ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
หลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในภาคใต้ของประเทศไทย ตอนที่ ๑๒ หลักฐานไวษณพนิกายที่พบในฝั่งอ่าวไทย : พระวิษณุ อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ ๑. พระวิษณุ วัดศาลาทึง ถือเป็นประติมากรรมพระวิษณุที่เก่าที่สุดในประเทศไทย และอาจเป็นประติมากรรมพระวิษณุที่เก่าที่สุดในเอเชียอาคเนย์ วัสดุ หิน อายุ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ศิลปะ อินเดีย พบที่ วัดศาลาทึง จังหวัดสุราษฏร์ธานี ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร - ลักษณะ : เป็นประติมากรรมยืนตรงแบบสมภังค์ ทรงกิรีฏมกุฎแบบหมวกทรงกระบอกสูงสลักลวดลายพรรณพฤกษา ทรงกุณฑลขนาดใหญ่ กรองศอ พาหุรัด และทองพระกร พระหัตถ์ขวาหน้าแสดงอภยมุทรา พระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงสังข์ที่พระโสณี พระหัตถ์ขวาหลังทรงคทา พระหัตถ์ซ้ายหลังหักหาย สันนิษฐานว่าพระหัตถ์ซ้ายที่หักหายน่าจะทรงจักร ก้อนดิน หรือดอกบัว ทรงโธตียาวเป็นริ้ว คาดผ้ากฏิสูตรรูปวงโค้งขมวดปมไว้ที่พระโสณีทั้งสองข้าง และคาดทับด้วยผ้าพันรอบพระโสณีแบบตรง - วัดศาลาทึง (วัดชยาราม) ตั้งอยู่ที่ ต.ตลาด อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี เล่ากันว่าทางทิศตะวันออกของพระอุโบสถมีวิหารพราหมณ์ ชาวบ้านเรียกว่า “ในรายณ์” มาจากนามพระนารายณ์หรือพระวิษณุที่พบที่นี่ วัดศาลาทึง พบประติมากรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระวิษณุ) ลัทธิเสาระ (พระสุริยะ) และศาสนาพุทธ (พระโพธิสัตว์อวโลติเตศวร) ๒. พระวิษณุ หอพระนารายณ์ วัสดุ หิน อายุ ประมาณครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ศิลปะ อินเดีย พบที่ หอพระนารายณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช - ลักษณะ : เป็นประติมากรรมยืนตรงแบบสมภังค์ ทรงกิรีฏมกุฎ มีศิรจักรอยู่ด้านหลังของพระเศียร พระหัตถ์ขวาหน้าหักหายสันนิษฐานว่าทรงถือดอกบัวตูมในระดับพระโสณี พระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงถือสังข์ไว้ที่พระโสณี พระหัตถ์หลังทั้งสองข้างหักหาย ทรงกรองศอ พาหุรัด มีสายยัชโญปวีตคาดพระอังสาซ้าย ทรงโธตียาวเป็นริ้ว คาดผ้าห้อยเป็นรูปวงโค้งอยู่ด้านหน้าพระเพลา - หอพระนารายณ์ ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๓ หน้า ๑๕๓๐ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๗๙ หอพระนารายณ์อยู่ตรงข้ามกับหอพระอิศวร เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูน โครงหลังคาเป็นไม้มุงกระเบื้องดินเผา ด้านหน้าเป็นรูปจั่วไม่ประดับลวดลาย หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้านหลังปิดทึบ มีหน้าต่างด้านละ ๓ ช่อง จากการขุดค้นทางโบราณคดี ปี พ.ศ.๒๕๕๒ ในโครงการค้นคว้าวิจัยโบราณคดีแห่งคาบสมุทรสยามโดย ดร.วัณณสาส์น นุ่นสุข จำนวน ๒ หลุม ในชั้นดินล่างสุดพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ๓. พระวิษณุ วัดพระเพรง วัสดุ หิน อายุ ประมาณครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ศิลปะ อินเดีย พบที่ หอพระนารายณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช - ลักษณะ : เป็นประติมากรรมยืนตรงแบบสมภังค์ ทรงกิรีฏมกุฎ แบบหมวกทรงกระบอกสูงสลักลวดลายพรรณพฤกษา ทรงกุณฑล พระหัตถ์ขวาหน้าทรงถือดอกบัวตูม พระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงถือสังข์อยู่ข้างพระโสณี พระหัตถ์ด้านหลังทั้งสองข้างหักหาย ทรงโธตียาวเป็นริ้ว มีผ้าคาดพระโสณีห้อยอยู่ด้านหน้าพระเพลาเป็นรูปครึ่งวงกลม - วัดพระเพรง ตั้งอยู่ที่ ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ลักษณะโบราณสถานเป็นเนินดินรูปวงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๒๐ เมตร พบเศษอิฐกระจัดกระจาย ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเนินห่างจากวัดพระเพรง ราว ๔๐๐ เมตร มีการปรับพื้นที่เพื่อจัดสรรที่ดิน จึงได้พบหลักฐานทางโบราณคดี คือ ประติมากรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระวิษณุ) และศาสนาพุทธ (พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร) ๔. พระวิษณุ วัดตาเถร (ร้าง) วัสดุ หิน อายุ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ ศิลปะ อินเดีย พบที่ วัดตาเถร (ร้าง) จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช (ดร.วัณณสาส์น นุ่นสุข ให้ยืมจัดแสดง) - ลักษณะ : เป็นประติมากรรมยืนตรงแบบสมภังค์ พระเศียรหักหาย พระหัตถ์ขวาหน้าหักหาย พระหัตถ์ขวาหลังหักหาย พระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงถือสังข์อยู่ข้างพระโสณี พระหัตถ์ซ้ายหลังถือคทาขนาดใหญ่ มีสายยัชโญปวีตเป็นเส้นค่อนข้างหนาคาดพระอังสาซ้ายยาวลงไปจนเกือบถึงชายผ้า ทรงโธตียาวลงมาถึงข้อพระบาท มีผ้าคาดพระโสณีห้อยอยู่ด้านหน้าพระเพลาเป็นรูปครึ่งวงกลม - วัดตาเถร (ร้าง) ตั้งอยู่ที่ หมู่ ๖ ต.โพธิ์ทอง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโบราณสถานโมคคลาน ประมาณ ๒ กิโลเมตร ชาวบ้านเล่าว่า ในปี พ.ศ.๒๕๔๓ ได้ซื้อดินสำหรับปรับพื้นที่เพื่อสร้างบ้าน จากบ่อดินวัดตาเถร (ร้าง) ขณะปรับเกลี่ยหน้าดินได้พบเศษอิฐเป็นจำนวนมาก และได้พบรูปเคารพในลักษณะพระเศียรหักหาย จึงเดินทางไปยังบ่อดินเพื่อค้นหาส่วนพระเศียรแต่ไม่พบ สำหรับสภาพพื้นที่วัดตาเถร (ร้าง) ในปัจจุบันได้ถูกทำลายด้วยการขุดหน้าดินไปขาย ---------------------------------------------------ค้นคว้า/เรียบเรียง : นางสาวสุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ---------------------------------------------------อ้างอิง : - นงคราญ สุขสม. ประวัติศาสตร์และโบราณคดีสุราษฏร์ธานี. กรุงเทพฯ : สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๑๑ นครศรีธรรมราช, ๒๕๔๕. - พิริยะ ไกรฤกษ์, “พระวิษณุ : ประติมากรรมที่พบในภาคใต้,” สารานุกรมวัฒนธรรม ภาคใต้ พ.ศ.๒๕๒๙ เล่ม ๖.กรุงเทพฯ: สถาบันทักษิณคดีศึกษา, ๒๕๒๙. - โบราณสถานและแหล่งโบราณคดี ในพื้นที่สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช เล่ม ๓ : นครศรีธรรมราช. งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น ปีงบประมาณ ๒๕๕๔.
หลังจากที่ได้ดำเนินงานโบราณคดีเพื่อศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมของปราสาทเขาโล้นแล้ว กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรีและสำนักสถาปัตยกรรม ได้ดำเนินการอนุรักษ์โบราณสถานในปีพุทธศักราช ๒๕๖๒ ขั้นตอนการอนุรักษ์โบราณสถานเริ่มจากการถอดรื้ออิฐที่เสื่อมสภาพออก ทำการแทนที่ด้วยอิฐใหม่ ที่เผาให้มีความแกร่งใกล้เคียงกับอิฐเดิม โดยใช้อิฐใหม่ในการก่อโครงสร้างภายในของโบราณสถาน และพยายามใช้อิฐเก่าก่อปิดบริเวณผิวนอกของโบราณสถานเพื่อแสดงความเป็นของแท้ดั้งเดิมและทำให้ มีความกลมกลืนกับอิฐดั้งเดิม อิฐที่นำมาใช้ต้องทำการขัดแต่งผิวจนเรียบเพื่อทำให้รอยต่อของอิฐแต่ละก้อนแนบสนิท ใกล้เคียงกับวิธีการก่ออิฐดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมเขมร หลังจากนั้นกะเทาะหรือขูดผิวอิฐให้เป็นร่องเล็กน้อย เพื่อเพิ่มพื้นที่ยึดเกาะของปูนสอ ซึ่งมีส่วนผสมของปูนขาวหมัก ทรายละเอียด กากน้ำตาลและ กาวหนังควาย ในการอนุรักษ์โบราณสถานได้ทำการก่ออิฐซ่อมแซมเพื่อเสริมความมั่นคงแข็งแรงโดยรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ทั้งนี้ในบริเวณซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธานซึ่งพังทลายลงจากการ รื้อถอนทับหลังและเสาประตูออกไป ในการอนุรักษ์ได้ทำการเสริมวงกบประตูและเสาประดับกรอบประตู หินทราย ร่วมกับหินวงกบประตูชิ้นบนที่พบบริเวณปราสาท เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับติดตั้งทับหลังในอนาคต โดยหากมีการติดตั้งทับหลังแล้ว สามารถก่ออิฐเสริมบริเวณเสาซุ้มและหน้าบันให้มีลักษณะดังเดิม ๑. ภาพสันนิษฐานของปราสาท 3 หลังบนฐานไพที ๒. การถอดรื้ออิฐเก่า ๓. การก่ออิฐด้วยวิธีดั้งเดิม ๔. การเตรียมหินทรายเพื่อเสริมในตำแหน่งวงกบประตูและเสาประดับกรอบประตู ๕. ปราสาท 3 หลังบนฐานไพที หลังการอนุรักษ์ ๖. ปราสาทประธาน หลังการอนุรักษ์๗. บรรณาลัย หลังการอนุรักษ์ ๘. โคปุระทิศตะวันออก หลังการอนุรักษ์ ๙. โคปุระทิศใต้ หลังการอนุรักษ์ ๑๐. โคปุระทิศตะวันตก หลังการอนุรักษ์ ๑๑. กำแพงแก้ว หลังการอนุรักษ์ ๑๒. การเสริมหินวงกบประตูและเสาประดับกรอบประตูหินทรายเพื่อรองรับทับหลัง---------------------------------------------------ผู้เขียน : นายสิขรินทร์ ศรีสุวิทธานนท์ (นักโบราณคดีชำนาญการ)สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.123/14ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.4 x 54 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 70 (232-242) ผูก 14 (2564)หัวเรื่อง : มงฺคลตฺถทีปปี (มงคลทีปนีอรรถกถา)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้จากแนวความคิดการออกแบบอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี
สืบเนื่องมาจากแนวความคิดของสถาปนิกผู้ออกแบบอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี ที่มีแนวคิดจะให้สถาปัตยกรรมสอดคล้องกับแนวทางการจัดแสดงนิทรรศการ ที่มีวัตถุประสงค์หลักคือการรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับข้าว การทำนา วิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำนา จึงมีแนวคิดเรื่องของที่อยู่อาศัยของชาวนาไทยภาคกลางเป็นหลักแนวคิดการออกแบบ
เรือนไทยนั้นได้พัฒนาขึ้นมาจากบ้านเรือนของคนในสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิม จึงต้องอาศัยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มเป็นแหล่งประกอบอาชีพหลัก ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมดั้งเดิมของคนไทยคืออาชีพชาวนา จึงจะเห็นได้ว่าบ้านเรือนทั่วไปนั้นมักจะปลูกสร้างอยู่ตามลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ การสร้างที่อยู่อาศัยจึงนิยมยกพื้นบนเสาสูง ทั้งนี้ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากหรือน้ำท่วมถึงได้ง่าย ระดับของพื้นบ้านยังเป็นที่อยู่อาศัยได้ตามปกติ อีกทั้งยังเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยพื้นที่ใต้ถุนสูงของบ้าน โดยเฉพาะการเก็บเครื่องมือการเกษตร หรือสัตว์เลี้ยง และยังเป็นพื้นที่เอนกประสงค์อื่น ๆ รวมถึงสำหรับพักผ่อนสำหรับครอบครัวอีกด้วย
เรือนไทยนั้นแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ตามรูปแบบลักษณะโครงสร้างอาคาร วัสดุก่อสร้าง รวมถึงขนาดพื้นที่การก่อสร้างบ้าน ซึ่งแบ่งออกเป็น เรือนเครื่องผูก (เรือนที่สร้างด้วยไม้ไผ่) และเรือนเครื่องสับ (เรือนที่สร้างด้วยไม้จริง)
ในที่นี้ขอกล่าวถึงลักษณะของเรือนไทยภาคกลาง ประเภทเรือนเครื่องสับ ซึ่งนิยมปลูกตามริมแม่น้ำลำคลอง หรือพื้นที่ราบลุ่มที่มีน้ำท่วมถึงได้ง่าย จึงสร้างเป็นเรือนใต้ถุนสูง ยกพื้นเรือนให้พ้นน้ำ หลังคาจั่วลาดชัน กันแดดและฝนได้ดี มีชานบ้านและระเบียงสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
มีเรือนครัวเป็นที่ปรุงอาหาร ซึ่งมักแยกออกจากตัวเรือนใหญ่ มีเรือนนอน สำหรับเป็นห้องนอน มีระเบียง หอนั่ง หอนก เป็นส่วนประกอบ และมีบันไดทางขึ้นด้านหน้าบ้าน เฉพาะเรือนเครื่องสับหรือเรือนไม้จริง
เรือนไทยภาคกลางนั้น อาจสร้างเป็นเรือนเดี่ยว หรือสร้างหลายหลังร่วมกันเป็นเรือนหมู่ เมื่อครอบครัวขยายใหญ่ มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะของครอบครัวดั้งเดิมของคนไทยในอดีต จึงสร้างเป็นเรือนหมู่ เช่นสร้างเรือนนอนเพิ่มขึ้น มีชานเชื่อมถึงกัน
ตัวอย่างบ้านเรือนไทยในจังหวัดสุพรรณบุรี (ในอำเภอเมือง) เช่น บ้านยะมะรัชโช เป็นบ้านไม้ทรงไทยเรือนหมู่ อยู่ริมน้ำ ตั้งอยู่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี
นางสาวภัทรา เชาว์ปรัชญากุล ภัณฑารักษ์ชำนาญการ เรียบเรียงข้อมูล 29 เมษายน 2563
ที่มาข้อมูล รวบรวมและเรียบเรียงจาก
- โครงการจัดทำองค์ความรู้ด้านการสำรวจสถาปัตยกรรมเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน (อาคารเรือนทรงไทย) โดยกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากร
- บ้านไทยภาคกลาง ศาสตราจารย์ พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์
- สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 13 เรื่องที่ 1 เรือนไทย/เรือนไทยภาคกลาง
- สืบค้น online www.royin.go.th (สำนักงานราชบัณฑิตยสภา) “เรือน”
ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๓๒
เจ้าอาวาสวัดพลับ ต.พนัสนิคม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๑ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.21/1-7
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เขาพระอังคาร ตั้งอยู่ภายในวัดเขาพระอังคาร ตำบลเจริญสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ในทางธรณีสัณฐานวิทยา เขาพระอังคารเป็นภูเขาไฟ หินบะซอลต์แบบลาวาโดม ดับสนิทแล้วมากว่าเจ็ดแสนปี มีรูปร่างกลมรี วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ มีช่องทางการไหลออกของลาวาหลายจุดตามไหล่เขาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีปล่องปะทุอยู่ชัดเจน ตั้งโดดเด่นกลางพื้นที่ราบ ปากปล่องภูเขาไฟเกิดการทรุดถล่มเป็นแนวซ้อนกันหลายชั้น ปัจจุบันบนเขาพระอังคารเป็นที่ตั้งของวัดเขาพระอังคาร มีการก่อสร้างพระอุโบสถใหม่ และอาคารสมัยใหม่ต่างๆโดยรอบ พบใบเสมาทั้งสิ้น ๑๕ ชิ้น โดยนำใบเสมาที่พบจากเขาพระอังคารมาปักรอบพระอุโบสถ สันนิษฐานว่าย้ายมาจากที่อื่นที่อยู่ใกล้บริเวณวัดแล้วนำมาปักไว้รอบโบสถ์ บางส่วนนำมาไว้ภายในอาคารพ่อปู่วิริยะเมฆ ใบเสมาทั้งหมดสลักขึ้นจากหินบะซอลต์เนื้อละเอียด มีลักษณะเป็นแผ่นหินแบนๆ สมัยวัฒนธรรมทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖) ลักษณะเด่นของใบเสมาที่เขาอังคารสลักเป็นภาพบุคคลคนเดียวยืนถือดอกบัวด้วยมือขวา ประทับอยู่ใต้ฉัตร ขนาบด้วยเครื่องสูง ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ บางใบสลักบุคคลเป็นภาพยักษ์ บางชิ้นสลักเป็นบุคคลสี่กรถือสิ่งของอยู่ในมือ สันนิษฐานว่าเป็นคัมภีร์ และลูกประคำ ทั้งหมดทรงผ้าแบบเดียวกัน ประทับยืนอยู่บนฐานดอกบัว มีอิทธิพลศิลปะเขมรแบบไพรกเมงผสมอยู่ บางใบมีการสลักลายเป็นภาพธรรมจักร สถูปหม้อน้ำที่ด้านหลังด้วย ถึงแม้ว่าใบเสมาปัจจุบันถูกเคลื่อนย้ายออกจากตำแหน่งเดิม จากการสำรวจบริเวณรอบๆไม่ปรากฏร่องรอยสิ่งก่อสร้างหรือโบราณสถานอยู่เลย ปกติแล้วการปักใบเสมาเป็นเพื่อแสดงเขตศักดิ์สิทธิ์ในทางพุทธศาสนา ในกรณีใบเสมาวัดเขาพระอังคารในอดีตอาจปักล้อมรอบพื้นที่ว่างเปล่า โดยใบเสมาปักเพื่อเป็นหลักเขตเครื่องหมายพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรม แหล่งใบเสมาที่อยู่บนภูเขาเช่นที่เขาพระอังคาร เป็นแหล่งเดียวในจังหวัดบุรีรัมย์ที่พบในพื้นที่ภูเขาสูง ไม่พบแหล่งชุมชนที่บนเขาอังคารเลยจึงไม่สามารถบอกพื้นที่การใช้งานที่สัมพันธ์กับชุมชนได้ แต่จากลักษณะภาพสลักที่ปรากฏเป็นรูปบุคคลลักษณะเดียวกันทั้งหมด น่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ในฝ่ายมหายาน ซึ่งไม่พบลักษณะเช่นนี้ในแหล่งโบราณคดีในสมัยทวารวดีในที่อื่นๆที่แม้จะเป็นภาพสลักบุคคลก็จะเป็นเรื่องราวในพุทธประวัติหรือชาดกในฝ่ายเถรวาทเป็นหลัก การพบในพื้นที่ภูเขาสูงน่าจะเป็นลักษณะของแนวคิดภูเขาศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกับที่ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นพุทธแบบเถรวาทก็อาจเป็นได้-----------------------------------------------ข้อมูลโดย นายกิตติพงษ์ สนเล็ก ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา-----------------------------------------------
พระยาธรรมปรีชา. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ฉบับที่ 2 (ไตรภูมิฉบับหลวง) เล่ม 2. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2520. หนังสือไตรภูมิโลกวินิจฉยกถาฉบับที่ 2 นี้ เป็นเรื่องที่มีสารประโยชน์ มีคุณค่าทางอักษรศาสตร์และวรรณคดี เนื่องจากไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา หรือไตรภูมิฉบับหลวงเป็นหนังสือที่มีความยาวมาก กรมศิลปากรจึงแยกพิมพ์ เป็น 3 เล่มด้วยกัน และได้พิมพ์ประวัติพระยาธรรมปรีชา (แก้ว) ผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ไว้ด้วย
เสภาเรื่องอาบูหะซัน แต่งโดยกระแสรับสั่ง เมื่อในรัชกาลที่ ๕พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันโท ชาบ นิลกุล ณ ฌาปนสถาน กองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๒๘ มกราคมพุทธศักราชการ ๒๕๑๐