ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,242 รายการ
ในอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีชนชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันหลากหลายกลุ่ม โดยชาวลาวเวียงเป็นชนชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่ในตำบลดอนคาซึ่งปัจจุบันยังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษไว้ อาทิ การพูดภาษาลาว การจัดงานประเพณี การละเล่น การเล่นดนตรี ฯลฯ
ในช่วงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ของทุกปี กลุ่มลาวเวียงในตำบลดอนคาจะจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อบูชาพระยาแถนซึ่งทำหน้าที่ดูแลฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี เดินทางไปสำรวจและบันทึกภาพเหตุการณ์ประเพณีบุญบั้งไฟของชาวลาวเวียง ตำบลดอนคา ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดยในแรก (๑๒ พ.ค. ๕๗) หมู่บ้านทั้งตำบล รวม ๒๐ หมู่บ้าน ได้จัดขบวนแห่หรือเอ้บั้งไฟจากหมู่บ้านของตน ผ่านวัดโภคาราม (วัดดอนคา) ซึ่งเป็นวัดสำคัญของชุมชนไปยังบริเวณหน้าอาคารองค์การบริหารส่วนตำบลดอนคา แต่ละหมู่บ้านตกแต่งรถแห่บั้งไฟอย่างสวยงาม รวมถึงจัดขบวนร้องรำสร้างความสนุกและคึกครื้น ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลดอนคาจัดการประกวดขบวนแห่บั้งไฟ ซึ่งขบวนของหมู่ ๑ บ้านดอนคา,หัวตาล ได้รับรางวัลชนะเลิศ หมู่ ๒๐ บ้านใหม่ใต้ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศลำดับที่ ๑ และหมู่ ๑๘ บ้านหนองทราย ได้รับรางวัลรองชนะเลิศลำดับที่ ๒ และในวันที่สอง (๑๓ พ.ค. ๕๗) ชาวบ้านจัดงานแข่งขันจุดบั้งไฟ ซึ่งนอกจากบั้งไฟจาก ๒๐ หมู่บ้านแล้วยังมีบั้งไฟจากชาวบ้านทั่วไปร่วมจุดด้วย รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๘ ลูก โดยมีการร้องรำและเล่นดนตรีประกอบเพื่อสร้างสีสันและบรรยากาศสนุกครึกครื้นเป็นอย่างมาก
***บรรณานุกรม***
กรมศิลปากร
ทวีปัญญา เล่ม 5 จัดพิมพ์โดยเสด็จพระกุศล ซึ่งสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีทรงบำเพ็ญคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร วันที่ 26พฤศจิกายน พุทธศักราช 2526 ครบ 58 ปี
กรุงเทพฯ
โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย
2526
กรมศิลปากรขอเชิญชวนเด็กและเยาวชน ร่วมกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๖ ในวันเสาร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๖ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติทั่วประเทศ เด็กๆ ที่สนใจสามารถติดต่อเข้าร่วมกิจกรรมในหน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากรใกล้บ้าน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
การจัดกิจกรรมในส่วนกลาง มีดังนี้
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กิจกรรมประกอบด้วย กิจกรรมบนเวที ดนตรีประกอบการเล่านิทาน ,การแสดงของเด็กและเยาวชน กิจกรรมด้านวิชาการ กิจกรรมตอบปัญหา, กิจกรรมแรลลี่, กิจกรรมเปิดโลกกว้างสู่อาเซียน กิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อเด็กและเยาวชน ระบายสี, งานประดิษฐ์จากดินฟีโม่, ชวนน้องปั้นดิน กิจกรรมสันทนาการ โยนห่วงยาง, ปิดลูกโปง, เก้าอี้ดนตรี และกิจกรรมต่างฯ อีกมากมาย สำหรับเด็กๆที่เข้าร่วมกิจกรรม จะได้รับของขวัญของรางวัลทุกคน
- สำนักการสังคีตจัดการแสดงรายการศิลปากรคอนเสิร์ตรอบพิเศษ ชุด “Children’s Day Concert” อำนวยเพลงโดย นายสถาพร นิยมทอง การแสดงจะเป็นการบรรเลงและการขับร้องจากศิลปินกรมศิลปากรร่วมกับสถานศึกษาและสถาบันการดนตรีที่มีชื่อเสียง อาทิ โรงเรียนหลักสูตรการดนตรีกรุงเทพมหานคร โรงเรียนดนตรีวีมุส โรงเรียนราชินี โรงเรียนปราโมชวิทยา รามอินทรา โรงเรียนโพธิสารพิทยากร ตลอดจนเครือข่ายศิลปินจากสถานศึกษา เข้าร่วมฟังได้โดยไม่เก็บค่าบัตรเข้าชม
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธีกิจกรรมประกอบด้วย การบรรยายเกี่ยวกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี และตอบคำถามรับของรางวัล การตอบปัญหาเกี่ยวกับวันเด็ก เรื่องทั่วไป เรื่องอาเซียน การเล่นเกมส์เก้าอี้ดนตรี การต่อจิกซอว์ และกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ เช่น การแข่งร้องเพลง การแข่งเต้น
- สำนักหอสมุดแห่งชาติ กิจกรรมประกอบด้วย การประกวดคัดลายมือ การวาดภาพระบายสี เล่นเกมและกิจกรรมต่างๆ สร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัว ลุ้นรับของรางวัลมากมาย พร้อมทั้งบริการอาหารเครื่องดื่มและรับของรางวัล ฟรีตลอดงาน
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป จัดร่วมกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ กิจกรรมประกอบด้วย การแข่งขันประกวดวาดภาพระบายสี, ซุ้มกิจกรรมศิลปะ โดยคณะจารย์ นักศึกษาจากสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากรวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ศิษย์เก่าสถาบันบัณทิตพัฒนศิลป์, การแข่งขันแรลลี่ตอบปัญหาชิงรางวัล ด้านศิลปะ กิจกรรมสันทนาการ เช่น ดนตรี ประกวดร้องเพลง เกม ฯลฯ โดยความร่วมมือกับสำนักศิลปกรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม, ฉาย DVDแนะนำ และนำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ให้แก่เยาวชนและผู้ปกครองที่เข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งบริการอาหารกลางวันและเครื่องดื่ม
- หอสมุดแห่งชาติเขตลาดกระบัง เฉลิมพระเกียรติ กิจกรรมประกอบด้วย การแสดงรำอวยพร การบรรเลงเพลง จากวงดนตรี “วีรพล” การแข่งขันตอบปัญหา การแสดงบนเวที ประกวดร้องเพลง การแข่งขันวาดภาพ การแข่งขันเรียงความ เกมการละเล่น พร้อมแจกของขวัญของรางวัลมากมาย กิจกรรมในส่วนภูมิภาค อาทิ
- อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย กิจกรรมประกอบด้วย การละเล่น เกมต่างๆ การตอบปัญหา การประกวดร้องเพลง และแจกของรางวัล พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี กิจกรรมประกอบด้วย การประกวดวาดภาพ ระบายสี การปั้นตุ๊กตา การประกวดร้องเพลงและการแสดงออกบนเวที ฯลฯ
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ กิจกรรมประกอบด้วย การแสดงบนเวทีโดยเยาวชนจากโรงเรียนหรือชุมชนต่างๆ ในจังหวัดสุรินทร์ การละเล่นเกมต่างๆ บนเวที ฉายภาพยนตร์ตลอดทั้งวัน และจับฉลากชิงรางวัล
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น กิจกรรมประกอบด้วย กิจกรรมสันทนาการ การแสดงบนเวทีของกลุ่มเด็กนักเรียน การแสดงความสามารถ เล่นเกมตอบปัญหาชิงรางวัล รวมทั้งแจกของรางวัล อาหารและเครื่องดื่ม
