑๓ วัน
๑๓. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ (แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๕๒๘)
๑๔. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔
๑๕. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔
๑๖. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
๑๗. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๙ (ฉบับชั่วคราว)
๑๘. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ (รัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ตราไว้ ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนากาลเป็นอดีตภาค ๒๕๕๐ พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม สูกรสมพัดสร สาวนมาส ชุณหปักษ์ เอกาทสิดิถี สุริยคติกาล สิงหาคมมาส จตุวีสติมสุรทิน ศุกรวาร โดยกาลบริเฉท
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่าประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้นําความกราบบังคมทูลว่า การปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ดําเนินวัฒนามากว่าเจ็ดสิบห้าปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการประกาศใช้ ยกเลิก และแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายครั้ง เพื่อให้เหมาะสมแก่สภาวการณ์ของบ้านเมืองและกาลสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ได้บัญญัติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้น มีหน้าที่จัดทําร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับสําหรับเป็นแนวทางการปกครองประเทศ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางทุกขั้นตอนและนําความคิดเห็นเหล่านั้นมาเป็นข้อคํานึงพิเศษ ในการยกร่างและพิจารณาแปรญัตติโดยต่อเนื่อง
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จัดทําใหม่นี้มีสาระสําคัญ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันของประชาชนชาวไทย ในการธํารงรักษาไว้ซึ่งเอกราชและความมั่นคงของชาติ การทํานุบํารุงรักษาศาสนาทุกศาสนาให้สถิตสถาพร การเทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นมิ่งขวัญของชาติ การยึดถือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นวิถีทางในการปกครองประเทศ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครอง และตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม การกําหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภา รวมทั้งให้สถาบันศาล และองค์กรอิสระอื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริตเที่ยงธรรม
เมื่อจัดทําร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว สภาร่างรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบและจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบแก่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ การออกเสียงลงประชามติ ปรากฏผลว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบให้นําร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้บังคับ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงนําร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยสืบไป ทรงพระราชดําริว่าสมควรพระราชทานพระบรมราชานุมัติตามมติของมหาชน
จึงมีพระบรมราชโองการดํารัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ขึ้นไว้ ให้ใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ซึ่งได้ตราไว้ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ตั้งแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป
ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อธํารงคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอํานาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และนํามาซึ่งความผาสุกสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคลอเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่อาณาประชาราษฎรทั่วสยามรัฐสีมา สมดั่งพระบรมราชปณิธานปรารถนาทุกประการเทอญ
1. ตำรายาเกร็ด เช่น ยามหาการ, ยามหาจักร, ยาสายฟ้าฟาด, ยาหอระคุน, ยานมกฤต, แก้ละอองพระบาท, ยาอัมพรรทอง, ยามหาวัง, ลมประจุคาด, ยาสักมหาอุดม ฯลฯ 2. เวทย์มนต์คาถา อักษรขอม ภาษาบาลี เช่น เสกป้องกันรัมะนาด, สะเดาะลูกในท้อง, คาถาปัดพิษ, คาถาขับตะบอง, คาถาปลูกหนอง, โองการโยค ฯลฯ 3. ยันต์ตรีนิสิงเห
นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าฯ กรมพระยา และ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. สาส์นสมเด็จลายพระหัตถ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ภาคที่ 27. พระนคร : กรมศิลปากร, 2499. หนังสือเรื่องสาส์นสมเด็จ ภาคที่ 27 นี้ เป็นลายพระหัตถ์สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ กับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีโต้ตอบกันในบั้นปลายแห่งพระชนมชีพเมื่อทรงว่างจากภาระทางราชการการเมือง และทรงพักผ่อนอย่างเงียบ ๆ พระปรีชาสามารถของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอทั้งสองพระองค์นี้ เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปในหมู่นักศึกษา โบราณคดี ศิลปและวรรณคดี และการปกครอง สาส์นสมเด็จนี้มีอยู่มากมายด้วยกัน ภาคนี้เป็นภาคที่ 27.
หอสมุดแห่งชาติ. ปัญหาพยากรณ์. พระนคร : กรมศิลปากร, 2503.
ปัญหาพยากรณ์เล่มนี้ เป็นการถามตอบในเรื่องราวต่าง ๆ จำนวน 16 ปัญหา ที่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนปริยัติธรรม จัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพท่านเจ้าคุณพระธรรมโมลี อดีตศึกษาจังหวัดสงขลา
ผู้แต่ง : พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร
ปีที่พิมพ์ : 2498
หมายเหตุ : พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้าจิตรปรีดี ประวิตร
พระราชนิพนธ์เรื่องลิลิตนิทราชาคริต เป็นหนังสือที่มีความสมบูรณ์ด้านวรรณคดี มีคติสอนใจ แก่ผู้ครองเรือนโดยทั่วไป และมีคติเตือนใจเรื่องความรักของมารดาที่มีต่อบุตรที่พรรณาไว้อย่างซาบซึ้ง
วิจิตรธรรมปริวัตร, พระยา. พุทธภาสิตานุสสรณ์ และปราภวสุตตคาถา. พระนคร: โรงพิมพ์ไทยเขษม, 2478. พิมพ์เป็นที่ระลึกในการพระราชทานเพลิงศพ พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร (คำ พรหมกสิกร) และในการฌาปนกิจศพ นายจินดา พรหมกสิกร ซึ่งเป็นบุตรของพระยาวิจิตรธรรมปริวัตร วันที่ 24 เมษายน 2478โคลงพุทธศาสนสุภาษิต เล่มนี้ เจ้าคุณวิจิตรธรรมปริวัตร แต่งขึ้น โดยรวบรวมหัวข้อ พุทธศาสนสุภาษิต ซึ่งเป็นกระทู้ธรรม สำหรับนักธรรม ประพันธ์ขึ้น ในลักษณะโคลง ว่าด้วยเรื่อง อัปปมาท กรรม กิเลส ขันติ จิตต์ ตน ธรรม นิพพาน ปัญญา วาจา วิริยะ ศรัทธา ศีล สติ ฯลฯ นอกจากนั้ยังมีโคลงปราภวสุตตคาถา และลิลิตปกิรณกภาษิต294.343ว362พ
เล่าเรื่องประติมานวิทยา: วัชรปรยังกะ (Vajraparyaṅka) ท่านั่งขัดสมาธิเพชร เป็นท่านั่งโยคะ (อาสนะ-asana) หรือท่านั่งบำเพ็ญเพียร ทำสมาธิฝึกจิต เรียกอีกว่า วัชราสนะ (Vajrāsana) หรือ ธยานสนะ (Dhyānasana) วัชรปรยังกะ (Vajraparyaṅka) มีความหมายเกี่ยวข้องกับวัชราสน์ คือบัลลังก์เพชร ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับเมื่อบำเพ็ญสมาธิ ผจญมาร มารวิชัย และตรัสรู้ ลักษณะพระชงฆ์ (แข้ง) ไขว้กันอย่างมั่นคง แลเห็นฝ่าพระบาททั้งสอง มีความหมายเกี่ยวข้องกับการไม่สั่นสะเทือน การไม่เคลื่อนไหว จัดเป็นท่านั่งของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าทั้งหลายเมื่อทำสมาธิ หรือปฏิบัติโยคะ ภาพ 1. ลายเส้นแสดงวัชรปรยังกะ หรือนั่งขัดสมาธิเพชร ภาพ 2. พระพุทธรูปขัดสมาธิเพชร (วัชรปรยังกะ) สมัยรัตนโกสินทร์ -----------------------------------เรียบเรียงข้อมูล: นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ -----------------------------------อ้างอิงจาก 1. Gods, Goddesses & Religious Symbols of Hinduism, Buddhism & Tantrism, 2014, 291. 2. The illustrated dictionary of Hindu iconography, 1985, 151 3. พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรอินเดีย, 2527, 336-337.
