ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

      หม่อมเจ้าการวิก ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2460 เป็นพระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรฐวงศ์วราวัตร กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ กับหม่อมโป๊ จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ทรงศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารและโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย พ.ศ. 2473 ได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่โรงเรียน Lycée Perier ประเทศฝรั่งเศส       หม่อมเจ้าการวิกมีความสนพระทัยในด้านศิลปะตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ โปรดการการเขียนภาพลายเส้นการ์ตูนล้อเลียน จึงทำให้พระองค์เริ่มเรียนรู้เทคนิคการเขียนภาพสีน้ำที่ประเทศฝรั่งเศส หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หม่อมเจ้าการวิกได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ไปประทับที่ประเทศอังกฤษเพื่อถวายการรับใช้ ระหว่างที่ตามเสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ ก็ทรงเขียนภาพทิวทัศน์ของสถานที่นั้นๆ ไว้ด้วย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น หม่อมเจ้าการวิกได้เข้าประจำการในกองทัพอังกฤษและเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยเพื่อต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ทรงใช้เวลาว่างจากการฝึกซ้อมในค่ายทหารที่ประเทศต่างๆ ด้วยการเขียนภาพสีน้ำ       หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หม่อมเจ้าการวิกเสด็จกลับมาประทับที่ประเทศไทย และได้พบกับนายโมเนต์ ซาโตมิ (Monet Satomi) อุปทูตด้านวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และศิลปินชาวญี่ปุ่นที่มีบทบาทสำคัญต่อวงการศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย ณ ขณะนั้น ซาโตมิได้แนะนำให้พระองค์ลองส่งภาพเขียนสีน้ำที่มีชื่อว่า “สิงห์” (ภูเขาลูกหนึ่งในประเทศอินเดีย) เข้าร่วมประกวดการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2493) โดยได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง ประเภทจิตรกรรม หลังจากนั้นหม่อมเจ้าการวิกทรงส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดต่อเนื่องหลายครั้ง (ครั้งที่ 2 6 8 9 10 และ 11) และได้รับรางวัลทุกครั้งที่ส่งเข้าร่วมการประกวด       จากนั้นพระองค์ได้รับการทูลเชิญให้ร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติถึง 22 ครั้ง ในฐานะผู้มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านทัศนศิลป์ พระองค์จึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อวงการศิลปะของไทยนับแต่นั้น ทรงดำรงตำแหน่งนายกศิลปสมาคมระหว่างชาติแห่งประเทศไทย ซึ่งมีภารกิจในการส่งเสริมวงการศิลปะสมัยใหม่ของไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีนานาชาติ โดยการสนับสนุนศิลปินไทยให้ได้เข้าร่วมประชุม แสดงผลงานศิลปะ และศึกษาต่อในต่างประเทศ       หม่อมเจ้าการวิกเป็นจิตรกรผู้มีฝีมือสูงในการเขียนภาพสีน้ำ ผลงานในยุคแรกมีลักษณะเหมือนจริง ต่อมาจึงคลี่คลายเป็นแบบกึ่งนามธรรม พระองค์โปรดการเขียนภาพทิวทัศน์และบรรยากาศของสถานที่ต่างๆ เมื่อเสด็จกลับมาประทับที่ประเทศไทยแล้วจึงเริ่มเขียนภาพเกี่ยวกับวิถีชีวิตและงานประเพณีต่างๆ ของไทย เช่น ภาพ “นครปฐม” (พระร่วงโรจนฤทธิ์/ไปไหว้พระนครปฐม) ใช้เทคนิคสีน้ำบนกระดาษ ฝีแปรงเรียบง่าย แต่แสดงถึงความเชี่ยวชาญและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง ประเภทจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 9 (พ.ศ. 2501)        ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวถึงผลงานของหม่อมเจ้าการวิกไว้ในสูจิบัตรประกอบการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 11 (พ.ศ. 2503) ว่า “…ภาพทิวทัศน์ต่างๆ นั้น ท่านใช้พู่กันป้ายสีสองสามครั้งก็เสร็จ…” และ “…หม่อมเจ้าการวิกท่านเขียนรูปคนขนาดเล็ก โดยใช้วิธีใช้สีแต้มเป็นจุดๆ อย่างฉลาด…” แม้ว่าจะทรงเป็นจิตรกรสมัครเล่น แต่พระองค์ก็ทรงชำนาญในการเขียนสีน้ำอย่างยอดเยี่ยม หม่อมเจ้าการวิก สิ้นชีพิตักษัยเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2545 สิริพระชันษา 85 ปี        พ.ศ. 2558 กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศยกย่องเชิดชูพระเกียรติให้หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ทรงเป็น “บูรพศิลปิน” สาขาทัศนศิลป์  



