ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,200 รายการ

ชื่อหนังสือ : ที่ระลึกในพิธีเปิดหอสมุดแห่งชาติ รัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่   ผู้แต่ง : คณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างหอสมุดแห่งชาติรัชมัคลาภิเษก เชียงใหม่   ปีที่พิมพ์ :  ๒๕๓๒   สถานที่พิมพ์ :  กรุงเทพฯ   สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊ฟ         หนังสือที่ระลึกในพิธีเปิดหอสมุดแห่งชาติรัชมัคลาภิเษก เชียงใหม่ เพื่อบันทึกประวัติหอสมุดแห่งชาติ รัชมัคลาภิเษก เชียงใหม่ เพื่อบันทึกคุณงามความดีของผู้มีส่วนร่วมในการจัดตั้งและบริจาคทุนทรัพย์ และเพื่อให้ข้อมูลสังเขปของ ๑๗ จังหวัดภาคเหนือ โดยมีจุดมุ่งหมายว่า หอสมุดแห่งชาติแห่งนี้ จะเป็นศูนย์รวมและให้บริการความรู้และข่าวสารระดับชาติในภาคเหนือ


ชื่อเรื่อง                     ทุคคตะสอนบุตร พาลีสอนน้อง พิเภกสอนเบญกาย และ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ผู้แต่ง                       ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ.ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   วรรณคดีเลขหมู่                      808.882 ป169ทศสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ปีที่พิมพ์                    2506ลักษณะวัสดุ               82 หน้า หัวเรื่อง                     กวีนิพนธ์ไทย – รวมเรื่องภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกทุคคตะสอนบุตร พาลีสอนน้อง พิเภกสอนเบญกาย และ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ จัดพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระศรีสัจญาณมุนี (สวน จิตฺตาสาโท)



ย่อประวัติพระเชตุพน





          กู่โพนวิจ ตั้งอยู่บ้านกู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด อยู่ห่างจากกู่กาสิงห์ ไปทางทิศเหนือประมาณ ๕๐๐ เมตร ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘ ตอนพิเศษ ๑๒๔ ง หน้า ๙ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ มีพื้นที่ประมาณ ๒ ไร่ ๓ งาน ๓๖ ตารางวา           ชื่อ “กู่โพนวิจ” มาจากการพบหลักฐานส่วนฐานรูปเคารพสี่เหลี่ยมผืนผ้า บริเวณเนินโบราณสถานจำนวนหลายชิ้น ประกอบกับพบชิ้นส่วนรางน้ำมนต์ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นฐานส้วม จึงเรียกโบราณสถานแห่งนี้ว่า “โพนเว็จ” หรือ “โพนวิจ”            กู่โพนวิจ ลักษณะเป็นอาคาร ๕ หลัง ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ส่วนฐานอาคารก่อด้วยศิลาแลง แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงจากพื้นดินประมาณ ๒ เมตร ก่อเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงาย ไม่พบบันไดทางขึ้นสันนิษฐานว่าเดิมอาจใช้บันไดไม้ภายหลังได้ผุพังสลายไป เพราะมีร่องรอยของหลุมเสาบนฐานศิลาแลง ซึ่งน่าจะเป็นหลุมเสาไม้ แนวฐานด้านทิศเหนือหายไปเนื่องจากถูกขุดเอาศิลาแลงไปสร้างวัดประจำหมู่บ้าน ในสมัยหลัง พื้นบนฐานเป็นทรายอัดแน่นปูด้วยศิลาแลง บนฐานศิลาแลงก่อเป็นฐานอาคารสูงประมาณ ๗๐ เซนติเมตร จำนวน ๕ ฐาน สันนิษฐานว่าเป็นฐานรองรับอาคารเครื่องไม้ ด้านหน้าทิศตะวันออกของ ฐานอาคาร มีอาคารสองหลังตั้งอยู่ ลักษณะเป็นอาคารผังรูปสี่เหลี่ยมก่อผนังทึบทั้ง ๔ ด้าน อาคารด้าน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือถูกรื้อจนเหลือเพียงแนวหินชั้นเดียว ส่วนอาคารทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์ ภายในเป็นดินอัดแน่น สันนิษฐานว่าเป็นอาคารเครื่องไม้ที่มีฐานสูง ใช้เป็นบรรณาลัยประจำศาสนสถาน           จากการขุดแต่งโบราณสถานและขุดตรวจชั้นดินทางโบราณคดี ใน พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้ทราบว่า กู่โพนวิจสร้างขึ้นบนพื้นที่ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย เนื่องจากพบโบราณวัตถุสมัย ก่อนประวัติศาสตร์และภาชนะบรรจุศพขนาดใหญ่ ซึ่งสัมพันธ์กับประเพณีการฝังศพครั้งที่ ๒ ในภาชนะดินเผา ที่มักพบในแหล่งโบราณคดีวัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้ ต่อมาเมื่อเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ จึงมีการสร้างศาสนสถานเนื่องในศาสนาฮินดูขึ้น โดยพิจารณาจากโบราณวัตถุที่พบ ซึ่งส่วนมากเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะพระนารายณ์และพระศิวะ เนื่องจากพบท่อนพระกรและพระหัตถ์ ของพระนารายณ์ในขนาดต่างๆกัน และจากการขุดแต่งยังพบแท่นโยนีมีช่องเดือย เป็นรูป ๘ เหลี่ยม ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับศิวลึงค์ อันเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของพระศิวะ นอกจากนี้ยังพบทวารบาลรูปมหากาล ซึ่งมักพบในเทวสถานของพระศิวะ ----------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี ----------------------------------------------อ้างอิงจาก สำนักงานศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี. โบราณสถาน กู่โพนวิจ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด. ม.ป.ท. : ม.ป.ป. (อัดสำเนา)




ชื่อเรื่อง                     นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน ครั้งกรุงธนบุรี เมื่อปีฉลู พ.ศ.2324 ผู้แต่ง                       มหานุภาพ, พระยาประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   วรรณกรรมเลขหมู่                      895.9112 ม237นฉสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์วิบูลกิจปีที่พิมพ์                    2503ลักษณะวัสดุ               42 หน้า หัวเรื่อง                     นิราศ                                กวีนิพนธ์ไทย                              หนังสืออนุสรณ์งานศพ      ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   เนื้อหาภายในประกอบด้วย กล่าวถึงเรื่องราวครั้งพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีต่อพระเจ้ากรุงจีน แผ่นดินเขี้ยนหลง ณ กรุงปักกิ่ง  



วัดศรีชุมตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือพอดี สิ่งสำคัญที่ปรากฏอยู่โดดเด่น ได้แก่ อาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ภายในอาคาร มีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ ๑๑.๓๐ เมตร เชื่อกันว่าชื่อพระพุทธรูปเรียกตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า พระอจนะ มีความหมายว่า ผู้ไม่หวั่นไหว สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ราวปี พ.ศ. ๒๔๙๖ - ๒๔๙๙ . คำว่า ศรี มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิมของไทยว่า สะหลี ซึ่งหมายถึงต้นโพธิ์ ดังนั้นชื่อศรีชุม จึงหมายถึง ดงของต้นโพธิ์ แต่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่เข้าใจความหมายนี้แล้ว จึงเรียกสถานที่นี้ว่า ฤๅษีชุม ว่าเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มาประชุมทัพกันอยู่ที่นั้น ก่อนที่จะยกทัพไปปราบเมืองสวรรคโลก อันเป็นต้นตอของตำนานเรื่อง พระพุทธรูปพูดได้ ที่เล่าขานกันต่อมา



เลขทะเบียน : นพ.บ.119/3กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  44 หน้า ; 4.3 x 54.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 67 (214-219) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ (8 หมื่น)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อผู้แต่ง           พระศรีวิสุทธิ์วงศ์ ชื่อเรื่อง            ธรรมบำบัดโรคใจ ครั้งที่พิมพ์        พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์      กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย ปีที่พิมพ์            ๒๕๐๓              จำนวนหน้า       ๘๑ หน้า หมายเหตุ  อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพขุนสุทธินนท์นรการ (กลอด  สุทธินนท์) ณ เมรุวัดควนวิเศษ จังหวัดตรัง วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๐๓                ธรรมะจำเป็นยิ่งแก่คนทุกคน ทุกครอบครัว ทุกหมู่คณะ ทุกประเทศชาติ เหมือนอาหาร อากาศที่บริสุทธิ์และแสงสว่าง จำเป็นยิ่งแก่สิ่งที่มีชีวิตทั่วไป ถ้าขาดธรรมะ ก็จะมีแต่ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญ ไม่ร่มเย็นเป็นสุข เหมือนขาดฝนโชยลงแล้ว จะหาความชุ่มชื่นในพฤกษชาติและพืชพันธุ์ธัญญาหารมิได้เลย เมื่อธรรมะเป็นของจำเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงควรอบรมธรรมะให้เกิดมีเพื่อจะได้เลือกใช้ปฏิบัติให้เหมาะสมตามความจำเป็น