ต้นมะขามนี้ มิใช่เป็นต้นมะขามขนาดธรรมดา หากแต่เป็นต้นมะขามยักษ์ที่มีขนาดใหญ่มาก ขนาด 9 คนโอบ หรือประมาณ 9.5 เมตร สูงร่วมๆ 20 เมตร คาดว่าเป็นต้นมะขามใหญ่ที่สุดต้นหนึ่งในประเทศไทย เชื่อกันว่ามีอายุกว่า 1,000 ปี แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่นงดงาม เรียกกันว่า ต้นมะขามคู่บุญขุนแผน จากตำนานที่ย้อนรอยถึงวรรณคดีไทยเรื่อง “ขุนช้าง ขุนแผน” ที่อ้างถึง “ใบมะขาม” ตอนที่ 5 ขุนช้างขอนางพิม ได้กล่าวถึงขุนแผนเมื่อครั้งเป็นสามเณรแก้วได้ร่ำเรียนวิชาคาถาอาคมจากอาจารย์คงที่วัดแค และได้เรียนวิชาเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อตัวแตนไว้โจมตีข้าศึกที่มารุกรานแผ่นดินสยาม... ----------------------------------------ผู้เรียบเรียง นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ----------------------------------------ข้อมูลอ้างอิง กระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. รุกข มรดกของแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมี = The trees of Siam : Treasures of the land under the royal benevolence of his majesty the king. กรุงเทพฯ : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2560. เลขหมู่ 635.977 ว394ร วัดแค สุพรรณบุรี. สุพรรณบุรี : วัน แฟมมิรี่ ปริ้นติ้ง เซอร์วิส, 2555. เลขหมู่ 294.3135 ว416 เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 18. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร, 2544. เลขหมู่ 895.9112 ข521ส ว394
การที่พญามังรายยึดเมืองหริภุญไชยแล้ว จะเห็นได้ว่าไม่ได้นำเอาลักษณะวัฒนธรรมของตนเข้ามา แต่กลับยอมรับในวัฒนธรรมหริภุญไชย โดยมีการบูรณะเจดีย์พระธาตุหริภุญไชย ซึ่งเดิมพระเจ้าอาทิตยราชสร้างไว้เป็นทรงมณฑปให้เป็นทรงกลม นอกจากนี้ สิ่งที่จะยืนยันถึงประเด็นที่เมืองหริภุญไชยเป็นเมืองทางศาสนาคือ ในการย้ายจากหริภุญไชยมาเวียงกุมกาม และมอบเมืองหริภุญไชยให้อ้ายฟ้าปกครองนั้น มีบันทึกว่า " เมืองนี้เป็นเมืองพระเจ้า กูอยู่บ่ได้ " ลักษณะนี้อาจเป็นไปได้ว่า เมืองดังกล่าวคงจะรุ่งเรืองไปด้วยวัดวาอารามยากต่อการขยายเมือง เพราะแม้ในสมัยพญากือนาที่เชิญพระสุมนเถระจากสุโขทัยขึ้นไปเผยแพร่พุทธศาสนา ยังคงมาพักที่วัดพระยืน ลำพูน ก่อนที่จะเข้ามาที่เชียงใหม่ เรื่องราวเหล่านี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมหริภุญไชยกับพญามังรายว่า เมื่อสร้างเวียงกุมกามบทบาทของพระพุทธศาสนาจากหริภุญไชยคงจะต้องแพร่กระจายมาถึงด้วย
หลักฐานทางโบราณคดีที่สามารถชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ คือ ลักษณะทางสถาปัตยกรรม รูปแบบพระพิมพ์ดินเผา และภาชนะดินเผา หลักฐานเหล่านี้เมื่อนำมาเปรียบเทียบ จะสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในรูปแบบศิลปะได้เป็นอย่างดี
หลักฐานประการแรก คือ ลักษณะสถาปัตยกรรมที่วัดกู่คำ หรือวัดเจดีย์เหลี่ยม มีลักษณะรูปแบบเดียวกับเจดีย์กู่กุดหรือสุวรรณจังโกฏิในเมืองหริภุญไชย ข้อแตกรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะทางศิลปะของพระพุทธรูป ลวดลายประดับซุ้มพระ ซึ่งที่เจดีย์เหลี่ยมได้ถูกเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นลักษณะของศิลปะพม่าเมื่อตอนต้นสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ลักษณะโครงสร้างโดยส่วนรวมแล้วมีลักษณะเป็นแบบเดียวกับเจดีย์กู่กุด
ซากเจดีย์อีกองค์หนึ่งที่น่าจะได้ต้นแบบมาจากรัตนเจดีย์วัดจามเทวี ที่มีรูปทรงเป็นรูป ๘ เหลี่ยม มีพระพุทธรูปประดับตามซุ้มในแต่ละเหลี่ยม ส่วนบนเป็นองค์ระฆังกลมเหนือขึ้นไปชำรุดผุพัง นั่นก็คือ ซากเจดีย์ที่วัดเกาะกุมกามทีปราราม
