ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
คันฉ่องสำริด พบที่แหล่งเรือจมรางเกวียน จังหวัดชลบุรี แบบศิลปะจีน พบในแหล่งเรือจมรางเกวียนจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นแหล่งเรือจมที่กำหนดอายุอยู่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 สันนิษฐานว่าเป็นวัตถุมงคลที่ช่างต่อเรือฝังตรึงไว้เพื่อให้ความคุ้มครองป้องกันภัยในการเดินทาง พบจำนวน 3 ชิ้น เฉพาะคันฉ่องที่มีลายนูนพบฝังตรึงอยู่กับกระดูกงูด้านหัวเรือลักษณะเป็นคันฉ่องบานขนาดเล็ก ด้านหน้าขัดเรียบ ด้านหลังมีลายนูนรูปต้นไม้และรูปกลุ่มบุคคล ในประเทศไทยคันฉ่องสำริดศิลปะจีนอยู่หลายชิ้น ตัวอย่างเช่น คันฉ่องที่พบที่อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช พบที่ริมแม่น้ำเพชรบุรี อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี และพบที่ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เป็นต้น การทำคันฉ่องสำริดของจีน เริ่มมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์โจวตะวันออก อายุราว 2500 ปีมาแล้ว มีการค้นพบแม่พิมพ์คันฉ่องที่มีลวดลายของสัตว์และดอกไม้ที่แหล่งโบราณคดีในมณฑล Shansi ประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก หลังจากนั้นก็มีการทำต่อมาเรื่อยๆ รวมทั้งเผยแพร่รูปแบบและเทคนิคไปยังดินแดนอื่นๆ ใกล้เคียง เช่น ญี่ปุ่นและคาบสมุทรเกาหลี เป็นต้น ------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พาณิชย์นาวี------------------------------------------อ้างอิง 1. กรมศิลปากร.โบราณคดีสีคราม.โครงการโบราณคดีใต้น้ำ งานโบราณคดีใต้น้ำ ฝ่ายวิชาการ กองโบราณคดี กรมศิลปากร ,2531 2. ล้อม เพ็งแก้ว ชื่อ “วัตถุทางวัฒนธรรม” ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2559 3.สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม 3 กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542 4.องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง เรื่อง “คันฉ่องสำริดที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง” เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 5. Yunxiang Bai, On the two traditions of the bronze mirror casting techniques in East Asia. Chinese Archaeology | Volume 11: Issue 1 Published online: 01 Jan 2011 6. Ancient Chinese Bronze Mirrors from the Lloyd Cotsen Collection. Nov. 12, 2011–May 15, 2012 Virginia Steele Scott Galleries of American Art, Susan and Stephen Chandler Wing, The Huntington Library, Art Collections and Botanical Gardens
ผู้แต่ง : ดำรงราชานุภาพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2405-2486.
ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร
ปีที่พิมพ์ : 2496
หมายเหตุ : ต้นฉบับจากกรมศิลปากร พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนาวาอากาศเอก พระประพิณพนยุทธ์ (พิณ พลชาติ)
กล่าวถึงประวัติเรือรบไทยตั้งแต่สมัยโบราณ 2 ชนิด คือ เรือรบใช้สำหรับทางแม่น้ำและเรือรบใช้สำหรับทางทะเล
รวบรวมภาพ พระราชกรณียกิจ ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในขณะดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ประจำปี พ.ศ. 2542 - 2543 ผู้แต่ง สำนักงานเสิมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลโรงพิมพ์ เซเว่น พริ้นติ้ง กรุ๊ปปีที่พิมพ์ 2543ภาษา ไทย - อังกฤษ รูปแบบ pdfเลขทะเบียน หช.จบ. 214 จบ (ร)