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี กิจกรรมประกอบด้วย การแนะนำพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย ด้วยวีดิทัศน์ การบรรยายความรู้เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ของพิพิธภัณฑ์/ศัพท์น่ารู้ เกมตอบคำถามและเกมที่เกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑ์/ข้าวและการทำนา
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดกิจกรรม “ค่ายเยาวชนสุขสันต์ พิพิธภัณฑ์หรรษา” กิจกรรมเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ให้เยาวชนได้เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ และเรียนรู้การปั้นตุ๊กตาพื้นบ้านล้านนาจากครูภูมิปัญญาล้านนา ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ณ โรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ภายในจังหวัด สุพรรณบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ฯลฯ
นอกจากนี้กรมศิลปากรยังเปิดให้เด็กๆ เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และอุทยานประวัติศาสตร์ทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชมอีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สถานที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติทั่วประเทศ
ติดต่อ หน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากรใกล้บ้าน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
ชื่อวัตถุ รองเท้า
ทะเบียน ๒๗/๒๖/๒๕๓๖
อายุสมัย รัตนโกสินทร์
วัสดุ(ชนิด) ไม้กำมะหยี
ประวัติที่มา เป็นรองเท้าของมารดา คือ นางสิวโง้ยตัณฑวณิช ใช้ในการร่วมมือพิธีสำคัญรวมทั้งใส่กับชุดยะหย่า ซึ่งใช้ในงานต่างๆ
สถานที่เก็บรักษา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง
“รองเท้า”
รองเท้ามีลักษณะเป็นร้องเท้าแตะแบบปัก มีส้น ส่วนหัวของรองเท้าปักด้วยกำมะหยี่ ส่วนหัวมีลายปักลักษณะคล้ายดอกไม้บนกำมะหยี่ พื้นและส้นร้องเท้าเป็นกำมะหยี่ ร้องเท้ารูปแบบนี้เรียกภาษามลายูว่า Kasutseretรองเท้ารูปแบบนี้มีพัฒนาการมาจากรองเท้าแบบปักไม่มีส้น เป็นรองเท้าที่ปักด้วยเส้นด้ายซึ่งเป็นไหมสีต่างๆ ลวดลายที่ปักเป็นลายดอกไม้และสัตว์มงคลต่างๆ เช่น ปลา ค้างคาว ผีเสื้อ เป็ด และกวาง เป็นต้น
รองเท้าปักเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้หญิงชาวบาบ๋าคำว่า บาบ๋า เป็นคำที่ชาวภูเก็ตใช้เรียกลูกหลานที่เกิดจากพ่อชาวจีนและแม่ชาวพื้นเมืองโดยใช้เรียกทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่างจากในแถบประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีกลุ่มลูกผสมชาวจีนและชาวพื้นเมืองอยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับในเกาะภูเก็ต แต่ในประเทศเหล่านี้ใช้คำว่า บาบ๋า เรียก ลูกชาย และใช้คำว่า ย่าหยา เรียก ลูกสาว
สำหรับรองเท้าปักรูปแบบนี้นิยมทั้งในสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งหญิงชาวภูเก็ตคงรับความนิยมรองเท้ารูปแบบนี้มาจากแถบมะละกาและปีนัง ทั้งนี้ ในอดีตหญิงสาวที่เตรียมตัวจะออกเรือนต้องเก่งงานเย็บปักถักร้อย “รองเท้า” เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องแต่งกายในวันแต่งงาน ซึ่งหญิงสาวต้องทำร้องเท้าเพื่อใช้สวมในงานมงคลสมรสด้วยตนเอง