หลักฐานประการที่ ๒ คือ พระพิมพ์ดินเผา ในการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดช้างค้ำ การขุดค้นที่วัดปู่เปี้ย และการขุดค้นที่วัดกุมกามทีปราราม พบพระพิมพ์ดินเผาแบบลำพูนเป็นจำนวนมาก ลักษณะของพระพิมพ์ดังกล่าว มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ การที่พบพระพิมพ์ดินเผาแบบลำพูนเป็นจำนวนมากนี้ ย่อมจะชี้ให้เห็นถึงการสืบเนื่องวัฒนธรรมทางศาสนาจากหริภุญไชยมาสู่เวียงกุมกาม
หลักฐานประการที่ ๓ ภาชนะดินเผาแบบหริภุญไชย ที่มีหลายรูปแบบ เช่น แบบลำตัวป่อง ปากเล็ก มีฐาน หรือแบบคล้ายน้ำต้นที่เนื้อหนากว่า โดยเฉพาะลวดลายที่เป็นแบบขีดรูปสามเหลี่ยมมีเส้นอยู่ภายในและทาน้ำดินสีแดงเข้ม พบจากการขุดค้นและขุดแต่งในเขตเวียงกุมกามเป็นจำนวนมาก
อ้างอิง : นิตยสารของกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ปีที่ ๓๑ เล่มที่ ๕ พฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๓๐
ชื่อเรื่อง เทศนาวิภังค์-มหาปัฏฐานสพ.บ. 195/3ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 28 หน้า : กว้าง 4.7 ซ.ม. ยาว 55 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
มณฑป : เมืองศรีสัชนาลัย
เมืองศรีสัชนาลัยมีการพบอาคารประเภทมณฑปเป็นจำนวนมาก ซึ่งความนิยมในการสร้างมณฑปเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปที่เมืองศรีสัชนาลัยมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพุทธศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาที่มีต้นกำเนิดจากลังกา การสร้างมณฑปนอกจากจะพบในวัฒนธรรมสุโขทัยแล้ว ยังนิยมสร้างและแพร่หลายในวัฒนธรรมของล้านนาด้วย โดยสร้างเป็นอาคารที่เรียกว่า “กู่” หรือ “ปราสาท” เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งเป็นคติความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการจำลองคันธกุฎี โดยในพุทธประวัติกล่าวว่า “คันธกุฎี” เป็นที่ประทับขององค์พระพุทธเจ้า ณ เชตวันวิหาร ในเมืองสาวัตถี
การสร้างอาคารทึบตันที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอย่างมณฑปสุโขทัยนี้ จะมีความสอดคล้องกับการสร้าง “ปฏิมาฆระ” ที่แพร่หลายอยู่ในศิลปะลังกา ซึ่งเป็นอาคารประดิษฐานพระพุทธรูปโดยเฉพาะ สร้างขึ้นจากความเชื่อที่ว่าพระพุทธรูป คือ รูปจำลองขององค์พระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงต้องสร้างให้มีที่ประทับส่วนพระองค์ โดยลักษณะแผนผังของปฏิมาฆระในลังกาจะมีความคล้ายกับแผนผังของมณฑปสุโขทัย คือ เป็นห้องสี่เหลี่ยม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป และมีช่องเปิดด้านหน้า
หลักฐานที่กล่าวถึงคำว่า “มณฑป” ในสมัยสุโขทัย ปรากฏความใน จารึกวัดอโสการาม ด้านที่ ๒ มีการจารึกเป็นอักษรไทยสุโขทัย ในปี พ.ศ.๑๙๔๒ กล่าวถึง สมเด็จพระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ พระอัครมเหสีในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ทรงมีพระราชศรัทธาประดิษฐานพระสถูปบรรจุพระบรมธาตุไว้ในวัดอโสการาม ความว่า “...ทรงได้พระบรมธาตุมาแต่ลังกา ๒ องค์ คือ องค์ขนาดกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหัก สีแก้วผลึก องค์ขนาดเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด สีดอกพิกุลแห้ง ทรงบรรจุไว้ ณ ห้องพระธาตุในพระสถูปซึ่งทรงสร้างพร้อมกับ (นว)กรรม (สิ่งก่อสร้าง) ทั้งปวง คือ วิหาร มณฑป เจดีย์ ปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ ในวันอันเป็นศุภวารขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะ จุลศักราชนับได้ ๗๖๑...” จากข้อความที่ปรากฏในจารึกนั้น คำว่า “มณฑป” คงเป็นที่รู้จักแล้วอย่างน้อยในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐
------------------------------------
เรื่องและภาพโดย : อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย กรมศิลปากร
เอกสารอ้างอิง
-วิไลรัตน์ ยังรอด, เรียนรู้สุโขทัย ศรีสัชนาลัย, ๒๕๕๑.
-สงวน รอดบุญ , พุทธศิลปสุโขทัย, ๒๕๒๑.
-ทรงยศ วีระทวีมาศ, มณฑปแบบสุโขทัยในศรีสัชนาลัย, ๒๕๓๓.
-กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุโขทัย, ๒๕๒๖.