การผลิตสังคโลกในอดีตนั้น ความเชี่ยวชาญของช่างปั้นและประสบการณ์ที่ได้จากการลองผิด ลองถูกถือเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากในสมัยก่อนยังไม่มีเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยให้การผลิตเครื่องสังคโลกมีประสิทธิภาพ ในบางครั้งการผลิตเครื่องสังคโลกจึงเกิดความผิดพลาดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความผิดพลาดที่เกิดจากการผลิตสังคโลกมีหลายกรณี เช่น การแตกราน เกิดจากตัวเคลือบและเนื้อดินปั้นขยายหรือหดตัวไม่เท่ากัน ทำให้ผิวเคลือบมีรอยแตกเหมือนร่างแห น้ำเคลือบแยกตัว มีสาเหตุการเกิดหลายประการ เช่น เนื้อดินปั้นเปียกชื้น มีฝุ่นละอองจับอยู่ที่ผิวดินก่อนเคลือบ หรือน้ำเคลือบข้นเกินไป ทำให้สังคโลกที่ได้มีช่องว่างที่เห็นผิวดินเพราะไม่มีเคลือบติดอยู่ น้ำเคลือบไหลตัว เป็นผลมาจากการเผาด้วยอุณหภูมิสูงเกินไป หรือชุบน้ำเคลือบหนาเกินไป ส่งผลให้น้ำเคลือบไหลตัวเป็นหยด การแตกร้าว มีสาเหตุมาจากการชุบเคลือบหนาเกินไป หรือนำภาชนะออกจากเตาในขณะที่ยังร้อนอยู่ และเมื่อพบกับอุณหภูมิภายนอกที่ต่ำกว่ามาก ภาชนะจึงแตกร้าว การบิดเบี้ยว เกิดจากการเผาภาชนะด้วยความร้อนสูงเกินไป หรือตั้งภาชนะอยู่ใกล้เปลวไฟมากเกินไป ทำให้สังคโลกเกิดการบิดเบี้ยวเสียรูปทรง แม้ว่าสังคโลกกลุ่มนี้จะไม่ใช่ผลงานที่สมบูรณ์แต่ก็ถือเป็นโบราณวัตถุสำคัญที่แสดงถึงความพยายาม ของช่างในการผลิตเครื่องสังคโลก และเป็นตัวอย่างของบทเรียนจากความผิดพลาดที่ทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาของคนในอดีตเพื่อนำไปใช้พัฒนาต่อยอดต่อไปได้ การแตกราน น้ำเคลือบแยกตัว น้ำเคลือบไหลตัว การบิดเบี้ยว ---------------------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก ----------------------------------------------------------
ลำดับที่ ๐๐๓ เรื่อง จดหมายเหตุว่าด้วย โรคติดต่อร้ายแรง ตอนที่ ๒
ปัจจุบันสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ หรือ (โควิค-๑๙) ที่แพร่ระบาดหนักในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายต่อชีวิต และเศรษฐกิจในวงกว้าง รวมถึงกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก
หากย้อนไปในอดีตจากข้อมูลเอกสารจดหมายเหตุพบว่าเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคได้เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศไทย ดังที่ได้นำเสนอไว้ในตอนที่ ๑
สำหรับสัปดาห์นี้ เสนอ บทความความรู้จากงานจดหมายเหตุจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลา
ลำดับที่ ๐๐๓ เรื่อง
จดหมายเหตุว่าด้วย โรคติดต่อร้ายแรง ตอนที่ ๒ กำจัดยุง กำจัดไข้มาลาเรีย
ไข้มาลาเรียมีการติดต่อแพร่เชื้อโดยมียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค การควบคุมไข้มาลาเรียไม่ให้มีการแพร่ ขยายออกไป จึงจำเป็นต้องตัดวงจรชีวิตยุงก้นปล่องให้ได้มากที่สุด ด้วยการพ่นเคมี ดี.ดี.ที.
แม้ว่าการพ่น ดี.ดี.ที. จะช่วยกำจัดยุงก้นปล่องซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้มาลาเรียได้ แต่ประชาชนบางส่วนยัง ไม่มั่นใจว่าการพ่น ดี.ดี.ที. จะช่วยลดการแพร่ระบาดของไข้มาลาเรียได้ และเกรงว่าจะส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย และอาคารบ้านเรือน
หน่วยมาลาเรียที่ ๕ สุราษฎร์ธานี ศูนย์มาลาเรียเขต ๔ สงขลา จึงออกใบประกาศ ประชาสัมพันธ์ไปยังพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไข้มาลาเรีย การปฏิบัติงานของทาง ราชการ และขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ในการพ่นเคมี ดี.ดี.ที.