ร้องเท้าแตะปักที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลางเก็บรักษาเป็นของนางสิวโง้ยตัณฑวณิชใช้สวมใส่ในงานพิธีสำคัญต่างๆ โดยใส่กับชุดยะหย่าร้องเท้าแตะปัก(Kasutseret) จึงเป็นตัวแทนที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาวบาบ๋าภูเก็ตในเรื่องของการแต่งกายได้เป็นอย่างดี
ศิลาจารึกบ้านพันดุง
เลขทะเบียน ๐๙/๓๒/๒๕๓๐
อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔
หินทราย ขนาด สูง ๖๒ เซนติเมตร กว้าง ๗๖ เซนติเมตร หนา ๑๒.๕ เซนติเมตร
พบที่ บ้านพันดุง ตำบลพันดุง อำเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา
เป็นแผ่นหิน ด้านบนสลักเป็นรูปทรงโค้งแบบกลีบบัว จารึกด้วยอักษรหลังปัลลวะ ภาษาสันสกฤต จำนวน ๑ ด้าน มี ๑๐ บรรทัด ข้อความจารึกสองบรรทัดแรกกล่าวถึง ความนอบน้อมต่อพระศิวะ อันเป็นที่เคารพสักการะของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์
สองบรรทัดต่อไปกล่าวถึงท่านผู้เป็นปราชญ์ คงหมายถึง พระศรีวัตสะ เพราะมีการระบุนามอย่างชัดเจนในสองบรรทัดต่อไปได้สร้างรูปพระหริหระประทับที่ภูเขาซึ่งมีกระแสน้ำไหลแรง คงหมายถึง ภูเขาที่มีน้ำตกไว้ประจำอาศรมพร้อมเทวรูปอื่นๆ
สองบรรทัดที่สาม พระศรีวัตสะได้ถวายวัตถุสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่อาศรม พร้อมทั้งมอบประชาชนจำนวนหนึ่ง ให้เป็นผู้ดูแลรับใช้ในอาศรมด้วย ในสองบรรทัดเดียวกันนี้ ได้กล่าวถึงเหล่าพระมุนีทั้งหลายได้สร้างอาศรมไว้เพราะมีน้ำบริบูรณ์ ทั้งได้สร้างรูปพระสุคตไว้ในอาศรมตามความคิดของฤษี
สองบรรทัดที่สี่กล่าวถึงพราหมณ์ศรีธีธรรมาตกะ และสวามีศรีศิญชระ ได้ฝึกฝนในการบำเพ็ญตบะและการเจริญโยคสมาธิ
สองบรรทัดสุดท้ายซึ่งมีความสำคัญมาก จารึกได้กล่าวถึงการสร้างพระสุคตประติมาไว้ในเมือง ข้อความต่อไปในบรรทัดเดียวกันนี้ อักษรจารึกชำรุดหายไป จึงไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้างพระสุคตประติมา จะเป็นพระศรีวัตสะ พระมุนีพราหมณ์ศรีธีธรรมาตมกะหรือสวามีศรีศิญชระ และในเมืองนี้ก็มิอาจทราบได้ว่าเป็นเมืองอะไร เพราะอักษรชำรุดดังกล่าว
บรรทัดสุดท้ายของจารึก ระบุวัน เดือน ปี ที่สร้างพระสุคตประติมาไว้ในเมืองว่าเป็นวันเสาร์ เดือน ๑ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีศักราช ๗๕๑ (พ.ศ. ๑๓๗๒)
Ban Phan Doong Stone Inscription
Registration No. 09/32/2530
Dvaravati Style, ca 9th century
Sandstone, Height 62 cm. Width 76 cm.
Found at Ban Phan Doong, Kham Talay Sor district, Nakhon Ratchasima province, transferred to Maha Viravong National Museum in 1987
Ban Phan Doong Stone Inscription, Sanskrit written in Pallava Alphabet. The inscription refers to Phra Sri Wat Sa who donated a Harihara sculpture (representing a combined image of Vishnu and Shiva) at the mountain for the hermitage, and who also provided goods and people. Importantly, the last phrase referres to the creation of the Phra Sukata Prathima sculpture and indicates its creation time; Saturday, 1372 B.E. (829 A.D.)
ประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระนี้ เป็นบทประพันธ์ ของเสฐียร โกเศศ ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียงได้อนุญาตให้กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่ได้
๑. ชื่อโครงการ โครงการจัดนิทรรศการถาวร เรื่อง “ประเทศไทยแดนแห่งพุทธธรรม สายสัมพันธ์ไทย-ลังกา” เนื่องในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา
๒. วัตถุประสงค์
๒.๑ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงเป็น
ทูตสันถวไมตรีกับนานาประเทศ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘
๒.๒ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ ๖๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
ระหว่างประเทศไทยและประเทศศรีลังกา ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘
๒.๓ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล
๓. กำหนดเวลา วันที่ ๓ – ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๙
๔. สถานที่ พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ (International Buddhist Museum of
Sri Dalada Maligawa) เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา
๕. หน่วยงานผู้จัด สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สำนักโบราณคดี
กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
๖. หน่วยงานสนับสนุน กระทรวงการต่างประเทศ
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา
สถานเอกอัครราชทูตศรีลังกา ประจำประเทศไทย
๗. กิจกรรม
ปรับปรุงนิทรรศการชั่วคราวที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติให้เป็น
นิทรรศการถาวร เรื่อง “ประเทศไทยแดนแห่งพุทธธรรม สายสัมพันธ์ไทย-ลังกา” จัดแสดงในห้องพระพุทธศาสนาไทย พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา วันที่ ๓ – ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๙ ใช้งบประมาณในเดินทางไปราชการ ณ ประเทศศรีลังกา เป็นเงิน ๒๕๙,๔๒๙.๐๘ บาท (สองแสนห้าหมื่นเก้ากันสี่ร้อยยี่สิบเก้าบาทแปดสตางค์)
๑. เบิกจ่ายจากงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ โครงการจัดนิทรรศการถาวร เรื่อง “ประเทศไทยแดนแห่งพุทธธรรม สายสัมพันธ์ไทย-ลังกา” ณ ห้องพระพุทธศาสนาไทย พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา (งบประมาณกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน)
เป็นเงิน ๒๓๕,๓๙๐.๖๗ บาท (สองแสนสามหมื่นห้าพันสามร้อยเก้าสิบบาทหกสิบเจ็ดสตางต์)
๒. เบิกจ่ายจากงบประมารของกลุ่มแผนงาน โครงการ และวิเทศสัมพันธ์ เป็นเงิน
๒๔,๑๐๑.๔๑ บาท (สองหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยหนึ่งบาทสี่สิบเอ็ดสตางค์)
๘. คณะผู้แทนไทย
สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร ได้จัดส่งคณะเจ้าหน้าไป
กำกับดูแล และดำเนินการปรับปรุงการจัดแสดง ณ ห้องพระพุทธศาสนาไทย พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา คณะทำงานประกอบด้วย
๑) นายพนมบุตร จันทรโชติ ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
๒) นายธนากร กำทรัพย์ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส กองโบราณคดี
๓) นายสุทธิศักดิ์ อรุณศรี นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการ
๔) นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการ
๕) นางสาววิภารัตน์ ประดิษฐอาชีพ ภัณฑารักษ์ชำนาญการ
๖) นายธีรศักดิ์ แป้นรส นักวิชาการช่างศิลป์ปฏิบัติการ
๙. สรุปสาระของกิจกรรม
ความเป็นมาของโครงการ
ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ฯพณฯ ท่านเอกอัครราชทูตศรีลังกา H.E.Mr. Jayaratna Banda
DISANAYAKA ได้ขอให้กรมศิลปากร จัดหาโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่เป็นพระพุทธรูปเพื่อร่วมจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ (International Buddhist Museum) ภายในบริเวณวัดพระทันตธาตุ (วัดพระเขี้ยวแก้ว) เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา กรมศิลปากรได้มอบหมายให้สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ดำเนินการคัดเลือกพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ได้แก่ ทวารวดี ศรีวิชัย เชียงแสน ลพบุรี สุโขทัย อยุธยา อู่ทอง และรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นศิลปวัตถุ รวม ๑๑ องค์ ในราคาประเมิน ๑,๑๐๐ บาท ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕มาตรา ๑๘ ความว่า “ถ้าโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุใดมีเหมือนกันอยู่มากเกินต้องการ อธิบดีจะอนุญาตให้โอนโดยวิธีขายหรือแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์แห่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ...” ให้กับเอกอัครราชทูตศรีลังกาเป็นผู้รับมอบเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ เพื่อนำไปจัดแสดงยังพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวตามคำขอ
ต่อมากรมศิลปากร ได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศว่า วัดพระทันตธาตุ (วัดพระเขี้ยวแก้ว) เร่งรัดให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรไทยประจำกรุงโคลัมโบ ดำเนินการจัดทำนิทรรศการพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยใช้ศิลปวัตถุทั้ง ๑๑ ชิ้นที่กรมศิลปากรได้มอบให้วัดพระทันตธาตุไปแล้ว เพื่อให้ทันการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ ๒,๖๐๐ ปี วันที่องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือวันวิสาขบูชา ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ กระทรวงการต่างประเทศจึงจำเป็นต้องตั้งงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำนิทรรศการ และขอให้กรมศิลปากรดำเนินการออกแบบ จัดทำนิทรรศการชั่วคราวประกอบโบราณวัตถุ ๑๑ ชิ้น เพื่อให้สามารถทันการจัดงานเปิดนิทรรศการในวันวิสาขบูชา เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
ด้วยงบประมาณและเวลาที่จำกัด กรมศิลปากรจึงได้จัดทำชุดนิทรรศการชั่วคราวสำเร็จรูป (knock down) เพื่อสามารถนำไปประกอบการจัดแสดงนิทรรศการชั่วคราวให้ทันพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองดังกล่าว อย่างไรก็ดี ทางวัดพระทันตธาตุ และพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ ได้เรียกร้องที่จะให้มีการปรับปรุงการจัดนิทรรศการถาวรอย่างสมบูรณ์แบบ แต่กระทรวงการต่างประเทศของไทยยังมิได้ตั้งงบประมาณไว้แต่อย่างใด
สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เห็นว่าการปรับปรุงนิทรรศการให้เป็น
นิทรรศการถาวรที่สมบูรณ์จะเป็นการเผยแพร่เกียรติภูมิของประเทศไทย จึงได้จัดทำ โครงการปรับปรุงนิทรรศการ “ประเทศไทยแดนแห่งพุทธธรรม” (Thailand: Land of Buddha Dhamma) ณ ห้องพระพุทธศาสนาไทย พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา นี้ขึ้น เพื่อสามารถนำไปจัดให้ทันงานวันวิสาขบูชาของประเทศศรีลังกาในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
พุทธศักราช ๒๕๕๗ อธิบดีกรมศิลปากรได้เดินทางไปเยี่ยมชมนิทรรศการพระพุทธศาสนา ณ
พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา และได้กำหนดแนวทางในการจัดนิทรรศการเพื่อเป็นการสืบสานสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศศรีลังกาในฐานะมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซึ่งในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ ตรงกับวโรกาสอันเป็นมงคลที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา และครบรอบ ๖๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและประเทศศรีลังกา กรมศิลปากรจึงจัดทำโครงการจัดนิทรรศการถาวร เรื่อง “ประเทศไทยแดนแห่งพุทธธรรม สายสัมพันธ์ไทย-ลังกา” ขึ้น ณ ห้องพระพุทธศาสนาไทย พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงเป็นทูตสันถวไมตรีกับนานาประเทศ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา และเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ ๖๐ ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและประเทศศรีลังกา
ขั้นตอนการดำเนินงานโครงการ
๑. การเตรียมการก่อนการจัดนิทรรศการ
๑.๑ จัดประชุมคณะทำงานการปรับปรุงนิทรรศการ “ประเทศไทยแดนแห่งพุทธธรรม”
ประกอบด้วยข้าราชการจากสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร ได้แก่
๑.๒ วางแผนการดำเนินงานและออกแบบปรับปรุงนิทรรศการ โดยคณะทำงานร่วมกันระหว่างสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สำนักสถาปัตยกรรม และกองโบราณคดี โดยมอบหมายให้นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการ จัดทำบทจัดแสดงและเนื้อหาการจัดแสดง นางสาวบุษกร ลิมจิตติ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมัณฑนศิลป์ เป็นผู้ออกแบบนิทรรศการ
๒. การจัดทำชุดนิทรรศการพิเศษตามแผนงาน และแบบนิทรรศการที่กำหนดไว้
เป็นการจ้างเหมาโดยวิธีพิเศษ ผู้รับจ้างคือ บริษัทดี ทู เกรท จำกัด ดำเนินการจัดแสดงวัสดุ
อุปกรณ์ และวัตถุในการจัดแสดงทั้งหมดโดยทางเรือ และรถ ส่งตรงถึงพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูตไปไทย ณ กรุง โคลอมโบ ประสานงานในการรับพัสดุที่จัดส่ง
๓. การจัดพิมพ์แผ่นพับประกอบนิทรรศการ
จัดพิมพ์แผ่นพับประกอบนิทรรศการจำนวน ๔,๐๐๐ แผ่น เพื่อเผยแพร่ความรู้ และมอบ
ให้กับพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา
๔. การกำกับดูแล และดำเนินการปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการ ณ ห้องพระพุทธศาสนาไทย พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา
๔.๑ การเดินทางของคณะทำงาน
วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ คณะทำงานประกอบด้วยข้าราชจำนวน ๖ ราย ข้างต้น และเจ้าหน้าที่จากบริษัทดี ทู เกรท ๑๒ ราย ได้เดินทางโดยการบินไทย เที่ยวบิน TG 307 เวลา ๒๒.๑๕ น. จากสนามบินสุวรรณภูมิ ถึงสนามบินบันดาราเนยเก เมืองโคลอมโบ เวลา ๐๐.๑๐ น. (ตามเวลาท้องถิ่น) และเดินทางไปยังเมืองแคนดี้ เข้าพักที่โรงแรมโฮโซ
ระหว่างการทำงานที่เมืองแคนดี วันที่ ๔ – ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๙ คณะทำงานได้เข้าพักที่โรงแรมโฮโซ เมืองแคนดี
วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๙ คณะทำงานได้เดินทางจากเมืองแคนดี เข้าเมืองโคลอมโบ เพื่อเดินทางกลับประเทศไทย โดยการบินไทยเที่ยวบิน TG 308 เวลา ๑.๓๐ น. (วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๙) ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย เวลา ๖.๔๕ น.
๔.๒ การกำกับดูแล และดำเนินการปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการ
มีขั้นตอนในการดำเนินงานดังนี้
๑) แกะกล่องพัสดุที่ส่งมาจากประเทศไทย ได้แก่ วัตถุจัดแสดง แผงบอร์ด ตู้ แท่น ฐาน พร้อมครอบอะคริลิค โมเดล และป้ายนิทรรศการ
๒) รื้อ แผงบอร์ด ตู้ แท่น ฐาน เดิมออกเพื่อจัดวางและติดตั้งแผงบอร์ด ตู้ แท่น ฐานชุดใหม่แทนที่
๓) จัดวางและติดตั้งแผงบอร์ด ตู้ แท่น ฐานชุดใหม่
๔) จัดวางวัตถุจัดแสดง ตามส่วนจัดแสดงที่ได้กำหนดไว้ตามแบบจัดแสดง
๕) ติดตั้งแผ่นป้ายนิทรรศการตามแผงบอร์ดที่กำหนดไว้ตามแบบจัดแสดง
๖) จัดวางป้ายประจำวัตถุตามวัตถุจัดแสดงที่กำหนดไว้ตามแบบจัดแสดง
๗) ปรับและติดตั้งระบบแสงสว่างเพิ่มเติมโดยเน้นที่ไฮไลต์ และวัตถุจัดแสดงตามส่วนจัดแสดงที่กำหนดไว้ตามแบบจัดแสดง
ระหว่างการดำเนินการปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการ คณะทำงานได้รับความอนุเคราะห์จาก Mr. Gamini Bandara ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนานานาชาติ เมืองแคนดี จัดเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกในการปรับปรุง และติดตั้งนิทรรศการ
๑๐. ข้อเสนอแนะจากการจัดกิจกรรม
๑๐.๑ พิพิธภัณฑสถานแห่งนี้เป็นสถานที่รวบรวมและเผยแพร่เรื่องราวทั้งอดีตจวบจนปัจจุบัน พุทธศิลป์รูปแบบต่างๆ ตลอดจนประเพณี พิธีกรรมที่สำคัญและน่าสนใจยิ่งของพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจำนวนถึง ๑๘ ประเทศ จัดเป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกของโลก