ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.80/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  50 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 50 (78-93) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ --เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม 


เลขทะเบียน : นพ.บ.150/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  50 หน้า ; 4.5 x 57 ซ.ม. : ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 92 (404-407) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ตำรายาแผนโบราณและกฏหมาย ชบ.ส. ๖๓เจ้าอาวาสวัดเทพประสาท ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.26/1-5 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)



     "เจี๋ย เซียง เหฮียง  ประเพณีปีใหม่เมี่ยน" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีปีใหม่ของกลุ่มชนเมี่ยน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ทางแถบจังหวัดตอนบนของประเทศไทย เมี่ยน อิ้วเมี่ยน หรือเย้า  สันนิษฐานว่าชื่อกลุ่มชาติพันธุ์มาจากชื่อเดิมว่า อี-ยู่เมี้ยน ในภาษาเวียดนาม เรียกชื่อกลุ่มชนนี้ว่า ม้าน และเป็นคำในภาษาจีนที่หมายถึงอนารยชน ตระกูลภาษา คือ สาขาของตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน (แม้ว-เย้า) หรือ เมี่ยว-เย้า (Miao-Yao) ในภาษาตระกูลจีน-ทิเบต ที่มีอิทธิพลจีน ลาว ไทยปะปนอยู่ ใช้อักษรจีนเป็นอักขระในการเขียน จดบันทึกต่างๆ กลุ่มชนเมี่ยนมีถิ่นกำเนิดเดิม อยู่บริเวณตอนใต้แถบที่ราบรอบทะเลสาบตง  ถึงในลุ่มแม่น้ำแยงซี ของสาธารณรัฐประชาชนจีน  ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖   จึงเริ่มมีการอพยพมาทางใต้และตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม ตอนเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทางตะวันออกของสหภาพพม่าแถบเชียงตุง และบริเวณทางเหนือของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา  จังหวัดน่าน จังหวัดลำปาง จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดตาก และจังหวัดเพชรบูรณ์ สำหรับในจังหวัดน่าน มีการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชนเมี่ยน อยู่ในพื้นที่อำเภอต่างๆ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอท่าวังผา อำเภอสองแคว  อำเภอปัว อำเภอเวียงสา และอำเภอบ่อเกลือ เทศกาลปีใหม่ของชาวเมี่ยนจะจัดเป็นประจำทุก ๆ ปี หลังจากปีเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับชนเผ่ากลุ่มอื่น ๆ ทั่วไป เนื่องจากกลุ่มชนเมี่ยนใช้วิธีนับวัน เดือน ปี แบบจีน วันฉลองปีใหม่จึงเริ่มพร้อมกันกับชาวจีน คือ วันตรุษจีน ภาษาเมี่ยน เรียกว่า “เจี๋ยฮยั๋ง” ก่อนที่จะถึงพิธีเจี๋ยฮยั๋งนี้ ชาวบ้านแต่ละครัวเรือน จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นทั้งของใช้ส่วนตัว และของใช้ในครัวเรือนให้เรียบร้อยก่อน  เพราะเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว จะมีกฎข้อห้ามหลายอย่างที่ชาวเมี่ยนยึดถือและปฏิบัติกันต่อ ๆ กันมา  ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ญาติพี่น้องของชาวเมี่ยนแต่ละครอบครัว ซึ่งแต่งงานแยกครอบครัวออกไปอยู่ที่อื่น จะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่และญาติพี่น้องของตนเอง ซึ่งเป็นการพบปะสังสรรค์ และทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษร่วมกัน (เสียงเมี้ยน) การประกอบพิธีจะมีทั้งหมด  ๓ วัน ได้แก่ วันแรก ถือว่าเป็นวันสิ้นปีเก่า ซึ่งวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะทำการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ (ประเพณีของบางหมู่บ้าน อาจทำมาก่อนแล้วภายใน ๑ สัปดาห์) การทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษร่วมกัน (เสียงเมี้ยน) เป็นการแสดงความขอบคุณแก่วิญญาณบรรพบุรุษที่ได้คุ้มครองดูแลในรอบปีที่ผ่านมาด้วยดี หรือบางครอบครัวที่มีการบนบานเอาไว้ก็จะทำพิธีแก้บน และเซ่นไหว้กันในวันนี้ นอกจากนั้นในวันสิ้นปีนี้ชาวเมี่ยนจะเตรียมข้าวของเครื่องใช้และจะซักผ้าทำความสะอาดบ้าน ให้เรียบร้อยก่อนวันขึ้นปีใหม่อีกด้วย วันที่ ๒ ตรงกับวันตรุษจีนถือว่าเป็นวันปีใหม่ หรือวันถือ แต่ละครอบครัวจะตื่นแต่เช้ามืด แล้วเดินไปหลังบ้านเพื่อเก็บก้อนหินเข้าบ้าน เป็นเสมือนการเรียกขวัญเงินขวัญทองเข้าบ้าน เชื่อว่าเงินจะไหลมาเทมาสู่ครอบครัว ทำให้ครอบครัวมีความสุข และในวันนี้ผู้ใหญ่จะต้มไข่เพื่อย้อมไข่แดง ส่วนเด็ก ๆ ตื่นขึ้นมาก็จุดประทัด หรือยิงปืนเพื่อเป็นสิริมงคล และเฉลิมฉลองปีใหม่  ในวันปีใหม่ชาวเมี่ยนจะทำแต่ในสิ่งที่เป็นมงคลเท่านั้น เช่น สอนให้เด็กเรียนหนังสือ ฝึกเด็กให้รู้จักทำงาน นำสิ่งที่ดีเข้าบ้านและจะไม่กระทำบางสิ่งบางอย่างที่ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี เช่น จ่ายเงิน ทำงานหนัก เป็นต้น วันที่ ๓ ตามประเพณีแล้ว ชาวเมี่ยนจะไปทำความเคารพบุคคล ที่เคารพนับถือ แต่ในปัจจุบันนี้กระทำกันเฉพาะในบางหมู่บ้านเท่านั้น  ชาวเมี่ยน มีความเชื่อว่า “ไข่ต้มย้อมสีแดง” เป็นการอวยพรปีใหม่ ให้มีโชคลาภ สุขภาพแข็งแรง ชีวิตเจริญรุ่งเรือง และการมอบไข่ต้มย้อมสีแดง ให้กับแขกผู้มาเยือน ถือเป็นการอวยพร ในงานเฉลิมฉลองตรุษจีน และปีใหม่ของชาวเมี่ยน สิ่งที่ชาวเมี่ยนต้องเตรียมก่อนวันปีใหม่ ได้แก่ ๑. อาหารสัตว์ เช่น หยวกกล้วย หญ้าสำหรับเลี้ยงหมูเลี้ยงวัว และอื่น ๆ เพราะชาวเมี่ยนเชื่อว่า  ถ้าไปหาอาหารสัตว์ในวันขึ้นปีใหม่นี้ เมื่อถึงเวลาทำไร่ จะมีวัชพืชขึ้นมาก ทำให้ผลผลิตไม่ดีหรือไม่พอกิน ๒. ฟืน สำหรับหุงต้ม ชาวเมี่ยนเชื่อว่าถ้าไปตัดฟืนในวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้ในตัวบ้านมีแมลงบุ้งมาก ๓. ขนม (ฌั้ว) ใช้สำหรับไหว้พรรพบุรุษ และใช้กินในวันขึ้นปีใหม่ ขนมที่ทำมี ข้าวปุก(ฌั้ว จซง) ข้าวต้มมัดดำ (ฌั้วเจี๊ยะ, ฌั้วจฉิว) ๔. เนื้อสัตว์ ส่วนมากจะฆ่ากันวันที่ ๓๐ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีเก่า มีทั้งหมู และไก่ เพราะเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ ชาวเมี่ยนจะไม่ฆ่าสัตว์ มีความเชื่อว่า ถ้าฆ่าสัตว์ในวันขึ้นปีใหม่นี้แล้ว จะทำให้การเลี้ยงสัตว์ไม่ดี และทำให้เกิดโรคต่าง ๆ แก่สัตว์ได้ ๕. เตรียมไข่ เพื่อจะมาย้อมเป็นสีแดง สำหรับย้อมให้เด็ก และญาติพี่น้องที่มาเที่ยวในวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นสิริมงคล และเป็นสิ่งที่ดีงาม ๖. ของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้าเครื่องประดับ และอื่น ๆ จะต้องเตรียมให้พร้อมก่อนวันขึ้นปีใหม่ เพราะในวันขึ้นปีใหม่ ชาวเมี่ยนห้ามใช้เงิน ถ้าใช้เงินในวันนี้เชื่อว่า เวลามีเงินแล้ว จะไม่สามารถเก็บได้ ต้องจับจ่ายออกไปจะยากจน และไม่สามารถหาเงินทองได้ ๗. ประทัด ใช้จุดเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว เป็นการแสดงความยินดีที่ปีเก่าได้ผ่านไปด้วยดี และต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ธรรมเนียมที่ชาวเมี่ยนยึดถือปฏิบัติในวันปีใหม่  ๑. ไม่ใช้เงิน เพราะเชื่อว่า ถ้าใช้เงินจะไม่สามารถเก็บเงินอยู่ได้ ๒. ไม่ฆ่าสัตว์ เชื่อว่า จะเลี้ยงสัตว์ไม่เจริญ ๓. ไม่ทำไร่ เชื่อว่า จะปลูกพืชไม่งอกงาม ๔. ไม่เก็บฟืนและหาอาหารสัตว์ วันพักผ่อนก็ควรพักผ่อน ๕. ไม่กินอาหารประเภทผัก  อย่างไรก็ตามเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตและประเพณีของชาวเมี่ยน นอกจากประเพณีปีใหม่ที่ได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น ยังมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่น่ารู้อีกมากมาย ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยนเท่านั้น เพราะในจังหวัดน่านเอง ยังมี กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในพื้นที่อำเภอต่างๆ เช่น ม้ง ลัวะ มลาบรี ยวน เป็นต้น ที่ล้วนแล้วแต่มีวิถีชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน ซึ่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ก็คงจะได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดน่าน ในโอกาสต่อไป เอกสารอ้างอิง - กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย. เมี่ยน อิ้วเมี่ยน (ออนไลน์), เข้าถึงข้อมูลเมื่อ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔, แหล่งที่มา: https://www.sac.or.th/datab.../ethnic-groups/ethnicGroups/85 - คณะทำงานเอกลักษณ์น่าน. เอกลักษณ์น่าน, เชียงใหม่: MaxxPrint (ดาวคอมพิวเตอร์กราฟฟิก), ๒๔๔๙. - ชลลดา สังวร. เมี่ยน ชีวิต ศรัทธา และผ้าปัก เอกสารประกอบนิทรรศการเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี ๒๕๔๘ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน, ๒๕๔๘. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน. กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดน่าน, ไม่ระบุปีที่พิมพ์.  - ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม. ประเพณีปีใหม่อิ้วเมี่ยน (ออนไลน์), เข้าถึงข้อมูลเมื่อ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔, แหล่งที่มา: http://m-culture.in.th/album - อภิชาต ภัทรธรรม. เย้า, (เอกสาร PDF วารสารการจัดการป่าไม้  ๒๕๕๒  หน้า ๑๓๔ - ๑๔๖: ออนไลน์), เข้าถึงข้อมูลเมื่อ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔, แหล่งที่มา http://frc.forest.ku.ac.th/.../Forest_management...