นอกจากนี้ หน่วยมาลาเรียที่ ๑ ตาก ศูนย์มาลาเรียเขต ๑ พระพุทธบาท มีบทความออกอากาศทางสถานี วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยแม่สอด จังหวัดตาก ครั้งที่ ๖๕/๓/๒๕๒๔ ประจำวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๔ ในรายการมาเลเรียเพื่อประชาชน ได้มีการอ่านบทความเกี่ยวกับไข้มาลาเรีย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ แก่ประชาชน และมีการนำบทกลอนที่เขียนถึงไข้มาลาเรียอ่านออกอากาศ
รายละเอียดสามารถมาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สงขลา
ถนนกาญจนวนิช ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๙๐๑๑๐
โทร. ๐ ๗๔๒๑ ๒๕๖๒, ๐ ๗๔๒๑ ๒๔๗๙
โทรสาร ๐ ๗๔๒๑ ๒๑๘๒
E-mail : national.archives.songkhla@gmail.com
Website : http://www.finearts.go.th/songkhlaarchives/
เลขทะเบียน : นพ.บ.121/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า ; 5 x 57.3 ซ.ม. : ทองทึบ-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 69 (225-231) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : สตฺตปฺกรณาภิธมฺ (พระอภิธมฺสงฺคิณี-พระยกมกปกรณ)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.111/1ขห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 26 หน้า ; 4.5 x 54.6 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 62 (188-191) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : แทนน้ำนม--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๒๓
เจ้าอาวาสวัดต้นสน ต.บางปลาสร้อย เขต ๑ อ.เมือง จ.ฃลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๐ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.20/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
บ้านตาดทอง ชุมชนโบราณมีคูน้ำคันดิน
-----ชุมชนบ้านตาดทอง หมู่ ๑ ตั้งอยู่ใน ตำบลตาดทอง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ห่างจากอำเภอเมืองไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๕ กิโลเมตร ทิศเหนือติดกับตำบลสิงห์ ทิศตะวันออกติดกับตำบลหนองคู ทิศตะวันตกติดกับตำบลในเมือง และ ตำบลเขื่องคำ ทิศใต้ติดกับตำบลขุมเงิน เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีบ้านเรือนไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ หลังคาเรือน (หมู่ ๑) พื้นที่ในบริเวณทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออกของหมู่บ้านเป็นพื้นที่นา ตัวหมู่บ้านห่างจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำชี ห่างจากหมู่บ้านไปทางตะวันตกประมาณ ๖ กิโลเมตร ลำน้ำกว้าง ห่างจากหมูบ้านไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๓ กิโลเมตร และ ห้วยถ่มห่างจากหมูบ้านไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑ กิโลเมตร
-----ชุมชนบ้านตาดทอง ตั้งอยู่บนเนินดินซึ่งเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณ ปรากฏร่องรอยของคูน้ำคันดิน ล้อมรอบ ๒ ชั้นอย่างชัดเจน โดยที่ลักษณะของคูน้ำทั้ง ๒ ชั้น มีลักษณะเป็นร่องน้ำอยู่ตรงกลางและมีคันดินขนาบข้าง ดังนี้
------ชั้นใน มีลักษณะแผนผังรูปวงรี ล้อมรอบเนินดินของหมู่บ้าน มีขนาดกว้างที่สุดประมาณ ๔๘๐ เมตร และยาวที่สุดประมาณ ๕๓๐ เมตร
-----ชั้นนอก มีลักษณะแผนผังคล้ายรูปสี่เหลี่ยมมุมมน วางตัวตามแนวแกนทิศตะวันออกเฉียงเหนือ – ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ขนาดกว้างประมาณ ๖๐๐ เมตร ยาวประมาณ ๙๔๐ เมตร สันนิษฐานว่าเป็นแนวคูน้ำที่สร้างมาในระยะหลัง และขยายตัวออกจากคูน้ำชั้นใน โดยการขุดคูน้ำและสร้างคันดินต่อเนื่องออกมาในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
-----คูน้ำ ที่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน คือ คูน้ำด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ กว้างประมาณ ๒๐ - ๔๐ เมตร
-----คันดิน จากข้อมูลเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ ยังคงปรากฎร่องรอยของคันดินที่ทางด้านทิศใต้และด้านทิศตะวันตกเท่านั้นและมีสภาพไม่สมบูรณ์
ปัจจุบันชุมชนโบราณบ้านตาดทองถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน เนื่องจากมีทางหลวงหมายเลข ๒๓ ตัดผ่านกลางเมือง
-----จากการศึกษาภาพถ่ายทางอากาศ และการศึกษาทางโบราณคดี ทำให้พบหลักฐานชุมชนโบราณมีคูน้ำ คันดินล้อมรอบ จำนวนมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีทั้งลักษณะชุมชนที่มีคูน้ำคันดินชั้นเดียว และชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบหลายชั้น
-----ชุมชนโบราณบ้านตาดทองถือเป็นชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบหลายชั้นดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ลักษณะของชุมชนประเภทนี้พบได้น้อยมากมักพบว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ และตั้งอยู่ห่างไกลกัน เป็นชุมชนที่มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ในสมัยวัฒนธรรมทวารวดีและเจนละ (อายุประมาณ ๒,๕๐๐ - ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว) ชุมชนโบราณประเภทนี้ ได้แก่ เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ เมืองโบราณบ้านคูเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น
-----ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชุมชนโบราณบ้านตาดทองเป็นแหล่งโบราณคดีที่นักวิชาการทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้ความสนใจ จะขอกล่าวถึงในรายละเอียดในตอนต่อไป (ติดตามต่อไปในเรื่อง บ้านตาดทอง ประวัติการทำงานที่ผ่านมา)
+++นายพงษ์พิศิษฏ์ กรมขันธ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ ผู้เรียบเรียง+++
-----ข้อมูลจาก ๑. สุรพล ดำริห์กุล.(๒๕๔๙). แผ่นดินอีสาน. กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์.
๒. ชินณวุฒิ วิลยาลัย.(ไม่ระบุปีพ.ศ.) ชุมชนโบราณบ้านตาดทอง ตำบลตาดทอง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร(เอกสารอัดสำเนา).
๓. นายพงษ์พิศิษฏ์ กรมขันธ์, นายสาริศ วัฒนากาล.(๒๕๖๒) รายงานการขุดค้นทางโบราณคดีโบราณสถานธาตุตาดทอง ตำบลตาดทอง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร(เอกสารอัดสำเนา). สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
วิหารคริสตจักรตรัง ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง
กำเนิดคริสตจักรโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย
คริสตจักรโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย มีประวัติศาสตร์ย้อนไปตั้งแต่ในปี พ.ศ.๒๓๗๑ เมื่อศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน จากสมาคมมิชชันนารีลอนดอน และศาสนาจารย์นายแพทย์คาร์ล กุตสลาฟ จากสมาคมมิชชันนารีฮอลันดา เข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนานิกายโปรเตสแตนต์เป็นครั้งแรกในประเทศสยาม ต่อมาจึงมีคณะมิชชันนารีเดินทางเข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนาอีกหลายคณะ รวมทั้งมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนด้วย
มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน
ในปี พ.ศ.๒๓๘๐ มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนเข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และเมื่อถึงพ.ศ.๒๓๙๒ ศาสนาจารย์สตีเฟน แมตตูน แหม่มแมตตูน(ภรรยา) ศาสนาจารย์นายแพทย์แซมมูเอล เรโนลด์ เฮาส์ ศาสนาจารย์สตีเฟน บุช และภรรยา ได้ดำเนินการประชุมเพื่อสถาปนาคริสตจักรอเมริกันเพรสไบทีเรียนในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตั้งที่ทำการของมิชชันอยู่ที่บริเวณชุมชนกุฎีจีน กรุงเทพมหานคร และต่อมาย้ายไปยังย่านสำเหร่ทั้งหมดในพ.ศ.๒๔๐๐
สำเหร่จึงกลายมาเป็นศูนย์กลางการทำงานของคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน เป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสตจักรที่ ๑ มีบ้านพักมิชชันนารี โรงเรียน โรงพิมพ์ ครบครัน มิชชันนารีที่เพิ่งเดินทางมาใหม่สามารถเข้ามาอาศัยเพื่อเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมไทย ก่อนที่จะเดินทางออกไปเผยแผ่ศาสนาและจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีในเมืองต่างๆ สำหรับในภาคใต้ได้มีการจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีที่นครศรีธรรมราชเมื่อพ.ศ.๒๔๔๓ และจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีที่ตรังในพ.ศ.๒๔๕๓
แรกเริ่มศาสนาคริสต์ในตรัง
ราว ๒๔๔๘(ค.ศ.๑๙๐๕) ศาสนาจารย์จอห์น แคริงตัน(Rev.John Carrington) แห่งสมาคมพระคริสตธรรมอเมริกันเดินทางมาเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่จังหวัดตรัง ในครั้งนั้นท่านได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งแก่หลวงเพชรสงคราม (นายบุญนารถ ไชยสอน) ซึ่งทำให้หลวงเพชรสงครามหันมานับถือคริสต์ศาสนาในเวลาต่อมา แต่เนื่องจากเมืองตรังในขณะนั้นไม่มีหมอสอนศาสนาประจำอยู่ จึงทำให้ยังไม่มีโอกาสเข้าพิธีรับบัพติศมา(พิธีรับศีลล้างบาป) จนกระทั่งศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) เดินทางมายังจังหวัดตรังจึงได้เข้ารับบัพติศมา และถือว่าหลวงเพชรสงครามเป็นคริสเตียนคนแรกของจังหวัดตรัง
กำเนิดคริสตจักรตรัง
คริสตจักรตรัง เป็นส่วนหนึ่งของคณะเพรสไบทีเรียนสยาม(คริสตศาสนานิกายโปรแตสแตนท์) ปัจจุบันสังกัดคริสตจักรภาคที่ ๑๗ คริสตจักรตรังกำเนิดขึ้นในพ.ศ.๒๔๔๘(ค.ศ.๑๙๐๕) เมื่อพระยารัษฎานุปะดิษฐ์(คอซิมบี้ ณ ระนอง) มอบเงิน ๓,๐๐๐ ดอลลาร์ ให้ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) เพื่อดำเนินการสร้างโรงพยาบาลทับเที่ยงขึ้นที่จังหวัดตรัง และอนุญาตให้ดำเนินการเผยแผ่คริสตศาสนาได้โดยเสรี แต่ก็ยังไม่นับเป็นวันเริ่มต้นของคริสตจักรตรังอย่างเป็นทางการ
สถานีประกาศทับเที่ยง
วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๕๓ (ค.ศ.๑๙๑๐) ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป ได้เลือกที่ดินในบริเวณตลาดทับเที่ยงเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลทับเที่ยงและเป็นที่ตั้งของสถานีมิชชั่น(Station)หรือสถานีประกาศ ซึ่งหมายถึงฐานหรือสถานีปฏิบัติงานของคณะ จึงนับเป็นวันเริ่มต้นของคริสตจักรตรังอย่างเป็นทางการ โดยผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดำเนินงานในระยะเริ่มแรกนี้ได้แก่ ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) นางอีเมไลน์ วิลสัน คริสส์(Mrs.Emaline Wilson Criss) ภรรยาของท่าน นายแพทย์ลูเชียส คอนสแตนท์ บัลค์ลีย์ (Dr.Lucius Constant Bulkley) นางเอ็ดน่า บูรเนอร์ บัลค์ลีย์ (Mrs.Ednah Bruner Bulkley) ครูตุ้น(ชาวจีน) และนายจวง จันทรดึกผู้ช่วยด้านการแพทย์ชาวไทย ทั้งนี้ได้เริ่มให้มีการถือศีลระลึกถึงความมรณาของพระเยซู และมีการให้บัพติศมา ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ (ค.ศ.๑๙๑๒)
โรงสวดทับเที่ยง
ต่อมาในพ.ศ.๒๔๕๖ (ค.ศ.๑๙๑๓) คริสตจักรตรังได้รับอนุญาตให้ซื้อที่สำหรับสร้างสุสานและโบสถ์ ทั้งนี้ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๔๕๖ มีสมาชิกคริสตจักรตรัง ๗๐ คน มาช่วยกันปรับที่ดิน และสร้างโบสถ์ทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงจาก บนดินที่ได้ช่วยกันปรับพูนขึ้น รวมทั้งสร้างม้านั่ง และประดับประดาจนเสร็จสิ้นภายใน ๑ วัน เรียกกันว่า “โรงสวดทับเที่ยง” ใช้เป็นสถานที่นมัสการแทนสถานที่เดิมคือห้องประชุมของโรงพยาบาลทับเที่ยง
วิหารทับเที่ยง
ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๕) ได้สร้างโบสถ์หลังใหม่ก่อด้วยอิฐฉาบปูนเรียกชื่อว่า “วิหารทับเที่ยง” ซึ่งยังคงปรากฏมาถึงปัจจุบัน โดยในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๘ ได้มีการประกอบพิธีถวายอาคารหลังนี้ และทำการการฉลองเป็นเวลา ๓ วันในระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๕๘ วิหารแห่งนี้สามารถรองรับผู้คนซึ่งเดินทางมานมัสการได้ราว ๒๐๐ คน
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
“วิหารทับเที่ยง” มีลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียว ก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๙ เมตร มีหน้าต่างด้านละ ๗ บาน ประตูด้านหน้า ๑ ประตู ด้านหลัง ๒ ประตู หน้าต่างและประตู มีกรอบวงกบรูปวงโค้ง มีคิ้วปูนอยู่เหนือกรอบวงกบ ภายในแบ่งเป็นห้องโถงเล็กด้านหน้าประตู และห้องโถงใหญ่ภายใน โดยที่ผนังเหนือซุ้มหน้าห้องโถงเล็กมีอักษรจารึกว่า “วิหารคริศศาสนาสร้างค.ศ.๑๙๑๕” ส่วนหลังคามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์แบบเก่า ด้านข้างของอาคารมีหอระฆัง โดยส่วนหลังคาของหอระฆังเมื่อแรกสร้างนั้นมีลักษณะเป็นดาดฟ้า รูปทรงคล้ายป้อมทหารโบราณ โดยในเวลาต่อมาได้ทำการต่อเติมหอระฆังและย้ายระฆังจากชั้นที่ ๒ ไปไว้ชั้นที่ ๓ รวมทั้งเปลี่ยนรูปทรงหลังคาของหอระฆังด้วย
การบูรณะ พ.ศ.๒๕๒๘ (ค.ศ.๑๙๘๕)
ดำเนินการระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม การบูรณะในครั้งนี้ได้เปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาจากกระเบื้องซีเมนต์แบบเก่า มาเป็นกระเบื้องใยสังเคราะห์ ปรับปรุงเพดานด้วยการบุกระเบื้องยิปซัม เปลี่ยนพื้นจากพื้นปูนหยาบเป็นปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิกส์สีขาวครีม ทาสีผนังทั้งภายนอกและภายใน และทำเวทีใหม่ให้ลดความสูงลง
การบูรณะ พ.ศ.๒๕๕๐(ค.ศ.๒๐๐๗)
พ.ศ.๒๕๕๐ คณะกรรมการบริหารคริสตจักรตรังเห็นสมควรให้มีการบูรณะวิหารทับเที่ยงที่ชำรุดทรุดโทรมลง จึงมีคำสั่งลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ แต่งตั้งนายเทิดศักดิ์ ตรีรัตนพันธ์ เป็นผู้ควบคุมดูแลการบูรณะ ให้นายสนิท พานิช เป็นวิศวกรที่ปรึกษา โดยใช้งบประมาณจากการถวายของสมาชิกคริสตจักรตรังในการดำเนินการ การบูรณะในครั้งนี้ได้เปลี่ยนกลับมาใช้กระเบื้องว่าวตามแบบโบราณ ซ่อมแซมผนังส่วนที่แตกร้าวโดยใช้กรรมวิธีแบบโบราณ เสริมกระจกใสบริเวณหน้าต่าง ออกแบบตู้ไม้สำหรับติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เปลี่ยนวัสดุปูพื้นจากเซรามิกส์เป็นแผ่นหินอ่อนจากสระบุรี ปรับปรุงระบบไฟฟ้าทั้งหมด ทั้งนี้การบูรณะได้ดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑
รางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น
พ.ศ.๒๕๕๒ วิหารคริสตจักรตรัง ได้รับการคัดเลือกจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทปูชนียสถานและวัดวาอาราม
โบราณสถานวิหารคริสตจักรตรัง
พ.ศ.๒๕๔๕ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนวิหารคริสตจักรตรัง เป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๑๗ ง วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
------------------------------------------------------
เรียบเรียงโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา
แหล่งโบราณคดีในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ที่พบแผ่นหินรูปคล้ายใบเสมาในวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า “ใบเสมา” ได้แก่ ชุมชนโบราณบ้านไพรขลา อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ชุมชนโบราณบ้านไพรขลา เป็นชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดิน เป็นส่วนหนึ่งของเขต ทุ่งกุลาร้องไห้ ตั้งอยู่ห่างจากลำน้ำมูลเพียง ๕ กิโลเมตร เท่านั้น ภายในชุมชนโบราณ พบกลุ่มใบเสมา ๒ กลุ่ม ได้แก่ ๑. โนนสิมมาใหญ่ ๒. โนนสิมมาน้อย ซึ่งรูปแบบใบเสมาที่พบ สามารถกำหนดอายุสมัยอยู่ในวัฒนธรรมทวารวดี ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖-------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา