ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,825 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.146/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 42 หน้า ; 4.7 x 57 ซ.ม. : ชาดทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 89 (373-376) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ (8 หมื่น)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.98/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 5 x 57 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 57 (140-153) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : ปรมตฺถมญฺชุสาอภิธมฺมตฺถสงฺคหนวฎีกาปรมัตถมัญชุสาร-อนุฎีกาอภิธัมมัตถสัคหะ)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.15/1-2
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เรือนไทดำ หรือเรือนกระดองเต่า คือเรือนที่มีหลังคาคลุมคล้ายกระดองเต่า มีที่มาจากนิทานเก่าแก่ของชาวไทดำว่า มียักษ์คอยจับกินมนุษย์เป็นอาหาร ชาวไทดำผู้มีสติปัญญา สามารถแก้ไขปัญหาได้มุดเข้าไปซ่อนตัวหลบอยู่ใต้กระดองเต่า ยักษ์มองไม่เห็น จึงทำให้รองพ้นจากอันตราย ชาวไทดำซาบซึ้งในบุญคุณของเต่า จึงสร้างบ้านทำหลังคารูปทรงกระดองเต่า เป็นธรรมเนียมแต่โบราณมา และจะแขวนกนะดองเต่าไว้ที่เสาบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล
ลักษณะเรือนไทดำ เป็นเรือนยกพื้นสูง ผสมผสานระหว่างเรือนเครื่องผูกและเรือนเครื่องสับ โดยโครงสร้างรับน้ำหนักจะใช้เสาและคานไม้เนื้อแข็ง ประเภทไม้แดง ประดู่ป่า หรือไม้สัก เนื่องจากเป็นไม้ที่มีในท้องถิ่น เป็นเสาท่อนกลมยาว มีลักษณะเด่นคือจะคัดเลือกไม้ที่มีง่ามเพื่อใช้รองรับ คาน โครงสร้างส่วนอื่นๆจะใช้ไม้ไผ่ ไม้รวก และใช้หวายเป็นเชือกผูกรัดยึดโครงสร้างทั้งหมดให้แน่นคงทน หลังคามีระดับอกไก่สูงทำให้พื้นที่ ภายในเรือนมีความโอ่โถง หลังคามุงด้วยหญ้าแฝกหรืแต้นปรือ คลุมยาวลงมาถึงระดับพื้นเรือน เพื่อป้องกันลมหนาว เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นพียงหลังคาสูงเด่นตั้งอยู่บนเสาไม้ ส่วนหลังคาด้านหน้าและด้านหลังสร้างเป็นส่วนโค้งเชิดขึ้นมองดูคล้ายกระดองเต่า เกิดจากการประดิฐษ์ชิ้นส่วนโครงสร้างหลังคารับน้ำหนัก เรียกว่า กว่างตุ๊บ โดยใช้ไม้รวก นำมาผูกมัดรวมกันหลายลำเป็นท่อนยาว วางพาดด้านหน้า และด้านหลังเรือน เชื่อมต่อปลายชายคาด้านข้างทั้งสองด้าน ดัดโค้งเชิดสูงขึ้นได้ตามต้องการ เกิดเป็นหลังคาโค้งคลุมบริเวณพื้นที่ด้านหน้าและด้านหลังเรือน
ชื่อเรื่อง ประวัติวัดป่าเลไลยก์
ผู้แต่ง พระรักขิตวันมุนี.
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๒ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๗สถานที่พิมพ์ สุพรรณบุรีสำนักพิมพ์ วัดป่าเลไลยก์จำนวนหน้า ๘๒ หน้า
ประวัติวัดป่าเลไลยก์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ ปี ๒๕๑๗ นี้ จัดพิมพ์แจกเป็นที่ระลึกในงานเทศกาล นมัสการ หลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ เนื้อหากล่าวถึง ประวัติวัดป่าเลไลยก์ ประวัติท่านเจ้าอาวาส เส้นทางการเดินทางจากวัดไปยังตัวจังหวัดสุพรรณบุรี การบูชาพระวัดป่าเลไลยก์ และรูปภาพประกอบ
‘รางวัลเลขท้ายสองตัวประจำวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เลขที่ออกคือ…’ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับประโยคข้างต้น เพราะทุกวันที่ ๑ และ ๑๖ ของเดือนถือเป็นช่วงเวลาทองของนักเสี่ยงโชคจากรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล และมักปรากฏผู้โชคดีได้รับรางวัลที่ ๑ ผ่านสื่อต่าง ๆ กันอยู่เนือง ๆ แต่การถูกรางวัลนั้นจะเรียกว่าน่าจะขึ้นอยู่กับดวงชะตาของแต่ละบุคคลหรือบางครั้งอาจมีวิธีการหาตัวเลขนำโชคในรูปแบบความเชื่อและวิธีการต่าง ๆ ดังเช่นเมื่อ ๖๐ ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลเอกสารจดหมายเหตุจังหวัดนครพนม แผนกมหาดไทย เรื่อง กระทรวงมหาดไทยสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสืบสวนข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์เรื่องราษฎรในภาคอิสานปั่นป่วนเพราะการหาซื้อเงินเหรียญรัชกาลที่ ๑ และ ๔ เพื่อดูเลขท้ายลอตเตอรี่ ระบุว่า วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๙ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้รับรายงานวิทยุสื่อสารจากกระทรวงมหาดไทย สั่งการ เรื่อง หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าขณะนี้ราษฎรภาคอีสานปั่นป่วน เนื่องจากการหาซื้อเงินเหรียญรัชกาลที่ ๑ และ ๔ ถึงกับขายบ้าน ขายนา ไม่เป็นอันทำมาหากิน โดยให้ดำเนินการสอบสวนและหาแนวทางป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม จึงดำเนินการแจ้งเวียนไปยังนายอำเภอทุกอำเภอเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า มีราษฎรจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดสกลนครบางคนลักลอบไปหาซื้อเหรียญในราคาเหรียญละ ๔๐๐ บาทขึ้นไป ในบางพื้นที่ อาทิ อำเภอเมืองนครพนม กำหนดให้เหรียญรัชกาลที่ ๑ ราคาสูงถึงราคาเหรียญละ ๑๐,๐๐๐ บาท และเหรียญรัชกาลที่ ๔ ราคาเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท สืบเนื่องจากมีการโฆษณาจากคนรับซื้อว่าหากนำเหรียญดังกล่าวไปให้อาจารย์ปลุกเสกจะสามารถบอกเลขท้ายลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ได้อย่างแม่นยำ แต่ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการสอบถามจากราษฎรในจังหวัดนครพนม พบว่า ราษฎรในพื้นที่บางแห่งมีการตื่นตัวและรับรู้เหตุการณ์นี้แต่ยังไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีเหรียญลักษณะดังกล่าวขายและยังไม่มีผู้ใดขายบ้านขายนาหาซื้อเงินเหรียญ เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการแก้ปัญหาด้วยการชี้แจงให้ราษฎรทราบว่า เงินเหรียญกษาปณ์เริ่มมีใช้ในรัชกาลที่ ๔ ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นไปได้ว่าจะมีเหรียญในลักษณะดังกล่าวออกมาจำหน่าย------------------------------------------------------เรียงเรียงโดย : นางสาวพัชราภรณ์ สุวรรณะ นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กองกษาปณ์. (๒๕๕๗). เงินตรา. ค้นข้อมูลเมื่อวันที่ ๑ ก.พ. ๒๕๖๔ จากhttp://www.royalthaimint.net/ ewtadmin/ewt/mint_web/ewt_newsphp?nid=46&filename=index) หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อุบลราชธานี. นพ ๑.๒/๔๔ กระทรวงมหาดไทยสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสืบสวนข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์ เรื่อง ราษฎรในภาคอิสานปั่นป่วนเพราะการหาซื้อเงินเหรียญรัชกาลที่ ๑ และ ๔ เพื่อดูเลขท้ายลอตเตอรี่ (๒๘ มิ.ย. - ๑๐ ก.ค. ๒๔๙๙)
วิทยากร นายดิษพงศ์ เนตรล้อมวงศ์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
องค์ความรู้สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี เรื่อง โบราณสถานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเยือนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พระองค์ทรงพบว่าราษฎรส่วนใหญ่ประสบความเดือดร้อนเนื่องจากพืชผลเสียหายทั้งจากฝนแล้งและน้ำท่วม ทำให้ทรงเกิดแนวคิดในการแก้ปัญหาดังกล่าวในขณะนั้นว่า
“...สมควรที่จะสร้างฝายหรือเขื่อนขนาดเล็ก (Check dams) และอ่างเก็บน้ำจำนวนมากขวางทางน้ำ เพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงการไหลบ่า และเก็บกักน้ำไว้ในฤดูแล้งซึ่งเป็นการบรรเทาสภาวะแห้งแล้งได้ทางหนึ่ง”
นอกจากนี้ พระองค์ยังมั่นพระทัยว่าน่าจะนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยให้เกิดฝนได้ และน่าจะมีวิธีการที่จะรวมเมฆที่กระจายอยู่ในท้องฟ้าให้รวมตัวกันเกิดเป็นฝนตกลงสู่พื้นที่แห้งแล้งได้ อันเป็นเป็นต้นกำเนิดของแนวพระราชดำริที่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจนเป็น “โครงการพระราชดำริฝนหลวง” ในปัจจุบัน
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๕ ให้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในฐานะ “พระบิดาแห่งฝนหลวง” และเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกายพระราชทานโครงการเพื่อความกินดีอยู่ดีของพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด
เรียบเรียง : นางสาวนัทธมน จิตเจตน์ นักจดหมายเหตุชำนาญการ
ที่มา : ศูนย์ฝนหลวงหัวหิน. ๑๔ พฤศจิกายน วันพระบิดาแห่งฝนหลวง. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔, จาก: http://huahin.royalrain.go.th/prabidaday.php
ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ร.๙
ชื่อเรื่อง ธมฺมปทเทสนา (เทศนาธรรมบท)สพ.บ. 279/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 48 หน้า : กว้าง 4.7 ซ.ม. ยาว 56.5 ซ.ม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา เทศนาธรรม บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง มหานาคเสน (มหานาคเสน)สพ.บ. 328/6ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 5.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี