ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

เสภาเรื่องอาบูหะซัน แต่งโดยกระแสรับสั่ง เมื่อในรัชกาลที่ ๕พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันโท ชาบ นิลกุล ณ ฌาปนสถาน กองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๒๘ มกราคมพุทธศักราชการ ๒๕๑๐





          เป็นที่ทราบกันดีว่าภาพถ่ายทับหลังปราสาทเขาโล้น ได้รับการตีพิมพ์เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๐ ในหนังสือ “ศิลปสมัยลพบุรี” โดยศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล ซึ่งภาพถ่ายนี้เป็นหลักฐานสำคัญในการทวงคืนทับหลังชิ้นนี้กลับสู่ประเทศไทย นอกจากนี้หน่วยศิลปากรที่ ๕ กรมศิลปากร ได้เคยบันทึกภาพทับหลังปราสาทเขาโล้นไว้เมื่อราวพุทธศักราช ๒๕๐๓ ด้วยเช่นกัน          ภาพถ่ายทั้งสองครั้งนั้นทำให้ทราบว่าทับหลังที่ซุ้มประตูด้านตะวันออกของปราสาทเขาโล้น ประกอบด้วยเทวดานั่งชันเข่าบนเกียรติมุข (หน้ากาล) ใต้ลิ้นของเกียรติมุขมีท่อนพวงมาลัยแยกออกทั้งสองด้าน ปลายท่อนพวงมาลัยขมวดเป็นวงโค้งสลับกัน จัดเป็นทับหลังศิลปะเขมรในประเทศไทยแบบบาปวนตอนต้น ซึ่งปัจจุบันรูปเทวดาได้ถูกกะเทาะหายไป           นอกจากทับหลังแล้ว ส่วนประกอบซุ้มประตูทำจากหินทราย ได้แก่ แถวกลีบบัวเหนือทับหลัง ซึ่งมี ๒ ชิ้นนั้น สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี ได้พบชิ้นที่เคยประดับด้านบนขวาของทับหลังจากการขุดแต่งปราสาทเขาโล้น เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ ดังที่ได้นำเรียนไปแล้วในบทความตอนที่ ๒ เสาประดับกรอบประตู แปดเหลี่ยม สลักลวดลายที่กำหนดอายุได้ในศิลปะเขมรในประเทศไทยแบบเกลียง ปัจจุบันยังไม่พบว่าอยู่ที่ใด          กรอบประตู สลักลายลวดบัวขนานกันไป ในพุทธศักราช ๒๔๔๗ เอเตียน เอโมนิเยร์ (Étienne Aymonier) ได้ระบุว่ามีจารึกภาษาสันสกฤตและเขมรบนกรอบประตูด้านเหนือและใต้ ซึ่งต่อมาในพุทธศักราช ๒๔๙๗ ฌอช เซแด็ส (George Cœdès) ได้อ่าน-แปลและได้กำหนดทะเบียนเป็น K.232 เนื้อความในกรอบประตูด้านใต้ ระบุว่า ศรีมันนฤปทินทร ขุนนางของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ที่ได้มาปกครองดินแดนบริเวณนี้ ได้สร้างเทวสถาน ไว้บนภูเขา “มฤตสังชญกะ” เพื่อประดิษฐานรูปพระศัมภุ (พระศิวะ) พระเทวีและพระศิวลึงค์ (อีศลิงคะ) เมื่อมหาศักราช ๙๒๙ (พุทธศักราช ๑๕๕๐) ซึ่งจากการขุดค้นของกรมศิลปากรก็พบว่าปราสาทเขาโล้น เป็นปราสาท ๓ หลัง ดังที่ได้นำเรียนไปแล้วในบทความตอนที่ ๑ ดังนั้นปราสาทเขาโล้นจึงเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกายหรือนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่          ส่วนกรอบประตูด้านเหนือระบุว่าในมหาศักราช ๙๓๘ (พุทธศักราช ๑๕๕๙) พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ มรตาญโขลญศรีวีรวรมัน มาประดิษฐาน “เสาจารึก” ที่ “ภูเขาดิน” หมายถึงภูเขา “มฤตสังชญกะ” แห่งนี้ ปัจจุบันกรอบประตูทั้งด้านเหนือและใต้นี้ เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้สำรวจและให้ทะเบียนกรอบประตูด้านเหนือเป็น จารึกวังสวนผักกาด (กท.๕๓) และกรอบประตูด้านใต้เป็นจารึกวังสวนผักกาด ๒ (กท.๕๔)          อย่างไรก็ตามกรอบประตูทั้งสองชิ้นนี้แตกหัก จึงได้พบชิ้นส่วนกรอบประตูจากการขุดค้นด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถนำกรอบประตูทั้ง ๒ ชิ้นนี้มาติดตั้งในตำแหน่งเดิมได้ ในการบูรณะจึงได้เสริมกรอบประตูและเสาประดับกรอบประตูหินทราย ร่วมกับกรอบประตูชิ้นบนที่พบบริเวณปราสาท เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับติดตั้ง ทับหลังในอนาคต ดังที่ได้นำเรียนไปแล้วในบทความตอนที่ ๓ภาพที่ ๑ ทับหลังปราสาทเขาโล้น ในขณะที่จัดแสดงในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มา: Asian Art Museum Online Collection ภาพที่ ๒ ภาพถ่ายทับหลังปราสาทเขาโล้น ที่มา: หนังสือ ศิลปะสมัยลพบุรีภาพที่ ๓ ภาพถ่ายทับหลังปราสาทเขาโล้น ภาพที่ ๔ ภาพถ่ายทับหลังปราสาทเขาโล้น ภาพที่ ๕ แถวกลีบบัวเหนือทับหลัง พบจากการขุดค้นภาพที่ ๖ และ ๗ ปราสาทเขาโล้น หลังการอนุรักษ์


ชื่อเรื่อง                     มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-ฉกษัตริย์)สพ.บ.                       417/11ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               26 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              ชาดกบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-รักทึบ-ลานดิบ-ลองชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี          


          วันศุกร์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เข้าตรวจเยี่ยมชมการจัดแสดงและการปรับปรุงภูมิทัศน์ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ จังหวัดนครนายก ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อรวบรวมประวัติความเป็นมาของเขื่อนขุนด่านปราการชลและเรื่องราวเกี่ยวกับประชาชนที่อยู่บริเวณรอบเขื่อนขุนด่านปราการชลและจังหวัดนครนายก โดยการจัดแสดงแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน ได้แก่ ปฐมบทการสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล, อดีตชลประทานถึงเขื่อนขุนด่านปราการชล, พระบารมีปกเกล้าชาวนครนายก และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ


          วัคซีน (Vaccine) คือ สารชนิดหนึ่งที่ฉีดเข้าไปร่างกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ส่วนใหญ่ทำมาจากเชื้อโรค แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ทำจากเชื้อโรคที่ตาย และทำจากเชื้อโรคที่อ่อนแอ เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกาย ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันกับโรคนั้น ๆ วัคซีนริเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2337 ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคไข้ทรพิษ นายแพทย์ชาวอังกฤษ เอดเวิร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner) สังเกตเห็นว่าหญิงรีดนมวัวที่เคยติดโรคฝีดาษวัวแล้วจะไม่เป็นไข้ทรพิษ จึงได้เริ่มการค้นคว้าทดลองโดยนำหนองจากแผลฝีดาษวัวของหญิงรีดนมวัวดังกล่าว ไปทดลองกับสัตว์หลายชนิดจนมีผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ต่อมาในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2339 เริ่มทดลองในคนเป็นครั้งแรกกับเจมส์ ฟิปส์ (James Phipps) เด็กชายอายุ 8 ปี โดยการกรีดผิวหนังที่แขนแล้วนําหนองฝีดาษวัวใส่ลงไป จากนั้นอีกประมาณ 2 เดือน นายแพทย์เจนเนอร์นําเอาหนองฝีจากผู้ป่วยไข้ทรพิษไปทดลองสะกิดที่ผิวหนังของเด็กชายรายเดิม ผลปรากฏว่าเด็กชายผู้นั้นไม่ติดโรคไข้ทรพิษ หลังทําการทดสอบวิธีการดังกล่าวอีกหลายครั้ง จนมั่นใจว่าวิธีการดังกล่าวสามารถป้องกันไข้ทรพิษได้ จึงได้นํารายงานผลการทดลองเสนอต่อราชสมาคมแห่งลอนดอน (Royal Society of London) แต่ถูกส่งคืนอย่างไม่ได้รับความสนใจ นายแพทย์เจนเนอร์จึงตัดสินใจตีพิมพ์เผยแพร่ผลการศึกษาดังกล่าวด้วยทุนส่วนตัว ซึ่งยังคงถูกคัดค้านจากวงการแพทย์ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องหลอกลวง แม้ผลงานของนายแพทย์เจนเนอร์จะถูกปฏิเสธจากวงการแพทย์ แต่กลับได้รับความนิยมจากประชาชน และการยอมรับขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ          ในปี พ.ศ. 2343 รัฐสภาอังกฤษรับรองผลงานของนายแพทย์เจนเนอร์ เรียกหนองฝีวัวนั้นว่า “Vaccine-วัคซีน” ซึ่งมาจากภาษาละตินว่า Vacca แปลว่าวัว และเรียกวิธีการป้องกันโรคดังกล่าวว่า Vaccination แม้ว่าวัคซีนจะเริ่มจากการใช้ป้องกันโรคไข้ทรพิษที่นำมาจากฝีดาษวัว แต่ปัจจุบันวัคซีนกลายเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรักษาโรคระบาดหลาย ๆ โรค รวมทั้งโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19          สำหรับประเทศไทย ไข้ทรพิษ หรือ ฝีดาษ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่มีมาตั้งแต่โบราณ ทางภาคใต้เรียก “ไข้น้ำ” ส่วนภาคเหนือเรียก “ตุ่มสุก” หรือ “เป็นตุ่ม” ตามลักษณะอาการที่จะมีตุ่มเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นดาษตามตัว โรคนี้มีบันทึกในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 หน่อพุทธางกูร และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ล้วนประชวรและเสด็จสวรรคตด้วยไข้ทรพิษ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีบันทึกเรื่องการระบาดของไข้ทรพิษบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในสมัยรัตนโกสินทร์ โรคนี้ก็ยังแพร่ระบาดเป็นประจำและไม่มีหนทางรักษา       วัคซีนในไทยเริ่มต้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) มีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2378 โดยหมอบลัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley) เป็นผู้นําเข้ามาเผยแพร่ ในระยะแรกต้องนำเข้าพันธุ์หนองฝีวัวจากสหรัฐฯ ภายหลังได้ใช้การปลูกฝีด้วยวิธีการ นําเอาหนองฝีจากผู้ป่วยไข้ทรพิษมาทําการปลูกฝี ซึ่งเป็นวิธีการที่ชาวจีนค้นพบ แต่วิธีดังกล่าวยังมีอันตราย จึงกลับมาใช้การนําพันธุ์หนองฝีวัวจากสหรัฐฯเช่นเดิม โดยคิดเงินค่าปลูกฝีคนละ 1 บาท (มีเงื่อนไขให้กลับมาติดตามตรวจดูผล หากฝีขึ้นดีจะคืนเงินให้ 50 สตางค์) เมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงทราบถึงความสำเร็จของการปลูกฝีป้องกันโรค จึงโปรดให้แพทย์ประจำราชสำนัก หรือหมอหลวงทุกคนมาฝึกการปลูกฝี และออกไปปฏิบัติการทั้งในและนอกวัง เริ่มตั้งแต่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2380          ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2385 หมอบรัดเลย์ได้เขียน “ตำราปลูกฝีโค” ถวายรัชกาลที่ 3 และตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์ (หนังสือพิมพ์ฉบับแรกในสยาม) ต่อมาในปี พ.ศ. 2387 “ตำราปลูกฝีโค ให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” โดยหมอบรัดเลย์ถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มครั้งแรก จำนวน 500 เล่ม และพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 อีก 1,000 เล่ม ในปีเดียวกัน จากความสำเร็จของการปลูกฝีไข้ทรพิษทำให้หมอบรัดเลย์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่ม “วิชาเวชศาสตร์ป้องกัน” ในประเทศไทย          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) การปลูกฝีเพื่อป้องกันไข้ทรพิษกลายเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาล มีการรายงานความก้าวหน้าของเรื่องนี้ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาเป็นประจำ จากปัญหาพันธุ์หนองฝีวัวนำเข้าจากสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 9 เดือน ทำให้หนองฝีเสื่อมคุณภาพ รัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชดำริให้คิดทำหนองฝีขึ้นใช้เอง กระทรวงธรรมการจึงส่งนายแพทย์ของไทยไปศึกษาดูงานที่ประเทศฟิลิปปินส์ ได้แก่ พระบำบัดสรรพโรค หรือนายแพทย์แฮนซ์ อดัมเซ็น (Hans Adamsen) และหลวงวิฆเนศน์ประสิทธิวิทย์ (อัทย์ หสิตะเวช) เมื่อทั้งสองท่านกลับมาเมืองไทยมีการทำพันธุ์หนองฝีครั้งแรกที่สำนักงานบริเวณสี่กั๊กพระยาศรี (สี่แยกพระยาศรี) ต่อมากระทรวงธรรมการเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “กอเวอนเมนต์ซีร่ำแลโบแร็ตโตรี (Government Serum Laboratory)” สำหรับผลิตพันธุ์หนองฝีขึ้น ใช้ปลูกป้องกันไข้ทรพิษภายในประเทศ และได้ย้ายสถานผลิตพันธุ์หนองฝีไปตั้งที่ตำบลห้วยจรเข้ จังหวัดนครปฐม ก่อนโอนกิจการทั้งหมดมาไว้ที่สภากาชาดไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) จนถึงปัจจุบัน----------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นางสาวเกศศิณี ผิวอ่อน บรรณารักษ์ กลุ่มพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ----------------------------------------------------------บรรณานุกรม จรรยา ยุทธพลนาวี. อ่านเรื่อง อ่านโรค ตอนที่ 2 ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมการจัดการโรคระบาดใน สังคม. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนายน 2564,จาก: https://www.sac.or.th/main/th/article/detail/127. 2563. บีช แบรดลีย์, แดน. ตำราปลูกฝีโค ให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: เอบีซีเอฟเอ็ม เพรส, 2387. “ประกาศกระทรวงมหาดไทย พแนกศุขาภิบาล” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 40 (16 กันยายน 2466) 1858. “ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๓” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 137 ตอนพิเศษ 48 ง (29 กุมภาพันธ์ 2563) 1. รณดล นุ่มนนท์. วัคซีนเข็มแรก ช่วยมนุษย์ พ้นวิกฤตการณ์โรคระบาด. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนายน 2564,จาก: https://www.prachachat.net/columns/news-671766. 2564. วัคซีนเข็มแรกของโลก วัคซีนเข็มแรกของไทย เกิดขึ้นเมื่อใด. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนายน 2564,จาก: https://www.silpa-mag.com/history/article_60861. 2564. ศรัณย์ ทองปาน. สยามยามเผชิญโรคระบาด. สืบค้นจาก [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนายน 2564,จาก: https://ngthai.com/history/31993/siampandemic/. 2563. หมอบรัดเลย์ และความสำเร็จของการปลูกฝี ไข้ทรพิษ ครั้งแรกในสยาม. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนายน 2564,จาก: https://www.sarakadeelite.com/faces/dr-dan-beach-bradley/. อภิสิทธิ์ เรือนมูล. คน วัว และวัคซีน: เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ บิดาแห่งวิทยาภูมิคุ้มกัน. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 10 มิถุนายน 2564,จาก: https://waymagazine.org/humans-vacca-vaccines/. 2564.