ชื่อเรื่อง : หลักกฎหมายทั่วไปและการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ชื่อผู้แต่ง : อาภา ภมรบุตร ปีที่พิมพ์ : 2514 สถานที่พิมพ์ : วัดประยุตวงศาวาส สำนักพิมพ์ : กรุงเทพฯ จำนวนหน้า : 186 หน้าสาระสังเขป : เป็นหนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ นายสิงใต ภมรบุตร ณ เมรุวัดประยุรวงศาสาส ธนบุรี ในวันที่ 20 มกราคม 2514 และในหนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์เรื่องหลักกฎหมายทั่วไปและการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ซึ่งเป็นผลงานของนายอาภา ภมรบุตร บุตรของผู้วายชนม์




"งานบันทึกหลักฐาน" งานบันทึกหลักฐานสภาพความชำรุดเสียหายของจิตรกรรมฝาผนัง ด้วยการบันทึกภาพถ่าย เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการปฏิบัติงานอนุรักษ์ในขั้นตอนต่อไป กิจกรรมงานอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร หนึ่งในโครงการอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม กองโบราณคดี กรมศิลปากร ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕ โดยมีนายอภิชาติ สุวรรณ นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการพิเศษ เป็นผู้ควบคุมงาน ระยะเวลาดำเนินงาน มีนาคม-สิงหาคม ๒๕๖๕


          กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการ ไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “เปิดแหล่งภาพเขียนสีโบราณแห่งเมืองขอนแก่น” วิทยากรโดย นางสาวทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์ นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น ดำเนินรายการโดย นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร


          สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นผู้มีพระปรีชาสามารถในด้านดนตรีและทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยพระองค์หนึ่ง ทรงสนพระทัยในดนตรีมาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ และทรงเริ่มหัดดนตรีไทยในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนจิตรลดา โดยทรงเลือกหัดซอด้วงเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก หลังจากที่ทรงเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงเข้าร่วมชมรมดนตรีไทยของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะอักษรศาสตร์ โดยทรงเล่นซอด้วงเป็นหลัก และทรงเริ่มหัดเล่นเครื่องดนตรีไทยชิ้นอื่นๆ ด้วย เครื่องดนตรีที่โปรดทรงอยู่ประจำ คือ ระนาด ซอ และฆ้องวง ในด้านดนตรีสากล พระองค์ทรงเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่พระชนมายุ ๑๐ พรรษา และทรงฝึกเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ จนสามารถทรงทรัมเป็ตนำวงดุริยางค์ในงานคอนเสิร์ตสายใจไทย และทรงระนาดฝรั่งนำวงดุริยางค์ในงานกาชาดคอนเสิร์ตได้ นอกจากจะทรงดนตรีแล้ว ยังทรงสนพระทัยในด้านการขับร้องด้วย ทรงเรียนขับร้องเพลงไทยกับอาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน ด้านการขับร้องเพลงไทยทำนองเสนาะกับอาจารย์กำชัย ทองหล่อ ส่วนการประพันธ์บทเพลงนั้นทรงนิพนธ์คำร้องเพลงลูกทุ่ง ชื่อเพลง “ส้มตำ” เป็นเพลงแรก ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ และยังมีเพลงอื่นๆ ที่ทรงนิพนธ์ไว้ ได้แก่ เต่ากินผักบุ้ง เต่าเห่ พญาโศก ดุจบิดรมารดา ลอยประทีปเถา เมนูไข่ รัก เป็นต้น          สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยและทรงมีพระวิริยะอุตสาหะในการศึกษาดนตรีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทรงส่งเสริมและสนับสนุนการดนตรีโดยมีการเผยแพร่และถ่ายทอดไปยังเยาวชน โดยเฉพาะดนตรีไทยซึ่งเป็นมรดกที่สำคัญของไทย เนื่องจากทรงเห็นคุณประโยชน์ของดนตรีว่าเป็นวิชาชีพได้อย่างดี เป็นประณีตศิลป์ที่หาผู้เรียนได้ยากแขนงหนึ่ง สามารถหล่อหลอมจิตใจผู้เล่นให้เป็นคนมีวัฒนธรรมประจำใจ มีระเบียบรอบรู้ในประเพณีและแบบแผน ที่สำคัญคือทำให้เป็นคนสุขุม อดทน มีความสามัคคี และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ดนตรีจึงมีความสำคัญต่อเยาวชนเป็นอย่างมาก ดังพระราชกระแสดำรัสตอนหนึ่งความว่า          “ดนตรีไทยเป็นมรดกอันล้ำค่าของชาวไทย ความล้ำค่าของดนตรีไทยนั้นอยู่ที่ดนตรีไทยและเพลงไทยได้สะท้อนความเป็นไทยในส่วนที่เป็นความละเอียดอ่อน ละเมียดละไม อ่อนโยนต่อธรรมชาติและเพื่อนมนุษย์ได้อย่างหมดจดยิ่งกว่าวัฒนธรรมด้านอื่นๆ การรู้จักดนตรีไทยย่อมเป็นการรู้จักความละเมียดละไมของบรรพชนไทยได้เป็นอย่างดี และจะช่วยให้ตระหนักถึงความสำคัญของความเป็นไทยอย่างชื่นชมตลอดไปด้วย”          การได้รับพระราชสมัญญาว่าทรงเป็น “องค์เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” โดยเฉพาะในส่วนของดนตรีนั้น จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตรหลายประการที่ทรงมีคุณูปการต่อวงการดนตรี ดังนี้           ๑. ทรงวางพระองค์เป็นแบบอย่างแก่ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนไทย โดยทรงดนตรีไทย ขับร้องเพลงไทย และพระราชทานในโอกาสพิเศษ โดยเสด็จลงทรงดนตรีไทยร่วมกับประชาชนทุกเพศทุกวัยเสมอมา            ๒. ทรงเป็นนักวิชาการดนตรี โดยทรงศึกษารายละเอียดต่างๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ สามารถพระราชทานข้อวินิจฉัย ข้อเสนอแนะ และทรงปฏิบัติได้อย่างถ่องแท้           ๓. ทรงอนุรักษ์ดนตรีไทย ทั้งในด้านการชำระโน้ตเพลง บันทึกเพลงเก่า และเผยแพร่งานเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง            ๔. พระราชนิพนธ์บทความเกี่ยวกับดนตรีไทย ดนตรีต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับไทย และเพลงไทยอย่างต่อเนื่อง            ๕. ทรงส่งเสริมช่างผลิตเครื่องดนตรีไทย สนับสนุนให้ใช้เครื่องดนตรีไทยในการเรียนการสอนดนตรีของเยาวชน โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องดนตรีจากต่างประเทศ            ๖. ทรงส่งเสริมและสนับสนุนในด้านการศึกษาดนตรี โปรดให้มีการเรียนปี่พาทย์ในนักเรียนชั้นประถมศึกษา ทรงพระราชทานชุดเครื่องดนตรีไทยแก่โรงเรียนต่างๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน และส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนดนตรีสำหรับผู้พิการทางสายตา โดยพระราชทานครูไปสอน ๗. ทรงส่งเสริมสถาบันต่างๆ ให้จัดรายการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย เช่น การประชันปี่พาทย์ การทรงสักวา การแสดงนาฏศิลป์ โดยเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธาน และทรงร่วมกิจกรรมดนตรีทั้งหลายอย่างใกล้ชิด           ๘. ทรงสนับสนุนการเก็บรักษาและอนุรักษ์เครื่องดนตรีไทย และมีพระราชดำริในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีไทยขึ้นในประเทศ          ๙. ทรงสนับสนุนการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ทางด้านดนตรี เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลทางวิชาการดนตรี อันจะอำนวยประโยชน์แก่ประชาชนและเยาวชนของชาติในการศึกษาค้นคว้าเรื่องดนตรีไทยและดนตรีสากล ทรงพระราชทานนามให้ห้องสมุดดนตรีหลายแห่ง เช่น ห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ห้องสมุดดนตรีสมเด็จพระเทพรัตน์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานแนวทางเพื่อการอนุรักษ์ พัฒนา และส่งเสริมกิจกรรมของห้องสมุดดนตรีด้วย           ด้วยพระอัจฉริยภาพ พระเกียรติคุณ และพระปรีชาสามารถทางด้านดนตรี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง ต่อวงการดนตรีของไทยทั้งด้านการศึกษา การทำนุบำรุง อนุรักษ์ และเผยแพร่ให้ปรากฏ จึงทำให้ดนตรีไทยเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงสืบมาจนถึงปัจจุบัน ----------------------------------------------------เรียบเรียงโดย : นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ ----------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. ที่ระลึกพิธีเปิดห้องสมุดดนตรี "ทูลกระหม่อมสิริธร". กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๗. กรมศิลปากร. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับงานห้องสมุด. กรุงเทพฯ: องศาสบายดี, ๒๕๕๘. กองประวัติศาสตร์และโบราณคดีทหาร กองบัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ. “พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี.” วารสารสถาบันวิชาการป้องกัน ประเทศ. ๖, ๓ (พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๘): ๕-๑๓. เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระ. รวมบรรเลงเพลงดนตรีมี่เสนาะ : รวมพระราชนิพนธ์ บทร้องเพลงไทยใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๑๐–๒๕๕๙. นครนายก: โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า สังกัดกระทรวงกลาโหม, ๒๕๖๑. หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร. นิทรรศการ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีกับการดนตรี เนื่องในโอกาส ฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘. กรุงเทพฯ: หอสมุดดนตรีฯ, ๒๕๕๘.


