ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,784 รายการ

หนังสือเอกสารและจดหมายเหตุภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับประเทศไทยซึ่งบรรดาชาวต่างชาติผู้เคยมาประเทศไทยในสมัยก่อนได้บันทึกไว้นั้น เก็บรักษาไว้ในหอเอกสารของต่างประเทศเป็นจำนวนมากล้วนแต่มีค่าควรแก่การศึกาาค้นคว้าทั้งสิ้น



ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร), พระยา.  มูลบทบรรพกิจ วาหนิต์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ แบบสอนหนังสือไทย.             พระนคร : กรมศิลปากร, 2508.           มูลบทบรรพกิจ วาหนิต์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ และพิศาลการันต์ ทั้งหมดนี้ ว่าด้วยวิธีใช้ตัวอักษร พยัญชนะเสียงสูงต่ำ การผัน การประสมอักษร และตัวสะกดการันต์.        



จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม. พระนคร : กรมศิลปากร, 2511.         ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงอธิบายลักษณะเจ้านายประเภทต่าง ๆ โดยละเอียด และเปรียบเทียบกับลักษณะของประเทศใกล้เคียง ให้ความรู้เกี่ยวกับราชประเพณีและรัฐประศาสโนบายในสมัยรัชกาลที่ 5






ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย อักษร/ภาษา : อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต อายุ : ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ประวัติ : พบเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๒ โดยนายจรง ชูกลิ่น และนายถวิล ช่วยเกิด ที่หุบเขาช่องคอย หมู่ที่ ๕ ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ลักษณะของศิลาจารึก : ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย เป็นจารึกที่ทำขึ้นโดยใช้แผ่นหินธรรมชาติขนาดใหญ่ รูปทรงเหมือนเรือ กว้าง ๑๖๐ ซม. ยาว ๖๘๓ ซม. หนา ๑๒๐ ซม. อยู่ใกล้กับร่องน้ำที่ไหลลงมาจากยอดเขา จารึกมีทั้งหมด ๓ ตอน มีความหมายต่อเนื่องกัน ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ด้านที่ ๑ อักษรปัลลวะ ภาษาสันสฤต พุทธศตวรรษที่ ๑๑ คำอ่าน - ตอนที่ ๑ ศฺรีวิทฺยาธิการสฺย คำแปล - ตอนที่ ๑ (ศิลาจารึกนี้เป็น) ของผู้เป็นเจ้าแห่งวิทยาการ (พระศิวะ) ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ด้านที่ ๒ อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต พุทธศตวรรษที่ ๑๑ คำอ่าน - ตอนที่ ๒ บรรทัดที่ ๑ นโมสฺตุตไสฺมปตเยวนานำ บรรทัดที่ ๒ นโมสฺตุตไสฺมปตเยสุราณาม บรรทัดที่ ๓ ปฺโยชนาจฺฉิวนมาคตาเสฺต บรรทัดที่ ๔ ทาตวฺยมิตฺยตฺร ภวทฺภิเรภยะ คำแปล - ตอนที่ ๒ ขอความนอบน้อม จงมีแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ขอความนอบน้อม จงมีแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งเทพ ทั้งมวล ชนทั้งหลายผู้เคารพต่อพระศิวะ คิดว่า ของอัน ท่านผู้เจริญ (พระศิวะ) นี้จึงให้มีอยู่ในที่นี้ จึงมาเพื่อประโยชน์ (นั้น) ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ด้านที่ ๓ อักษรปัลลวะ ภาษาสันสฤต พุทธศตวรรษที่ ๑๑ คำอ่าน -ตอนที่ ๓ บรรทัดที่ ๑ เยษานฺนิลยเทเศษุ ดิษฺฐติมานุชาวราะ บรรทัดที่ ๒ ยทิ เตษําปฺรสาทาจฺจ การฺยฺยนฺเตษํา ภวิษฺยติ II คำแปล - ตอนที่ ๓ ถ้าคนดีอยู่ในหมู่บ้านของชนเหล่าใด ความสุข และผล (ประโยชน์) จักมีแก่ชนเหล่านั้น (นายชูศักดิ์ ทิพย์เกสร และนายชะเอม แก้วคล้าย อ่าน-แปล)           การค้นพบศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ทำให้ทราบว่าในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ มีกลุ่มคนและนักบวชที่ใช้ภาษาสันสกฤต นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย จากอินเดียเดินทางเข้ามาใช้พื้นที่บริเวณหุบเขาช่องคอยเพื่อปฏิบัติศาสนกิจตามลัทธิของตนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง           ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ถือเป็นจารึกอักษรปัลลวะ ที่มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ที่เก่าที่สุดในประเทศไทย โดยมีอายุร่วมสมัยกับศิลาจารึกเขาพระนารายณ์เมืองตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จารึกเยธฺมาฯ ๑ และ ๒ จังหวัดนครปฐม จารึกเมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และจารึกเหรียญเงินเมืองพรหมทิน จังหวัดลพบุรี           จากการพบจารึกหุบเขาช่องคอย กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๒๒ ตอนพิเศษ ๙๘ง หน้า ๓ วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๘ เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ----------------------------------------ค้นคว้า/เรียบเรียงข้อมูล : น.ส.สุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ ----------------------------------------อ้างอิง : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร. จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ อักษรปัลลวะ อักษรหลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒. แก้ไขเพิ่มเติม. กรุงเทพฯ : หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร,๒๕๕๙.



ผู้แต่ง : กรมศิลปากร ฉบับพิมพ์ :พิมพ์ครั้งที่ 2 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์ : 2553 หมายเหตุ : -                  เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโขน ซึ่งเป็นนาฏศิลป์ประจำชาติที่มีการพัฒนาสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นมหรสพของหลวงที่เล่นสมโภชในงานพระราชพิธีสำคัญ ๆ โขน เป็นประมวลวิจิตรศิลป์หลายสาขาไว้ด้วยกัน กล่าวคือ กระบวนท่ารำและกระบวนรำจัดเป็นนาฏศิลป์ หน้าโขนหรือหัวโขนที่ผู้แสดงสวมใส่ต้องขึ้นรูปด้วยดินจัดเป็นงานประติมากรรม หัวโขนที่ทำด้วยกระดาษ เขียนลวดลายลงสีเป็นงานจิตรกรรม ส่วนประกอบของอาภรณ์เครื่องประดับต่าง ๆ ปักลวดลายอย่างวิจิตรบรรจงด้วยงานหัตถศิลป์ชั้นสูง เรื่องราวที่นำมาแสดงคือรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นวรรณคดีสำคัญเรื่องหนึ่ง และในการแสดงต้องมีวงปี่พาทย์ประกอบ จึงนับว่าเป็นมหรสพที่ประกาศความเป็นอัจฉริยลักษณ์ของงานประณีตศิลป์ไทยได้อย่างเต็มภาคภู


          เหรียญอาหรับ พบที่เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง           ปัจจุบันมีหลักฐานการพบเหรียญอาหรับจากเมืองโบราณอู่ทอง จำนวนไม่น้อยกว่า ๙ เหรียญ สำหรับเหรียญอาหรับ จำนวน ๒ เหรียญ ซึ่งจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เป็นเหรียญทองแดง ขนาดเล็ก ผ่านศูนย์กลาง ๑.๙ เซนติเมตร ทั้ง ๒ ด้านมีจารึกตัวอักษรอาหรับ ภาษาอาหรับตรงกลางเหรียญและริมขอบเหรียญ จารึกบางส่วนค่อนข้างลบเลือนทำให้เกิดข้อจำกัดของการอ่านและแปลความ จากการอ่านและแปลความของนักวิชาการทำให้ทราบว่า เนื้อหาบนเหรียญทั้ง ๒ ด้าน มีข้อความที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในศาสนาอิสลาม ดังนี้           ด้านที่ ๑ จารึกข้อความว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ ไม่มีภาคีใดเสมอพระองค์           ด้านที่ ๒ จารึกข้อความว่า มุฮัมมัดศาสนทูตของอัลลอฮ์ อัดล์(ยุติธรรม?)           เหรียญของชาวอาหรับ ผลิตขึ้นหลังการปฏิรูปเหรียญตรา โดยเปลี่ยนจากต้นแบบเหรียญโรมัน-เปอร์เซียที่มีรูปบุคคล เป็นเหรียญแบบที่มีแต่ตัวอักษรอาหรับ ระบุข้อความที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในศาสนาอิสลาม เช่น ข้อความจากคัมภีร์อัล-กุรอ่าน คำปฏิญาณ รวมถึงปีและสถานที่ผลิตเหรียญ เมื่อปี พ.ศ. ๑๒๓๙ ในสมัยคอลีฟะฮ์อับดุลมาลิค บิน มัรวาน (Caliph Abd al-Malik ibn Marwan) คอลีฟะฮ์หรือกาหลิบแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (Umayyad Dynasty, พ.ศ. ๑๒๐๔ – ๑๒๙๓) ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลาม เหรียญอาหรับที่ผลิตขึ้นในสมัยดังกล่าว ใช้วัสดุแตกต่างกัน ๓ ชนิด ได้แก่ เหรียญทอง ดีนาร์ (Dinar) เหรียญเงิน ดิรฮัม (Dirham) และเหรียญทองแดง ฟิลส์ (Fils)           เหรียญอาหรับที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง กำหนดอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว โดยสันนิษฐานว่าผลิตขึ้นในสมัยคอลีฟะฮ์อัล-มันซูร (Caliph al-Mansur) แห่งราชวงศ์อับบาสิยะห์ (Abbasid Dynasty, พ.ศ. ๑๒๙๓ – ๑๘๐๑) ทรงครองตำแหน่งในระหว่าง พ.ศ. ๑๒๙๗ – ๑๓๑๘ เป็นผู้ทรงริเริ่มก่อสร้างนครแบกแดด (ปัจจุบันกรุงแบกแดดเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐอิรัก) ซึ่งในเวลานั้นเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าสำคัญที่มีการติดต่อค้าขายทางทะเลกับประเทศจีน และดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้          การค้นพบเหรียญอาหรับจากเมืองโบราณอู่ทอง ถือเป็นหลักฐานหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนจากดินแดนตะวันออกกลาง มาตั้งแต่สมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากเหรียญที่พบมีจำนวนไม่มากนัก จึงสันนิษฐานว่า เหรียญดังกล่าว อาจไม่ได้ใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนหรือค้าขาย แต่อาจเป็นของที่ระลึก หรือของที่นำติดตัวมากับพ่อค้าชาวตะวันออกกลาง ซึ่งเดินทางเข้ามาในพื้นที่บริเวณเมืองโบราณอู่ทองในช่วงเวลาดังกล่าว --------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง --------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง โครงการศิลป์เสวนา ฝ่ายวิชาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑). สุนิติ จุฑามาศ. โบราณคดีอิสลาม การค้าทางทะเลสู่อิสลามานุวัตรในยุคโบราณทวารวดี-ศรีวิชัย สู่รัฐสุลต่านมลายูปาตานี. ศิลป์เสวนาเรื่อง “โบราณคดีอิสลาม จากรัฐทวารวดี ศรีวิชัย ถึงอยุธยา”. [Video file]. สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=8INszwEqcuA วิภาดา อ่อนวิมล. “เหรียญตราในประเทศไทยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๖”. วิทยานิพนธ์ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๑. สฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง. ทวารวดี : ประตูสู่การค้าบนเส้นทางสายไหมทางทะเล. กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๘.