ปฐมสมฺโพธิ (ปถมสมฺโพธิ)  ชบ.บ.89/1-9  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.231/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  28 หน้า ; 4.5 x 59.5 ซ.ม. : ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 113 (180-193) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : ขีรธารกถา(แทนน้ำนมแม่)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.362/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 5 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 140  (420-433) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : เจตนาเภท--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม




ชื่อเรื่อง                     ศิลปากร ปีที่ 2 เล่ม 3ผู้แต่ง                       กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ทั่วไปเลขหมู่                      030 ศ528ศสถานที่พิมพ์               พระนคร  สำนักพิมพ์                 กรมศิลปากรปีที่พิมพ์                    2481ลักษณะวัสดุ               170 หน้าหัวเรื่อง                     วารสาร                              รวมเรื่องภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกวารสารศิลปากร ปีที่ 2 เล่ม 3


#สุทธาสวรรย์พรรณเพริศแพร้ว ตอนที่ 3 ในตอนที่แล้วได้นำเสนอข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ และเขตพระราชฐานชั้นในไป โดยจากข้อมูลที่เป็นบันทึกของชาวต่างชาติ และเอกสารของไทย สามารถสรุปลักษณะของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์และเขตพระราชฐานชั้นในได้ดังนี้ เขตพระราชฐานชั้นในเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หลังคาของพระที่นั่งประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่ของพระที่นั่งมีสระน้ำใหญ่สี่สระมีกระโจมคลุมกั้นเป็นที่สรงสนานของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สระน้ำด้านขวามือมีเขามอ พรรณไม้ขึ้นเขียวชอุ่มอยู่เสมอ มีธารน้ำแจกจ่ายน้ำให้แก่สระทั้งสี่นี้ บริเวณพระที่นั่งมีอาคารขนาดเล็กขนาบด้านซ้ายและด้านขวา มีน้ำพุอ่างแก้วบริเวณทิศเหนือและทิศใต้ของพระที่นั่ง เหล่าสนมกำนัลมีที่พักอาศัยเป็นตึกแถวยาวขนานไปกับพระที่นั่ง ............................................................ แม้ในปัจจุบันพระที่นั่งสุทธาสวรรย์จะเหลือเพียงซากของอาคารบนฐานไพทีแต่ยังคงไว้ซึ่งหลักฐานที่น่าสนใจเกี่ยวกับพระที่นั่งองค์นี้ ดังจะกล่าวต่อไป ระบบการจัดการน้ำ เป็นจุดเด่นของพระราชวังเมืองลพบุรี โดยได้รับการออกแบบระบบประปาจากวิศวกรชาวอิตาลี และฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาสานต่อการวางระบบประปาที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยในปัจจุบันยังมีหลักฐานอันเกี่ยวข้องกับการนำน้ำมาใช้ในพระที่นั่งอย่างชัดเจนคือ รางน้ำ ท่อระบายน้ำ และน้ำพุ ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน - รางน้ำ และสระน้ำ (หรืออ่างน้ำ) พบร่องรอยของรางน้ำบนฐานพระที่นั่งด้านทิศเหนือ ตะวันออก และทิศใต้ ส่วนทิศตะวันตกปัจจุบันไม่พบร่องรอยของรางน้ำ นอกจากรางน้ำที่ด้านทั้ง 3 ของพระที่นั่ง พบร่องรอยของสระน้ำ หรืออ่างน้ำทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายื่นออกมาจากส่วนฐานของพระที่นั่ง โดยมีรางน้ำล้อมรอบทั้งสี่ด้าน บริเวณมุมทั้งสี่พบร่องรอยของการถากอิฐคล้ายกับลักษณะของหลุมเสา เห็นได้อย่างชัดเจนที่อ่างน้ำด้านทิศใต้ - ท่อระบายน้ำ พบระบบการระบายน้ำโดยการนำท่อน้ำดินเผาวางตั้งฉากกับพื้นพระที่นั่ง ส่วนปลายท่อหันออกนอกพระที่นั่งเพื่อระบายน้ำส่วนเกินออก โดยท่อระบายน้ำวางเป็นช่วง ๆ ขนานไปกับแนวรางน้ำรอบพระที่นั่ง โดยมีการวางแผนผังอย่างเป็นระบบ และค่อนข้างสมมาตรกัน - น้ำพุ? ที่กึ่งกลางของอ่างน้ำ หรือสระน้ำ ด้านทิศตะวันออก และทิศใต้ของพระที่นั่งพบท่อโลหะถูกฝังไว้ในลักษณะของการตั้งฉากกับพื้นพระที่นั่ง ฝังลึกลงไปในฐานพระที่นั่ง โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อโลหะประมาณ 2 เซนติเมตร ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าคงเป็นการลดขนาดของท่อส่งน้ำ เพื่อให้เกิดแรงดันจนน้ำสามารถไหลขึ้นมาด้านบน แม้ไม่อาจจิตนาการได้ว่าน้ำพุในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะมีลักษณะอย่างไร แต่ท่อโลหะนี้ถือว่าเป็นหลักฐานอันใกล้เคียงกับองค์ประกอบของน้ำพุมากที่สุดเท่าที่ยังคงหลงเหลือหลักฐานอยู่ นอกจากระบบการจัดการน้ำยังคงหลงเหลืออาคารและสิ่งก่อสร้างบริเวณพระที่นั่งคือ เขามอ หรือภูเขาจำลอง และพระปรัศว์ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างประกอบพระที่นั่งที่มีลักษณะเฉพาะตัว เขามอ หรือภูเขาจำลอง ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระที่นั่ง มีส่วนเชื่อมต่อกับสระน้ำ หรืออ่างน้ำด้านทิศเหนือ ที่ฐานของเขามอมีการเจาะรูทะลุเป็นอุโมงค์ บริเวณฐานของเขามอพบท่อน้ำดินเผาฝังไว้ โดยอาจเป็นท่อสำหรับนำน้ำเข้าไปยังพระที่นั่งหรืออาจเป็นท่อเพื่อระบายน้ำออก บริเวณเขามอ หรือภูเขาจำลองนี้ สอดคล้องกับบันทึกของ นิโกลาส์ แชร์แวส ที่ได้บรรยายไว้ว่า “...สระน้ำที่อยู่ทางขวามือ (หากหันหน้าเข้าหาด้านหน้าของพระที่นั่ง เขามอ จะอยู่ทางด้านขวามือ) มีลักษณะคล้ายถ้ำเล็ก ๆ มีพรรณไม้เล็ก ๆ ขึ้นเขียวชอุ่มอยู่เสมอ...” พระปรัศว์ เป็นอาคารขนาดเล็กขนาบข้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ภายในพบลักษณะของการทำอ่างน้ำขนาดประมาณ 1 x 1.5 เมตร โดยมีรางน้ำจ่ายน้ำเข้ามาในอ่างโดยเชื่อมต่อมาจากรางน้ำที่ล้อมพระที่นั่งด้านทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศใต้ ลักษณะสำคัญของอ่างน้ำภายในพระปรัศว์ทั้งด้านทิศเหนือ และทิศใต้นี้ คือการนำหินอ่อนมากรุรอบอ่างน้ำ . ดังที่ได้กล่าวไป เกี่ยวกับหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบจัดการน้ำที่ถูกนำมาเป็นส่วนตกแต่งสถาปัตยกรรมที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ โดยสามารถสันนิษฐานได้อย่างคร่าว ๆ ว่า พระที่นั่งองค์นี้มีการนำน้ำมาจากส่วนใดส่วนหนึ่งของพระราชวัง โดยอาจเป็นการเดินท่อประปามาจากอ่างเก็บน้ำบริเวณหน้าพระราชวัง การจ่ายน้ำหล่อพระที่นั่งใช้ระบบรางน้ำ หรือลำธารประดิษฐ์เป็นแนวบังคับน้ำให้ไหลไปยังส่วนต่าง ๆ และระบบการระบายน้ำส่วนเกินออกจากพระที่นั่งด้วยท่อประปาดินเผาวางตั้งฉากกับฐานพระที่นั่งแล้วปล่อยน้ำออกด้านนอกพระที่นั่ง . การตกแต่งพระที่นั่งด้วยการนำน้ำมาเป็นส่วนหนึ่งของพระที่นั่งโดยเฉพาะการวางรางน้ำ หรือธารน้ำประดิษฐ์มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นการรับเอาวิทยาการมาจากสถาปัตยกรรมแบบอินโด-เปอร์เซีย โดยสามารถเปรียบเทียบการจัดวางแผนผังและระบบน้ำในพระราชวังที่อิหร่านและอินเดีย เช่น พระตำหนักฮัทซ์เบชัท (Hasht Behesht : พ.ศ. 2212-2213) ในอิหร่าน และ พระตำหนักในพระราชอุทยานชาลิมาร์ (Shalimar Garden : พ.ศ. 2112-2170) นอกจากนี้การทำอ่างน้ำที่กรุผนังด้วยหินอ่อนหรือกระเบื้องเคลือบก็พบได้ทั่วไปในระบบจัดการน้ำของสถาปัตยกรรมอินโด-เปอร์เซีย (ท่านที่สนใจ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามลิงก์: https://so04.tci-thaijo.org/inde.../NAJUA/article/view/16707 ) ในตอนต่อไปจะพาทุกท่านเข้าไปสำรวจด้านหลังของแนวกำแพง ซึ่งถูกทิ้งให้รกร้างมาเป็นเวลานาน การบูรณะครั้งใหญ่ในปี 2563 จะเปิดเผยหลักฐานอะไรบ้าง ติดตามได้ใน สุทธาสวรรย์พรรณเพริศแพร้ว ตอนที่ 4 ค่ะ ……………………………………………… อ้างอิง คำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง. เข้าถึงได้จาก : https://vajirayana.org/คำให้การขุนหลวงหาวัด-ฉบับหลวง จุฬิศพงศ์ จุฬารันต์. ความสัมพันธ์ระหว่างสถาปัตยกรรมอินโด-เปอร์เซีย กับรูปแบบสถาปัตยกรรม ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์เมืองลพบุรี. เข้าถึงได้จาก : https://so04.tci-thaijo.org/inde.../NAJUA/article/view/16707 นิโกลาส์ แชร์แวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม : ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. สันต์ ท. โกมลบุตร แปล. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ก้าวหน้า, 2506. พิทยะ ศรีวัฒนสาร. การขุดแต่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี. เข้าถึงได้จาก : http://bidyarcharn.blogspot.com/2011/03/blog-post.html ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกพรไพศาล. รายงานการบูรณะพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ และขุดแต่งบริเวณด้านหลังพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ปีงบประมาณ 2549. เอกสารอัดสำเนา. ……………………………………………… เรียบเรียงโดย นางสาววสุนธรา ยืนยง นักวิชาการวัฒนธรรม #MuseumInsider . สุทธาสวรรย์พรรณเพริศแพร้ว ตอนที่ 1 : https://www.facebook.com/1535769516743606/posts/3268604856793388/ สุทธาสวรรย์พรรณเพริศแพร้ว ตอนที่ 2 : https://shorturl.at/pwAEH


black ribbon.