เมื่อพุทธศักราช 2530 คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ (The Boy Scout Citation Medal (Special Class)) เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานกำเนิดกิจการลูกเสือไทย ในพุทธศักราช 2454 และเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ 5 ธันวาคม 2530 ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างกำลังใจแก่ผู้อุทิศตนให้กิจการลูกเสืออย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีพระราชบัญญัติลูกเสือ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2530 ขึ้น โดยมาตรา 49 ตรี กำหนดว่า “ให้มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ ไว้สำหรับพระราชทานแก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1 และได้มีอุปการคุณช่วยเหลือกิจการลูกเสืออย่างต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้รับพระราชทานเหรียญสดุดี ชั้นที่ 1” เมื่อคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติพิจารณาแล้วว่า ผู้ใดสมควรได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ จึงจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานต่อไป เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ มีชั้นเดียว เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน ที่พระราชทานให้เป็นกรรมสิทธิ์ ออกแบบโดยนายพินิจ สุวรรณะบุณย์ ด้านหน้ามีลักษณะเป็นรูปไข่ พื้นลงยาสีน้ำเงิน ขนาดกว้าง 2.5 เซนติเมตร ยาว 3.3 เซนติเมตร กลางดวงตรามีหน้าเสือประกอบวชิระเงินล้อมด้วยเม็ดไข่ปลาสีทองและมีรัศมีเงินโดยรอบแปดแฉกคั่นด้วยกระจังสีทอง เบื้องบนมีพระมหามงกุฎรัศมีฉลุโปร่งและเลข ๙ สีทอง ด้านหลังกลางดวงตราเป็นดุม พื้นลงยาสีม่วง มีรูปตราของคณะลูกเสือโลก เบื้องล่างมีอักษรสีเงินว่า “เราจะทำนุบำรุงกิจการลูกเสือสืบไป” ที่ขอบส่วนบนของดวงตรามีห่วงห้อยแพรแถบสำหรับคล้องคอ ขนาดกว้าง 4 เซนติเมตร มีริ้วสีเหลืองกว้าง 2.2 เซนติเมตร อยู่กลาง ริมทั้งสองข้างมีริ้วสีขาวกว้าง 3 มิลลิเมตร และริ้วสีดำกว้าง 6 มิลลิเมตร เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้เป็นดวงตราประดับโดยห้อยดวงตรากับแพรแถบสวมคอเช่นเดียวกันทั้งบุรุษและสตรี หากประดับกับเครื่องแบบเต็มยศหรือครึ่งยศ จะสวมคอโดยให้แพรแถบลอดออกใต้ปกเสื้อตัวในทับผ้าผูกคอ ให้ส่วนสูงสุดของดวงตราจรดเงื่อนผ้าผูกคอ แต่หากประดับกับเครื่องแบบลูกเสือจะสวมคอโดยให้แพรแถบลอดออกจากใต้ผ้าผูกคอ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พุทธศักราช 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ แก่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ต่อมาวันที่ 3 กรกฎาคม 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สภานายกสภาลูกเสือไทย และคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ และเป็นเกียรติประวัติแก่คณะลูกเสือแห่งชาติ เรียบเรียงโดย นางสาวพุธิตา ขำบุญลือ นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ คณะทำงานด้านการจัดการองค์ความรู้ของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ -------------------------------- อ้างอิง: กรมศิลปากร. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจำแห่งโลก. กรุงเทพฯ: ไซเบอร์พริ้นท์กรุ๊ป จำกัด, 2561. ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่ม 104 ตอนที่ 245 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2530 หน้า 1 - 4 เรื่องพระราชบัญญัติลูกเสือ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2530. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 139 ตอนที่ 28 ข วันที่ 27 มิถุนายน 2565 หน้า 1 ประกาศเรื่องพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย. กรุงเทพฯ: บริษัท ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด, 2536. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. การแต่งกายประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), 2542. หน่วยราชการในพระองค์. “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สภานายกสภาลูกเสือไทย และคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ แด่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และเป็นเกียรติประวัติแก่คณะลูกเสือแห่งชาติ.” เข้าถึงได้จาก https://www.royaloffice.th/2022/07/04/เฝ้าทูลละอองธุลีพระบา-45/ สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2565. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. บัญชีแบบแปลนส่วนบุคคล นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น ผ. สบ11.1/11 เรื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของลูกเสือ (รามกีรติ) (9 ม.ค. - 5 ก.พ.2530). หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพชุดหอพระสมุดวชิรญาณ (เหตุการณ์) ภ.003 หวญ 95/10 เรื่อง เสือป่า, ลูกเสือ. #จดหมายเหตุ


          บัวยอดปราสาทเป็นส่วนประดับยอดของปราสาทในศิลปะเขมร มีลักษณะกลมแป้นเป็นลอนโดยรอบ บัวยอดปราสาทมีหน้าที่รองรับชิ้นส่วนคล้ายหม้อน้ำด้านบนสุดซึ่งเรียกว่า “กลศ”(กะ-ละ-สะ)           สำหรับการสร้างบัวยอดเทวสถานได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากอินเดียโบราณเรียกว่า “อมลกะ” (อะ-มะ-ละ-กะ) ซึ่งมาจากคำว่า “อมลกิ” ในภาษาสันสกฤตที่แปลว่า “ลูกมะขามป้อม”            สำหรับบัวยอดปราสาทในสถาปัตยกรรมอินเดียสันนิษฐานว่าเริ่มปรากฏครั้งแรกบนยอดเสาอโศกมหาราชในช่วง พุทธศตวรรษที่ ๓ เมื่อเข้าสู่สมัยคุปตะ(พุทธศตวรรษที่๙ - ๑๐ )บัวยอดปราสาทจึงพัฒนารูปแบบเพื่อประดับบนยอดศิขร (สิ-ขะ-ระ) หรือส่วนเรือนยอดอาคาร และรองรับหม้อน้ำกลศด้านบนอย่างแพร่หลาย โดยในคติความเชื่อของฮินดูอมลกะเป็นสัญลักษณ์ของการกำเนิดอันบริสุทธิ์และความเป็นอมตะ           สำหรับบัวยอดปราสาทของปราสาทสด๊กก๊อกธมพบทั้งหมดสองชิ้นได้แก่           - บัวยอดปราสาทชิ้นที่ ๑ ทำด้วยหินทราย ด้านบนรองรับกลศซึ่งมีการเจาะรูสี่เหลี่ยมขนาด ๒๐x๒๐ เซนติเมตร เพื่อติดตั้งตรีศูล/นพศูล ปัจจุบันอยู่บนยอดปราสาทประธาน           - บัวยอดปราสาทชิ้นที่ ๒ ทำจากหินทราย สลักตกแต่งเป็นรูปกลีบดอกบัวด้านบนรองรับกลศ สันนิษฐานว่าในอดีตประดับบนยอดของซุ้มประตูโคปุระด้านตะวันออก ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ภายในอาคารศูนย์บริการข้อมูลอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม -------------------------------------------------------- อ้างอิง - อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. (๒๕๖๒). ทิพนิยายจากปราสาทหิน. นนทบุรี: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ : หน้า ๔๕. - กรมศิลปากร.สำนักโบราณคดี. (๒๕๕๐). ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร : หน้า ๕๕๑. - วสุ โปษยะนันทน์, อนัสติโลซิสเพื่อการบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธม (วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) หน้า ๔๑-๔๒,๔๕,๖๔,๘๓ - Amalaka. Accessed May 25. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Amalaka   --------------------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม https://www.facebook.com/Sadokkokthom.hp/posts/pfbid0KCgthRTKqq1sLxziKaZVsQuHptuAusP68xiAzFKX1wZtn5PKRs1r3kXALsgoweNel  


       เชี่ยนหมากเครื่องเขิน        ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕        สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ตำหนักแดง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        เชี่ยนหมากล้านนา ประกอบไปด้วย กระบะทรงกลม ก้นแบน ด้านบนมีลิ้นสามารถยกออกได้ ลวดลายด้านนอกเป็นลายดอกพุดตาน ด้านในเรียบไม่มีลวดลาย ภายในบรรจุ ซองพลู ตลับพร้อมฝา ๔ ใบ และจอกหมาก ทุกชิ้นมีลายดอกไม้          “เครื่องเขิน” (Lacquer Ware) ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายไว้ว่า เครื่องสานที่ทำจากผิวไม้ไผ่ซึ่งนำมาเรียด*แล้วทำเป็นโครง ฉาบด้วยรักสมุก**หรือชาดเพื่อกันน้ำรั่วซึม ไทยได้รับวิธีการทำมาจากไทเขินซึ่งอยู่ในยูนนานตอนใต้ จึงเรียกว่า “เครื่องเขิน”        อย่างไรก็ตาม กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินซึ่งเป็นผู้ทำงานหัตถกรรมนี้ มีประวัติว่าอพยพมาจากเมืองเชียงตุงในยุคฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ หรือที่เรียกว่า “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง”ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี โดยพระเจ้ากาวิละ กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ ได้ให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ บ้านนันทาราม เมืองเชียงใหม่ (ปัจจุบันคือทิศใต้นอกเวียงเชียงใหม่ บริเวณที่ตำบลหายยา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่)       ทั้งนี้การจัดแบ่งประเภทหรือหมวดหมู่ของเครื่องเขินแบ่งได้หลายเกณฑ์ ทั้งเทคนิคหรือกรรมวิธีการตกแต่งเครื่องเขิน เครื่องเขินประกอบลำดับบรรดาศักดิ์ และเครื่องเขินตามหน้าที่การใช้งาน*** สำหรับเชี่ยนหมากชุดนี้ เป็นเครื่องเขินประเภทหนึ่งซึ่งมีเทคนิคที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานและนิยมมากคือ เครื่องเขินฮายดอก (ลายดอก) มีกรรมวิธีโดยสังเขปคือ        การนำเครื่องจักสานมาทากากยาง รอให้แห้งแล้วขัดผิวให้เรียบจึงทาสมุก จากนั้นจึงทารักเงาแล้วนำมาขูดลายด้วยเข็มเหล็กจนเกิดเป็นร่อง เรียกขั้นตอนนี้ว่า การชักเส้นไหม จากนั้นจึงนำผงชาด (มีสีแดง) ผสมกับยางรักใสทาให้ทั่วภาชนะ ชาดจะลงไปในร่องที่ขูดไว้ รอจนแห้งแล้วจึงขัดออก ส่วนชาดที่ไม่ได้อยู่ในร่องลวดลายจะหลุดออกไป เมื่อขัดเรียบร้อยผิวภาชนะจะปรากฏพื้นที่สีดำตัดกับสีแดง       งานหัตถกรรมเครื่องเขินเป็นที่แพร่หลายในเชียงใหม่อย่างมากและน่าจะส่งอิทธิพลให้กับการทำเครื่องเขินในพม่า****ด้วย ครั้งหนึ่งสมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีแอบหมาก*****จากประเทศพม่า ประทานให้หม่อมราชวงศ์โต จิตรพงศ์ ดังลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๘ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า         “...เครื่องรักของพะม่าเดิมทำแต่ลงรักน้ำเกลี้ยงสีต่างๆ วิธีที่เอาเหล็กจานเปนลวดลายต่างๆ (อย่างแอบหมากที่หม่อมฉันฝากมาให้คุณโต) นั้น เขาบอกว่าเขาเอาอย่างไปจากเมืองเชียงใหม่...”     *เรียด หมายถึง เรียงเป็นแถว **รักสมุก คือน้ำรักผสมเถ้าถ่านของใบตองแห้งหรือหญ้าคา บดแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใช้ทารองพื้น ***ดูเพิ่มเติมใน เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์. “วิถีคนเมืองกับเครื่องเขิน.” ศิลปากร ๔๘, ๓ (พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๔๘): ๑๕-๒๕. ****เครื่องเขินในพม่านั้นเรียกว่า โยนเถ่ (Yung Hte) ซึ่งแปลว่าภาชนะของคนไทโยน รวมทั้งเรียกลวดลายบนภาชนะว่า ซินเหม่ ซึ่งก็หมายถึงเชียงใหม่ ทั้งนี้เครื่องเขินพม่าพัฒนาเทคนิคการตกแต่งเครื่องเขินไปจากไทยเพิ่มเติมด้วยการประดับกระจก หรือรักปั้นแปะบนผิวภาชนะ *****แอบหมาก หมายถึง ภาชนะที่ทำจากเครื่องจักสานทรงกลมมีฝาปิด     อ้างอิง เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์. “วิถีคนเมืองกับเครื่องเขิน.” ศิลปากร ๔๘, ๓ (พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๔๘): ๑๕-๒๕. วิถี พานิชพันธ์. เครื่องเขินในวัฒนธรรมล้านนา. เชียงใหม่: สำนักพิมพ์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๖๑. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖. สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: อมรินทร์, ๒๕๕๑. องค์การค้าของคุรุสภา. สาส์นสมเด็จเล่ม ๗ ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระนคร: คุรุสภา, ๒๕๐๔.


#มหามกุฎราชวงศานุประพัทธ์ ๑๘ มิถุนายน ๒๓๙๓ วันประสูติพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์.พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๓๐ ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาเอม ประสูติเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๓๙๓.เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับยังพระบวรราชวัง พระองค์ทรงสร้างพระราชมณเฑียรแห่งใหม่ขึ้น โดยมีลักษณะเป็นเก๋งจีน เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปประทับ ณ พระราชมณเฑียรแห่งใหม่นั้น พระองค์เกิดพระอาการประชวรติดต่อเป็นเวลานาน เมื่อซินแสเข้ามาดูจึงกราบทูลว่า เนื่องจากพระที่นั่งเก๋งจีนองค์นี้ สร้างในที่ฮวงจุ้ยที่เป็นอัปมงคล ดังนั้น พระองค์จึงโปรดให้รื้อพระที่นั่งเก๋งจีนลง ไปปลูกไว้ที่นอกวังหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์ใหม่บริเวณที่สร้างพระที่นั่งเก๋งจีนองค์เดิม แต่ได้เลื่อนตำแหน่งที่ตั้งไปทางทิศตะวันออก ลักษณะเป็นตึกฝรั่ง เรียกพระที่นั่งองค์นี้ว่า "พระที่นั่งวงจันทร์" ตามพระนามของ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามพระที่นั่งใหม่ว่า "พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์".พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๕๙ สิริพระชันษา ๖๗ ปี.พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์ นับเป็นพระราชภาติยะในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช รัชกาลที่ ๔.ภาพ : พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงจันทร์


ความรู้เกี่ยวกับประเพณีลอยกระทง ตอน 2 เรื่อง “วัตถุประสงค์ของการลอยกระทง”หอสมุดเฉลิมพระเกียรติ ร.9 นครราชสีมา ขอนำเสนอสาระความรู้เกี่ยวกับประเพณีวันลอยกระทง จากหนังสือเรื่อง "ประเพณีลอยกระทง" โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ในหัวข้อที่ 2 เรื่องวัตถุประสงค์การลอยกระทง



          พระบรมสารีริกธาตุ คือ พระบรมอัฐิขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายหลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ นับเป็นปูชนียวัตถุแทนพระพุทธองค์ที่พุทธศาสนิกชนนับถือบูชาแต่แรกปรินิพพานสืบมาจนถึงปัจจุบัน ในมหาปรินิพพานสูตรกล่าวถึงพระบรมสารีริกธาตุว่า หลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว โทณพราหมณ์ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วน เพื่อให้กษัตริย์และพราหมณ์อัญเชิญกลับไปยังดินแดนของตน ๘ เมือง ได้แก่ เมืองราชคฤห์ เมืองเวสาลี เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองอัลปัปปะ เมืองรามคาม เมืองเวฏฐทีปกะ เมืองปาวา และเมืองกุสินารา กษัตริย์เมืองต่าง ๆ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานในสถูป นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการบูชาพระบรมสารีริกธาตุในเวลาต่อมา            ในดินแดนไทยเมื่อมีการรับพุทธศาสนาจากชมพูทวีป วัฒนธรรมแรกที่รับพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้นภายใต้ชื่อว่า “ทวารวดี” ที่มีช่วงอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ -๑๖ จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่ามีการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ใต้ฐานของเจดีย์หมายเลข ๑ เมืองโบราณคูบัว ซึ่งถือเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในวัฒนธรรมทวารวดี โดยการขุดค้นทางโบราณคดีพบการก่ออิฐเรียงเป็นหลุมบริเวณกลางเจดีย์ในระดับพื้นดิน ลักษณะตารางเว้นช่องว่างที่มุมทั้ง ๔ และช่องตรงกลาง คือ ตำแหน่งของการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในผอบครอบ ๓ ชั้น ซึ่งลักษณะการก่ออิฐเป็นช่องตารางนี้คล้ายคลึงกับแผ่นหินที่สลักแผ่นหินหรือก่ออิฐเป็นช่อง ๕ ช่อง หรือ ๙ ช่อง และบรรจุสิ่งของมงคลต่าง ๆ ลงไป แบบเดียวกับประเพณีวางศิลาฤกษ์ของอินเดีย ลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้            ผอบทั้ง ๓ ชั้นนั้น ชั้นแรกเป็นผอบสำริดฝาลายดอกบัว ชั้นที่ ๒ ผอบเงินฝาตกแต่งลายกลีบบัว ชั้นล่างสุดเป็นผอบทองคำเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๕ เซนติเมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๕ องค์ ลูกปัดแก้วสีน้ำเงินสมัยทวารวดี ชิ้นส่วนทองคำที่ยังไม่ได้แปรสภาพ และวัตถุสีแดงคล้ายก้อนดินบรรจุรวมอยู่ด้วย ช่องสำหรับบรรจุผอบถูกปิดด้วยแผ่นหิน สลักภาพพระพุทธรูปนูนต่ำขนาบข้างด้วยสถูปทรงหม้อปูรณฆฏะ (หม้อน้ำ) และธรรมจักรที่ตั้งอยู่บนเสา ซึ่งเป็นการปิดห้องกรุให้มิดชิดตามคัมภีร์ในพุทธศาสนา            การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในสถูปเจดีย์นั้นเป็นแนวคิดมาจากสถานที่ฝังศพ โดยพระบรมสารีริกธาตุเปรียบเสมือนกระดูกของคนตาย ห้องกรุใต้สถูปเปรียบได้กับหลุมฝังศพ องค์เจดีย์ที่ก่อทับพระบรมสารีริกธาตุก็พัฒนามาจากเนินดินฝังศพ พระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบจากเจดีย์หมายเลข ๑ ซึ่งได้รับการขุดค้น ขุดแต่งอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการโดยนักโบราณคดีนี้ ถือได้ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับการประดิษฐานในดินแดนประเทศไทยเป็นองค์แรก ๆ   ----------------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี https://www.facebook.com/ilove.ratchaburi.national.museum/posts/pfbid02UMip7zp3p1iF3LR6Jtj6KGYojz1FXqFbwhhVMMuWwZisNCUtjxaxrK6ff1zECERrl -----------------------------------------------------   *เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร


สวัสดีค่ะ วันนี้อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม นำสาระน่ารู้เรื่องโกลน ไปชมกันได้เลยค่ะ โกลน หมายถึง การนำวัสดุ เช่น ไม้ ดิน อิฐ หิน ปูน ศิลาแลง มา ถาก เกลา หรือปั้นอย่างคร่าวๆ ก่อนนำไปตกแต่งให้สมบูรณ์ต่อไป เช่น โกลนเสา โกลนพระพุทธรูปหิน โกลนธรรมจักร หรือโกลนเทวรูปต่างๆ ตัวอย่างหลักฐานทางโบราณคดีประเภทโกลน เช่น นำหินมาโกลนทำรูปเคารพ รวมถึงเครื่องใช้ต่างๆ ในสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12- 16)ที่แหล่งตัดหินเขาพระ จังหวัดเพชรบุรี และพบร่องรอยการตัดหิน และโกลนให้เป็นรูปร่างก่อนที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างปราสาท ในวัฒนธรรมเขมร (พุทธศตวรรษที่ 15 - 18)ที่แหล่งตัดหินสีคิ้ว ในจังหวัดนครราชสีมา และแหล่งตัดหินเขานางซอ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นแหล่งตัดหินในการสร้างปราสาทสด๊กก๊อกธม พบร่องรอยการสกัดหินรูปครึ่งวงกลมและนำตัวหินที่โกลนไว้แล้วไปใช้ประโยชน์ โกลนหินที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม บริเวณปราสาทสด๊กก๊อกธมพบหลักฐานของโกลนหินบริเวณทางเข้าหลักทางทิศตะวันออกของปราสาทสด๊กก๊อกธมโดยเป็นโกลนหินของเสานางเรียงจำนวน ๑ ต้น ที่ยังแกะสลักไม่เสร็จอยู่ร่วมกับเสานางเรียงต้นอื่นๆ สันนิษฐานว่าคนสมัยโบราณนำหินมาโกลนให้ได้รูปร่าง จากนั้นจึงนำมาปักไว้บริเวณที่ต้องการแล้วจึงค่อยสลักลวดลายอย่างละเอียดภายหลัง รู้หรือไม่ การบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธมด้วยวิธีการอนัสติโลซิสโดยการนำหินดั้งเดิมกลับมาเรียงใหม่ในจุดเดิม และนำหินก้อนใหม่มาเรียงทดแทนหินดั้งเดิมที่สูญหาย หรือพังทลายลงไปนั้น สำหรับหินก้อนใหม่ที่นำมาเรียงจะถูกโกลนให้ได้รูปร่างคร่าวๆ และสลักลวดลายอย่างหยาบๆเพื่อให้สามารถจำแนกระหว่างหินดั้งเดิมและหินใหม่ที่ถูกนำไปเรียงทดแทนได้ อ้างอิง - กรมศิลปากร. สำนักโบราณคดี. (2550). ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร : หน้า 49. - ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2545 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2545. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตสถาน, 2556 : หน้า 160. - ธนินทร นิธิอาชากุล, การตรวจสอบความสัมพันธ์ของโกลนหินสมัยทวารวดีระหว่างแหล่งผลิตเขาพระ จังหวัดเพชรบุรีกับเมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม โดยวิธีศิลาวรรณนา(วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี ภาควิชาภาคโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2555) หน้า 11. - วสุ โปษยะนันทน์, อนัสติโลซิสเพื่อการบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธม (วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) หน้า 142. - สำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี (2551). เขาพระ. เข้าถึงเมื่อ 20 ธันวาคม 2565. เข้าถึงได้จาก https://www.finearts.go.th/.../ONak0jSJIaxo1uwyyqkuDlUoeD... - ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล. แหล่งตัดหินสีคิ้ว. เข้าถึงเมื่อ 21 ธันวาคม 2565เข้าถึงได้จากhttps://db.sac.or.th/archaeology/archaeology/175 ที่มาภาพ  ภาพที่ 1 โกลนพระพุทธรูปสมัยทวารวดี ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม (ที่มา : https://nationalmuseumppcd.wordpress.com/) ภาพที่ 2-3 โกลนหินธรรมจักร พบที่เชิงเขาพระ จังหวัดเพชรบุรี (ที่มา:https://www.finearts.go.th/.../ONak0jSJIaxo1uwyyqkuDlUoeD...) ภาพที่ 4 แหล่งตัดหินสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา พบร่องรอยหินที่ได้รับการตัดและโกลนให้เป็นรูปร่างเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างปราสาทในวัฒนธรรมเขมร(ที่มา: https://db.sac.or.th/archaeology/archaeology/175)


black ribbon.