ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

          สภาการจดหมายเหตุระหว่างประเทศประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Regional Branch of the International Council on Archives: SARBICA)  ร่วมกับสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการ SARBICA International Symposium 2023 หัวข้อ “งานจดหมายเหตุในยุคดิจิทัล: การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว และก้าวต่อไปของจดหมายเหตุ” (Archives in the Digital Era: Changing, Adaptations, and Achievements) ระหว่างวันที่ 21 – 22 พฤศจิกายน 2566 ณ โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพมหานคร เปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2566            พิเศษ!! ลงทะเบียนภายในวันที่ 30 กันยายน 2566 ค่าธรรมเนียมเพียง 130 ดอลล่าร์ (US$) เท่านั้น ลงทะเบียนและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://sarbica2023.nat.go.th


            สืบเนื่องจากที่สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้กำหนดจัดกิจกรรมเสวนาทางวิชาการเนื่องในงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๗ หัวข้อ “๑๐ สุดยอดโบราณวัตถุหายากที่สูญหายไปจากความทรงจำ” พร้อมกับนำโบราณวัตถุเหล่านั้นไปจัด Mini Exhibition ขอเชิญชวนทุกท่านมาทายของชิ้นแรกที่จะนำไปจัดแสดงในนิทรรศการดังกล่าว โดยมีของรางวัลมาสุ่มแจก เพียงทำตามกติการ่วมสนุก ดังนี้            ๑. กดไลก์เพจ Central Storage of National Museums : คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ            ๒. กดไลก์และแชร์โพสต์นี้ https://www.facebook.com/centralstorageofnationalmuseums/posts/pfbid02VoFmo6zLuiP6bvMitBHY1VP4CBmVt9orRTCHMEfNAnpTtvjDy1z1K4ViNCqAuqCCl บนหน้า Facebook ของท่าน โดยตั้งค่าเป็นสาธารณะ พร้อมติดแฮชแท็ก #๑๐สุดยอดโบราณวัตถุหายากที่สูญหายไปจากความทรงจำ                    ๓. ตอบคำถามใต้โพสต์นี้ว่า "เงาที่ท่านเห็น เห็นโบราณวัตถุชิ้นใด" พร้อมคำอธิบายประกอบ            ผู้สนใจร่วมกิจกรรม สามารถตอบคำถามได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๒.๐๐ น. ทั้งนี้ ท่านใดตอบได้ครบถ้วนและถูกใจทีมงานที่สุดรับรางวัลไปเลย ๑ รางวัล แต่หากพลาดรางวัลรอบนี้ สามารถติดตามเพจ Central Storage of National Museums : คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป เราจะมาแจกรางวัลกันอีกแน่นอน


         “เงินพดด้วง” ในสมัยอยุธยา         เงินพดด้วงเป็นเงินตราสำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขาย เดิมเรียกว่า “เงินกลม” แต่ด้วยปลายขาเงินที่งอและสั้นขดกลมคล้ายตัวด้วง จึงนิยมเรียกว่า “เงินพดด้วง” มีการใช้งานมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ต่อมาในสมัยอยุธยามีการผูกขาดระบบเศรษฐกิจ โดยรัฐได้มีการวางระบบเงินตราและควบคุมมาตรฐานทางการเงินเพื่อควบคุมการค้าและการคลัง ทำให้รัฐมีสิทธิ์ขาดในการผลิตเงินตราสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า พร้อมกับมีการกำหนดบทลงโทษอย่างชัดเจน         ดังปรากฎในกฎหมายตรามดวงและกฎหมายลักษณะโจร ความว่า “ผู้ใดทำเงิน ทองแดง เงินพราง เงินรวงทองพราง ทองแดงทองอาบและแกะตราปลอม ตอกตราพดด้วงเทียม พิจารณาเป็นสัจให้ตัดนิ้วมือเสียอย่าให้กุมค้อนคีมได้...” ทั้งนี้ยังมีบทลงโทษครอบคลุมถึงบุคคลใกล้เคียง คือ หากมีผู้สมรู้ให้ทำและรับซื้อขายให้ทวนด้วยลวดหนัง ๕๐ ที ส่วนผู้อยู่เรือนใกล้เคียงและรู้เห็นแต่ไม่แจ้งกรมพระนคร ให้ใส่ขื่อ ๓ วัน แล้วทวนด้วยลวดหนัง ๑๕ ที...         เงินตราที่พบจากการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่โบราณสถานต่างๆ ภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนใหญ่คือเงินพดด้วงและหอยเบี้ย โดยรูปแบบเงินพดด้วงในสมัยอยุธยา จะมีลักษณะเป็นทรงกลมมาตรฐาน มีรอยประทับตราที่มีความคมชัด ปลายขาด้านล่างแยกออกห่างจากกัน รอยบากมีขนาดเล็กลงจากสมัยสุโขทัยและหายไปในที่สุด รูปแบบดังกล่าวนี้ยังส่งต่อมาให้การผลิตพดด้วงสมัยรัตนโกสินทร์ด้วย ตราสัญลักษณ์ที่ตอกประทับลงบนเงินพดด้วงสมัยอยุธยา บริเวณด้านหน้าและด้านบน จำแนกเป็น ๒ ประเภท คือประเภทที่ ๑ ตราประจำแผ่นดิน ประทับบริเวณด้านบนของพดด้วง มีข้อสังเกต ๒ ชนิด คือ ตราจักรหกแฉกหรือตรากงล้อธรรม และตราจักรแบบจุด ที่มีลักษณะแปดจุดล้อมรอบจุดกลางใหญ่          สัญลักษณ์ตราประจำแผ่นดิน อาจมีความหมายถึง พระธรรมจักรหรือ กงล้อแห่งพระธรรม แทนเครื่องหมายของการนับถือพุทธศาสนา คล้ายกับสมัยสุโขทัย ทั้งนี้อาจแทนนัยยะของ “จักร” อาวุธของพระนารายณ์ตามคติเทวราชา โดยเปรียบพระมหากษัตริย์เป็นอวตารของพระนารายณ์  ประเภทที่ ๒ ตราประจำรัชกาล ประทับอยู่ด้านหน้าของพดด้วง ส่วนมากไม่มีหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์บ่งบอกรูปแบบที่เปลี่ยนตามรัชกาลอย่างชัดเจน อาจพบได้มากกว่าสามสิบรูปแบบ แต่สามารถจำแนกได้ ๓ หมวดหมู่ ดังนี้  กลุ่มที่ ๑ เป็นรูปดอกบัว กลีบดอกบัว หรือพุ่มข้าวบิณฑ์ กลุ่มที่ ๒ เป็นรูปสัตว์ อาทิ ช้าง หอยสังข์ ครุฑ และกลุ่มที่ ๓ เป็นรูปราชวัตร คือจุดอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม         ปัจจัยที่รูปแบบของตราดอกบัวในสมัยอยุธยามีรายละเอียดแตกต่างกัน มาจากแม่ตราประทับมีความหลากหลาย ซึ่งอาจเกิดจากฝีมือช่างผู้ผลิต หรือเป็นการทดแทนแม่ตราที่ชำรุด ซึ่งเป็นการผลิตจากการแกะด้วยมือ จึงทำให้มีการลดทอนรายละเอียดลง แต่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นตราดอกบัว  ทั้งนี้รูปแบบของตราดอกบัวของสมัยอยุธยา ยังมีความคล้ายคลึงกับตราพุ่มข้าวบิณฑ์ ตราอุณาโลมหรือตราบัวอุณาโลม มักอยู่ในกรอบพุ่มคล้ายดอกบัว มีอักขระ “อุ” รูปร่างคล้ายสังข์อยู่ตรงกลาง และต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เรียกว่าดอกบัวผัน หมายถึงความมั่งคั่ง  การเปลี่ยนแปลงรูปแบบตราประทับบนพดด้วงของรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งยังมีความคล้ายคลึงกับอยุธยานั้น อาจแฝงนัยยะเรื่องการพยายามสืบทอดราชธานีต่อจากกรุงศรีอยุธยาผ่านระบบเงินตราด้วย    ภาพประกอบบทความ  : ตัวอย่างเงินพดด้วงสมัยอยุธยา ภายในคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ     อ้างอิง กรมธนารักษ์. คู่มือเพื่อพิจารณาคัดแยกดวงตราบนเงินพดด้วงในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ที่ได้รับมอบจากสำนักบริหารเงินตรา เข้าถึงได้จาก https://asset-link.treasury.go.th/th/operationmanual/ ศิลปวัฒนธรรม. รู้จัก “เงินพดด้วง” เงินตราสะท้อนความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจและการค้าสมัยสุโขทัย เข้าถึงได้จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_61704...


ชื่อเรื่อง                     บทสวดมนต์ (ภาณต้น)สพ.บ.                       441/1หมวดหมู่                   พุทธศาสนาภาษา                       บาลีหัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              บทสวดมนต์                              เทศน์มหาชาติ                              คาถาพันประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               76 หน้า : กว้าง 3.5 ซม. ยาว 39 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                              เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับรักทึบ-ล่องชาด ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


อบต.หนองอิรุณ จ.ชลบุรี (เวลา 13.00 น.) จำนวน 94 คนวันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๓.๐๐ น. คณะแกนนำด้านสุขภาพและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองอิรุณ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี จำนวน ๙๔ คน เข้าศึกษาดูงาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ โดยมีนางสาวณัฏฐกานต์ มิ่งขวัญ ตำแหน่งเจ้าพนักงานพิพิธภัณฑ์ชำนาญงาน และนายชัยวัฒน์ กองแก้ว ตำแหน่งจ้างเหมาบริการฯ ปฏิบัติงานธุรการ เป็นวิทยากรนำชมในครั้งนี้








โบราณสถานหอพระอิศวร           ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย บูชาพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นใหญ่เหนือเทพองค์อื่น              หอพระอิศวร มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  ขนาดกว้าง ๖.๕๐ เมตร ยาว ๘.๕๐ เมตร สูงประมาณ ๙ เมตร ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงไทย หลังคาทรงจั่ว ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา เดิมเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ศิลา ฐานรูปเคารพ และเทวรูปสำริด ได้แก่ พระศิวะนาฏราช พระอุมา พระคเณศ และหงส์ ซึ่งปัจจุบันศิวลึงค์ศิลาและฐานรูปเคารพได้เคลื่อนย้ายมาประดิษฐาน ณ โบราณสถาน โบสถ์พราหมณ์ นครศรีธรรมราช ส่วนรูปเคารพองค์อื่น ๆ นำไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช สำหรับศิวลึงค์ศิลาที่ประดิษฐานอยู่ในหอพระอิศวรในปัจจุบันนั้น พบจากจังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมเก็บรักษา ณ วัดนารายณิการาม ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ต่อมาในพ.ศ. ๒๕๖๕ จึงเคลื่อนย้ายมาประดิษฐาน ณ หอพระอิศวร            กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานหอพระอิศวร ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๓ หน้า ๑๕๓๐ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๗๙ และประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๕ ตอนที่ ๑๒๖ หน้า ๓๙๘๑ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ เนื้อที่โบราณสถานประมาณ ๑ ไร่ ๖๒.๕ ตารางวา    Ho Phra Isuan (Ishavara or Shiva Shrine)           Ho Phra Isuan is located on Ratchadamnoen Road, Nai Mueang Sub-district, Mueang Nakhon Si Thammarat District, Nakhon Si Thammarat Province, opposite Ho Phra Narai. It is a Brahmin sanctuary in Shivaism.           Ho Phra Isuan was assumed to be built in Ayutthaya period. It is a rectangular building, made of bricks and lime, has a plain gable. The size of the shrine is 6.50 metres wide, 8.50 metres long and 9 metres high. The Lingam, a base of sculpture and the bronze statues, namely Shiva Nataraja (Shiva as Lord of Dance), Uma, Ganesha and Hamsa (Swan) were enshrined here. At present, The Lingam and a base of sculpture was moved to be enshrined at the Nakhon Si Thammarat Brahmin Shrine. The bronze statues are displayed at Nakhon Si Thammarat National Museum. The Lingam, that is enshrined in Ho Phra Isuan, was found from Nakhon Si Thammarat and was kept at Wat Narai Nikaram,  Le Sub-district, Kapong District, Phang Nga Province until 2022, it was moved to be enshrined at Ho Phra Isuan.           The Fine Arts Department announced the registration of Ho Phra Isuan as a national monument in the Royal Gazette, Volume 53, page 1530, dated 27th September 1987 and announced a national monument area in the Royal Gazette, Volume 95 Special Part 126, page 3981, dated 14th November 1978.                 


ชื่อเรื่อง : บทละคร เรื่อง พระมะเหลเถไถ หัวเรื่อง : บทละครไทย คำค้น : บทละคร รายละเอียด : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายอยู่ แก้วโสวัฒนะ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2511 ผู้แต่ง : สุวรรณ, คุณ แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สหสยามพัฒนา ปีที่พิมพ์ : 2511 วันที่เผยแพร่ : 30 มกราคม 2568 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ :  - รูปแบบ : PDF ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา: วรรณคดีที่คุณสุวรรณ กวีหญิงในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่งขึ้นโดยการตั้งชื่อตัวละครหรือการใช้คำที่มุ่งเสียงสัมผัสโดยไม่มีความหมาย แต่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นอย่างไร ทำให้สนุกเข้มข้น บทละครมีบทพรรณาตามแบบของละครรำ เช่น พรรณนาการอาบน้ำแต่งตัว ชมธรรมชาติ เป็นต้น อีกทั้งยังแทรกความรู้วรรณคดีเรื่องอื่นไว้ด้วย เลขทะเบียน : น. 30 ร. 3869 เลขหมู่ : 895.9112             ส869บอ


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       83/4หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               28 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53.7 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลานฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา 



ชื่อเรื่อง                     ปาจิตฺติยบาลี มหาวิภฺงคปาลิ (ปาลิปาจิตฺตีย์)ลบ.บ.                       365/5ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               50 หน้า กว้าง 4.3 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง                     พระไตรปิฎกบทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน ธรรมอีสาน ฉบับล่องชาด ไม่มีไม้ประกับ


ได้มาจากวัดราษฎร์ประชุมชนาราม ต.หนองบัว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2533


             สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  กับพระสัมพันธวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าหญิงพรรณราย ประสูติเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๖ พระนามเดิม พระองค์เจ้าจิตรเจริญ      สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงรับราชการหลายตำแหน่งทั้งด้านการช่าง การทหาร และการบริหาร  กล่าวคือ หลังจากการทรงศึกษาเบื้องต้นโดยทรงศึกษาภาษาไทย ภาษามคธ และภาษาเขมร แล้วทรงผนวชสามเณรอยู่หนึ่งพรรษาและเมื่อมีพระชนมายุครบผนวช  โปรดให้ทำพิธีผนวชจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๗  การรับราชการนั้นได้ทรงรับราชการเป็นนักเรียนนายร้อยในกรมทหารมหาดเล็ก  เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาแล้วทรงรับราชการเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและแสดงถึงพระปรีชาสามารถมากดังปรากฏพระเกียรติคุณเป็นอย่างยิ่ง      เริ่มจากทรงรับราชการเป็นนายทหารมหาดเล็ก แล้วเลื่อนเป็นราชองครักษ์ในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ เสนาบดีกระทรวงวัง จนถึงพุทธศักราช ๒๔๕๒ ทรงลาออกจากราชการเนื่องจากประชวรด้วยโรคพระหทัยโต แต่ก็มิได้ทรงละทิ้งงานเสียทั้งหมด ทรงปฏิบัติงานช่างอยู่เสมอ และทรงรับเป็นกรรมการฝ่ายต่าง ๆ เช่น  กรรมการสภาการคลัง  กรรมการตรวจแก้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  งานของหอพระสมุดและวรรณคดีสโมสร     ต่อมาทรงกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรีทำหน้าที่ปรึกษาราชการแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นสมาชิกสภา การคลัง และเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๖ โปรดให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติในพุทธศักราช ๒๔๗๗ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ก็ทรงลาออกจากราชการ     สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงปฏิบัติหน้าที่ทั้งด้านการบริหารและด้านการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมอย่างยอดเยี่ยมจนได้รับการยกย่อง เป็นนายช่างใหญ่แห่งสยาม ผลงานการออกแบบที่แสดงพระอัจริยภาพของพระองค์อย่างยิ่งคือ การออกแบบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระอุโบสถวัดราชาธิวาส พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ อนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑  และแบบพระเมรุเจ้านายหลายพระองค์ เช่น พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระเมรุมาศสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  พระเมรุสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  เป็นต้น    งานด้านเขียนภาพต่าง ๆ ได้ทรงเขียนภาพที่ทรงคุณค่าไว้มากมาย เช่น ภาพมัจฉาชาดกที่หอพระคันธารราษฎร์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาพร่างเรื่องเวสสันดรชาดก  ที่พระอุโบสถวัดราชาธิวาส ภาพประกอบพระราชพงศาวดารสมัยอยุธยา และยังทรงออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น แบบธง แบบพระราชลัญจกร เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญที่ระลึก ตาลปัตรและลายพัด เป็นต้น    นอกจากนี้ ยังทรงมีความรู้ความสามารถด้านดนตรี ทั้งดนตรีไทยและดนตรีสกล  โดยเฉพาะดนตรีไทย  ทรงเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด ทรงพระนิพนธ์เพลงไว้หลายเพลง  ที่มีชื่อเสียงมากคือเพลงเขมรไทรโยค  และยังมีเพลงออกทะเล  เพลงมหาชัย  พระนิพนธ์บทละครดึกดำบรรพ์เรื่องสังข์ทอง เรื่องคาวี  เรื่องสังข์ศิลป์ชัย  เป็นต้น    สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  ทรงพระนิพนธ์งานวรรณกรรมไว้จำนวนมากที่สำคัญ เช่น โคลงประกอบภาพจิตรกรรมพระราชพงศาวดาร โคลงประกอบเรื่องรามเกียรติ์  คราวฉลองพระนครครบร้อยปี  พระนิพนธ์สำคัญคือ จดหมายเวรตอบโต้กับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  โดยทรงแสดงความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งขนบธรรมเนียมประเพณี  ศิลปะ  วัฒนธรรม  รวบรวมพิมพ์เป็นหนังสือสาส์นสมเด็จ อันเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังทรงมีลายพระหัตถ์ประทานความรู้แก่บุคคลต่าง ๆ เช่น จดหมายตอบโต้กับพระยาอนุมานราชธน  ลายพระหัตถ์กราบทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น     สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๐  พระชนมายุ ๘๔ ชันษา  ทรงเป็นต้นราชสกุลจิตรพงศ์  ต่อมาในพุทธศักราช ๒๕๐๖  องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)  ได้ยกย่องพระองค์เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในโอกาสครบร้อยปีแห่งวันประสูติ ------------------------------------------- ที่มา:  ข้อมูลจากสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ในงานแถลงข่าวโครงการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง  “สรรพศิลปสิทธิวิทยาธร : สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์” วันพุธที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๖ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร


black ribbon.