ชิต บุรทัต. กวีนิพนธ์บางเรื่อง. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2521          เป็นหนังสือรวบรวมผลงานกวีนิพนธ์บางส่วนของชิต บุรทัต จากหนังสือต่างๆ เช่น สรรเสริญพระคเณศวร มหานครปเวศคำฉันท์ ฉันท์ราชสดุดีและอนุสาวรียกถา คติของพวกเราชาวไทย ชาติปิยานุสรณ์ เขาย่อมเป็นผู้เก้อเขิน ตาโป้คำฉันท์ เสียงสิงคาล สัตว์หน้าขน อุปมาธรรมชาติ วารสิสาขะมาส วัสสานฤดู เหมันตฤดู เหมือนพระจันทร์ข้างแรม นิราศแมวคราว สัญชาติอีกา กวีสี่ และกำเนิดแห่งสตรีคำโคลง เป็นต้น




ตราประจำจังหวัดชัยนาท (เดิม) .. ในช่วงเวลาที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นยุคที่มีการปฏิรูปทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ รัฐบาลในยุคนั้น ได้พยายามวางแนวทางให้ประชาชนในชาติอยู่ในระเบียบวินัย เพื่อสนองแนวคิดความเป็นชาติที่มีอารยะ .. ได้มีรัฐนิยมประกาศออกใช้ถึง 10 ฉบับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการพูดจา มารยาท การแต่งกาย และอื่น ๆ ที่รัฐบาลขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตาม .. ความต้องการให้บ้านเมืองมีเอกลักษณ์ของตนเองนี้ ได้รวมไปถึงด้านการปกครองด้วย กล่าวคือรัฐบาลมีความคิดริเริ่มที่จะจัดทำตราประจำจังหวัดขึ้นใช้ นอกเหนือจากตราประจำตัว และตราประจำตำแหน่งข้าราชการ ซึ่งมีมาแล้วแต่โบราณ .. แนวคิดการสร้างตราประจำจังหวัดของผู้นำรัฐบาลครั้งนั้นน่าจะมาจากเหตุหลัก 2 ประการคือ 1. ต้องการมีเครื่องหมายประจำจังหวัด ดังเช่นประเทศในยุโรป ที่มีเครื่องหมายประจำรัฐหรือแคว้นเห็นได้อย่างชัดเจน 2. ต้องการให้ประชาชนในท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตน เนื่องจากตราประจำจังหวัดถือเป็นเอกลักษณ์ที่ใช้ในจังหวัดนั้น ๆ .. จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้มอบนโยบายให้แก่กรมศิลปากร ซึ่งขณะ นั้นมี พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ดำรงตำแหน่งอธิบดี ออกแบบตราประจำจังหวัดทุกจังหวัด โดยกรมศิลปากรได้เริ่มดำเนินการออกแบบตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นต้นมา โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่านของ กรมศิลปากรเป็นหลักในการออกแบบ ได้แก่ ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) เป็นผู้คิดความหมายจากชื่อจังหวัด หรือจากสิ่งสำคัญในแต่ละจังหวัด เพื่อจำลองออกมาเป็นภาพในดวงตราประจำจังหวัด และพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เป็นผู้ร่างแบบตามแนวคิด ทั้งนี้กรมศิลปากรได้เปิดโอกาสให้คณะกรมการจังหวัดทุกจังหวัด มีส่วนในการเสนอข้อมูลและความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา ออกแบบดวงตราประจำจังหวัดด้วย ส่วนการเขียนลงเส้นนั้น มีช่างอาวุโสในแผนกหัตถศิลป กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร เป็นผู้เขียนรวม ๔ นายคือ นายปลิว จั่นแก้ว นายทองอยู่ เรียงเนตร นายปรุง เปรมโรจน์ และนายอุ่ณห์ เศวตมาลย์ .. แต่แนวคิดในการออกแบบตราประจำจังหวัดของแต่ละจังหวัดนั้น กรมศิลปากรได้น้อมรับความเห็นของคณะกรมการจังหวัดทั้ง ๗๔ จังหวัด เพื่อมาใช้ในการออกแบบด้วย เพราะกรมศิลปากรเล็งเห็นว่า จะพิจารณาแนวทางการออกแบบ โดยอาศัยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และความคิดเห็นในเชิงวิชาการเท่านั้นคงจะไม่ได้ เพราะความสำคัญของตราประจำจังหวัดนั้น อยู่ที่ว่าเมื่อทำขึ้นแล้ว ชาวจังหวัดโดยทั่วไปหรือส่วนมากจะพอใจใช้หรือไม่ อนึ่งเครื่องหมายนั้นต้องเป็นเครื่องหมายที่จะให้ใช้ได้ทั่ว ๆ ไป ตลอดถึงเป็นเครื่องหมายสินค้า อุตสาหกรรมของพื้นเมือง จะใช้รูปปูชนียวัตถุสำคัญของจังหวัดนั้น ๆ ก็อาจไม่เหมาะแก่ความนิยมนับถือ ซึ่งการพิจารณาหลายด้านเช่นนี้ กรมศิลปากรจึงต้องหารือกับกรมการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อขอความคิดเห็นไปประกอบการพิจารณาว่า ควรใช้อะไรเป็นเครื่องหมายของจังหวัดนั่นเอง .. โดยกรมการจังหวัดชัยนาทในเวลานั้น ได้เสนอรูปแบบตราประจำจังหวัดให้กับกรมศิลปากร โดยเสนอให้มีรูปพระธรรมจักร และรูปเขาสรรพยาที่มีหนุมานใช้หางพันรอบ ๆ เพื่อหาสังกรณีตรีชวา แต่กรมศิลปากรเห็นว่าวัดธรรมามูล เป็นโบราณสถานสำคัญของจังหวัด เพราะมีพระพุทธรูปที่เรียกกันว่า หลวงพ่อธรรมจักร ที่เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนพลเมืองทั่วไป จึงเห็นควรทำเป็นรูปธรรมจักรกับภูเขา โดย ธรรมจักร มีความหมายถึง วัดธรรมามูล ส่วนภูเขา มีความหมายถึง เขาธรรมามูล หรือเขาสรรพยาก็ได้ .. ภายหลังเมื่อกรมศิลปากรได้ออกแบบตราประจำจังหวัดชัยนาทแล้ว จึงได้ตราประจำจังหวัดที่เป็นรูปธรรมจักร อยู่กลางตราสัญลักษณ์ โดยเบื้องหลังธรรมจักรเป็นรูปภูเขา เบื้องล่างและเบื้องบนของตราล้อมด้วยลายกระหนก .. รูปธรรมจักรและภูเขานั้น เป็นสัญลักษณ์หมายถึง หลวงพ่อธรรมจักร พระพุทธรูปสำคัญซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ วิหารบนเชิงเขาธรรมามูล ที่ชาวชัยนาทเคารพนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปองค์นี้มาก เชื่อว่าจะบันดาลความร่มเย็นเป็นสุข และความอุดมสมบูรณ์ให้แก่บ้านเมือง .. ในปัจจุบันตราประจำจังหวัดชัยนาท ได้มีการปรับเปลี่ยนลักษณะต่างไปจากแบบเดิมของกรมศิลปากร โดยมีการเพิ่มรูปครุฑเข้าไปอยู่ใต้รูปธรรมจักร เนื้อหาและภาพประกอบจากหนังสือ ตราประจำจังหวัด จัดพิมพ์เผยแพร่โดย กรมศิลปากร


ประติมากรรมดินเผารูปสตรี ประดับศาสนสถานสมัยทวารวดี ดินเผา สูงประมาณ ๒๖ เซนติเมตร ศิลปะทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว) พบที่เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ประติมากรรมดินเผารูปสตรี ใบหน้ากลม คิ้วต่อกันเป็นปีกกา ตาเหลือบมองลงต่ำ จมูกโด่ง ปากอมยิ้ม ไว้ผมแสกกลาง มัดผมเป็นจุกกลางศีรษะ ลักษณะคล้ายทรงผมที่พบในประติมากรรมศิลปะอินเดีย สวมเครื่องประดับ ได้แก่ ตุ้มหูรูปห่วงกลม ส่วนปลายของตุ้มหูโค้งเข้าหากัน ใบหูยาวจรดถึงบ่า สวมสร้อยลูกปัดที่มีจี้รูปโค้งประดับตรงกลาง ต้นแขนสวมเครื่องประดับ เครื่องประดับเหล่านี้มีรูปแบบคล้ายกับลูกปัดและเครื่องประดับที่พบภายในเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี           ประติมากรรมดังกล่าวใช้สองมือเกาะขอบฐานด้านล่าง เนื่องจากรอบข้างของประติมากรรมหักหายไป สันนิษฐานว่าหากมีสภาพที่สมบูรณ์ อาจมีลักษณะเป็นรูปวงโค้งเพื่อใช้ประดับศาสนสถานแบบเดียวกับวงโค้งรูปบุคคลที่เรียกว่า”กุฑุ”ซึ่งนิยมใช้ประดับขั้นหลังคาศาสนสถานแทนความหมายของชั้นวิมานในศาสนสถานสมัยทวารวดีที่พบภายในเมืองโบราณอู่ทอง เพื่อแสดงให้เป็นว่าเป็นวิมานของเหล่าเทพต่าง ๆ เป็นรูปแบบศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ และสมัยหลังคุปตะ (ราวพุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๓ หรือเมื่อประมาณ ๑,๓๐๐ - ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว) ทั้งนี้มีหลักฐานการค้นพบ “กุฑุ” ดินเผา ในเมืองโบราณอู่ทอง จำนวนอย่างน้อย ๓ ชิ้น จัดแสดงอยู่ ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จำนวน ๒ ชิ้น และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี จำนวน ๑ ชิ้น------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. ศิลปะทวารวดี ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, ๒๕๕๒. พนมบุตร จันทรโชติ และคณะ. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง และเรื่องราวสุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๕๐.


สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๗ โปรดให้ตีพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพินทุ์เพญภาคย์ ณ วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ 


          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วรรณกรรมหลายประเภท ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น กวีนิพนธ์ และบทความ เป็นงานเขียนที่มีพัฒนาการอย่างสูงสืบเนื่องมาแต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จุดเด่นของวรรณกรรม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มุ่งเน้นการประพันธ์จากวรรณกรรมเริงรมย์ไปสู่วรรณกรรมสะท้อนสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสะท้อนภาพของวิถีชีวิต ค่านิยม และทัศนคติของชนชั้นกลางในการสร้างสังคมประชาธิปไตย อีกทั้งในยุคนี้ยังเป็นยุคเฟื่องฟูของนวนิยายสมัยใหม่ ซึ่งทำหน้าที่สร้างความหฤหรรษ์ทางปัญญาแก่ผู้อ่าน และบุกเบิกแนวทางของวรรณกรรมสัจสังคมนิยม ให้เป็นแนวทางที่โดดเด่นของวรรณกรรมไทยร่วมสมัยมาจนทุกวันนี้ และหนึ่งในวรรณกรรมเล่มสำคัญที่มิอาจกล่าวผ่านเลยไปเล่มหนึ่ง ณ ช่วงเวลานั้น คือ “ดำรงประเทศ”           ดำรงประเทศ เป็นวรรณกรรมที่หายสาบสูญไปเกือบ ๑๐๐ ปี โดยเป็นนวนิยายเรื่องแรกของเวทางค์ หรือ เรืออากาศโททองอิน บุณยเสนา ซึ่งเป็นนักเขียนนวนิยายและเรื่องสั้นร่วมสมัย ในยุคเดียวกับดอกไม้สดและศรีบูรพา แต่น่าเสียดายที่นักเขียนซึ่งใช้นามปากกาว่า เวทางค์ กลับถูกลืมหายไปกับช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านทางสังคมอย่างน่าเสียดาย ดำรงประเทศ เวทางค์ได้เขียนขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพุทธศักราช ๒๔๗๔ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยตีพิมพ์ที่โรงพิมพ์พานิชศุภผล จำหน่ายราคาเล่มละ ๑ บาท สำหรับท่วงทำนองการเขียนเป็นแบบจินตนิยายในแนวปรัชญาการเมือง โดยวางเนื้อเรื่องและบทบาทของตัวละครเน้นไปในทางให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงแก่นธรรมะ และระบอบ การปกครองของประเทศ ซึ่งขณะนั้นยังมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่ผู้เขียนได้เน้นเสนอปรัชญาการเมืองในแบบ "ธรรมาธิปไตย" คือการปกครองโดยธรรมเพื่อความเป็นธรรมของราษฎร ซึ่งเป็นการปลุกให้นักอ่านได้ตื่นตัวแต่มิใช่เป็นการปลุกระดมดังเช่นปัจจุบัน ภายในเล่มของดำรงประเทศ แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น ๑๐ บท คือ บทที่ ๑ การสงคราม บทที่ ๒ กษัตราธิราช บทที่ ๓ การอบรม บทที่ ๔ ทาษของคนหรือชาติ บทที่ ๕ ความรัก บทที่ ๖ การปกครอง บทที่ ๗ เมืองบิตุราชและมาตุภูมิ บทที่ ๘ ความสวาท บทที่ ๙ รัฐประสาสโนบาย และบทที่ ๑๐ สาสนคุณ           ดำรงประเทศ ถูกคัดเลือกให้เป็น ๑ ในหนังสือดี ๑๐๐ เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน ประเภทบันเทิงคดี ด้านนิยาย โดยวิทยากร เชียงกูล และคณะ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ - ๒๕๔๑ ปัจจุบันสำนักพิมพ์ต้นฉบับได้นำนวนิยายเรื่อง ดำรงประเทศ ซึ่งเป็นวรรณกรรมเก่าและหายากมาจัดพิมพ์ขึ้นใหม่เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ เพื่อร่วมอนุรักษ์และเผยแพร่แก่สาธารณะอย่างกว้างขวางอีกครั้งในปีพุทธศักราช ๒๕๕๖           ปัจจุบัน “ดำรงประเทศ” จัดเก็บและให้บริการ ณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ โดยฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๗๔ ให้บริการ ณ ห้องหนังสือหายาก อาคาร ๒ ชั้น ๓ และฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ต้นฉบับ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้บริการ ณ ห้องหนังสือประเทศไทย ราชกิจจานุเบกษา และหนังสือนานาชาติ อาคาร ๑ ชั้น ๓ดำรงประเทศ โดย เวทางค์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๗๔ โรงพิมพ์พานิชศุภผลดำรงประเทศ โดย เวทางค์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักพิมพ์ต้นฉบับ---------------------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวรวิวรรณ พุฒซ้อน บรรณารักษ์ชำนาญการ กลุ่มบริการทรัพยากรสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ---------------------------------------------------------------------บรรณานุกรม ประกาศ วัชราภรณ์. ทำเนียบนักประพันธ์. กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, ๒๕๓๒. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. วรรณกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๗ : การตอบสนองรสนิยมของชนชั้นกลาง วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ๖ (๑): ๗๗ [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔. จาก: https://e-journal.sru.ac.th/ index.php/jhsc/article/view/111/pdf_107. ๒๕๕๗. วิทยากร เชียงกูล. สารานุกรมแนะนำหนังสือดี ๑๐๐ เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๒. เวทางค์. ดำรงประเทศ. พระนคร: โรงพิมพ์พานิชศุภผล, ๒๔๗๔. เวทางค์. ดำรงประเทศ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: ต้นฉบับ, ๒๕๕๖.


โครงการสร้างภาคีเครือข่ายมรดกทางศิลปวัฒนธรรม พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ (รวมใจประชารัฐ ร่วมรักษาโบราณสถาน เพื่อ“ศรีสะเกษ”บ้านเรา) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๒ ระหว่ำงวันที่ ๖-๗ มิถุนำยน ๒๕๖๒ ณ ห้องประชุมสำนักงานจังหวัดศรีสะเกษ ชั้น ๑ ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ



black ribbon.