ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 37,381 รายการ

ความเป็นมาของการสร้างอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงษ์ (เจ้าคำผง) ความคิดเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์ผู้ตั้งเมืองอุบลราชธานี เริ่มมาตั้งแต่สมัยนายเลียง ไชยกาล เป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย สมัยนี้ได้มีการโฆษณาเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชน และรวบรวมเงินได้เจ็ดหมื่นกว่าบาท เพื่อใช้เป็นทุนในการก่อสร้างอนุสาวรีย์เจ้าพระวอเจ้าพระตาขึ้นทีเมืองอุบลราชธานี นายเลียง ไชยกาล จึงนำเรื่องเข้าสู่สภาจังหวัดเพื่อพิจารณาได้มีการถกเถียงโต้แย้งกันอย่างรุนแรง จากสมาชิกสภาผู้รู้ประวัติศาสตร์ จากผู้อาวุโสรุ่นเก่าชาวเมืองอุบลราชธานี และจากทางฝ่ายสงฆ์ มีการถกเถียงโต้แย้งว่าเจ้าพระตาเจ้าพระวอ (วรราชภักดี) ไม่ใช่ผู้มาสร้างเมืองอุบลราชธานี แต่ผู้สร้างเมืองที่แท้จริงนั้นคือ “เจ้าคำผง” ผู้เป็นโอรสของเจ้าพระตาจึงทำให้โครงการดำริสร้างอนุสาวรีย์เจ้าพระตาเจ้าพระวอ ในสมัยนั้นต้องระงับไป แต่เนื่องจากเงินที่ได้รับบริจาคไว้นั้นนับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ นายเลียง ไชยกาล จึงได้นำเงินไปมอบให้ทางโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ โรงพยาบาลประจำจังหวัดอุบลราชธานี สร้างตึกคนไข้ขึ้น ชื่อว่า “ตึกพระวอพระตา” มาจนกระทั่งบัดนี้ อนุสาวรีย์ผู้สร้างเมืองอุบลราชธานี ดำเนินการต่อไปใน พ.ศ.2524 เริ่มคิดสร้างอนุสาวรีย์ครั้งใหม่ สมัยนั้นผู้นำทางฝ่ายสงฆ์ที่เอาใจใส่ในเรื่องอนุสาวรีย์ คือท่านเจ้าพระคุณพระโพธิญาณมุนี (สุทธี ภัทริโย) เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี วัดเลียบ มีผู้นำทางฝ่ายฆราวาสคือ นายหมุน โสมฐิติ นายเคลือบ รอนยุทธ นายเชย จันสุตะ นายบำเพ็ญ ณ อุบล ได้เริ่มประชุมปรึกษาหารือกันดำริจะพากันสร้างอนุสาวรีย์ “เจ้าคำผง” ผู้สร้างเมืองอุบลราชธานีขึ้นให้ได้ จึงตกลงประกาศในวงการคณะธรรมสวนะสามัคคี ขอความร่วมมือช่วยกันบริจาคโลหะเงิน ทองเหลือง ทองแดง นาก เพื่อรวบรวมหล่อรูปเจ้าคำผงตั้งขึ้นเป็นอนุสาวรีย์ เกิดศรัทธาทั่วไปต่างก็บริจาคโลหะเป็นจำนวนมาก ในจำนวนโลหะนี้มีเงินมากมายจึงคัดเอาเฉพาะเงินหล่อพระพุทธรูปเงินขึ้นองค์หนึ่ง ตกลงก็ได้ทำพิธีหล่อพระพุทธรูปเงินและพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดศรีอุบลรัตนาราม ถวายพระนามว่า “พระพุทธเจ้าจอมเมือง” ต่อมาจึงได้มอบพระพุทธเจ้าจอมเมืองให้แก่ทางจังหวัด ในปีพ.ศ.2526 คณะธรรมสวนะสามัคคีมอบให้นายเชย จันสุตะ นายบำเพ็ญ ณ อุบล นายณรงค์จำปีศรี จัดทำโครงการยื่นขออนุมัติต่อจังหวัด นายบุญช่วย ศรีสารคาม เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มอบให้นายประจวบ ศรีธัญญรัตน์ นายกเทศมนตรีเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้นนำเรื่องไปติดต่อประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย ได้ความว่าอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงษ์ให้รอไว้ก่อน คณะธรรมสวนะจึงเกิดความคิดจะทำรูปปั้นอนุสาวรีย์ขึ้นเอง โดยความร่วมมือเจ้าของโรงหล่อนิรันดร์อุบล ยินดีจะหล่อรูปปั้นให้ฟรี นายมนัส สุขสาย ก็รับอาสาปั้นหุ่นขี้ผึ้งให้ ให้ขนาดใหญ่เท่าคนธรรมดา แต่เมื่อเกิดปัญหาว่าการสร้างอนุสาวรีย์ต้องเกิดจากการเห็นชอบของทุกฝ่ายทั่วทั้งจังหวัด เพราะจำเป็นต้องจัดตั้งไว้เป็นสง่าในที่เปิดเผย รวมทั้งโครงการอนุมัติจะต้องถูกต้องตามระเบียบการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติ จึงจำเป็นต้องพักเรื่องอนุสาวรีย์ไว้อีกครั้ง ต่อมาในปีพ.ศ.2528 คณะธรรมสวนะไม่สิ้นความพยายาม จึงมอบหมายหน้าที่ให้นายมนัส สุขสาย กับนายเรียมชัย โมราชาติ เป็นผู้นำโครงการไปติดต่อกรมศิลปากร โดยนำหนังสือจดหมายส่วนตัวจากนายวสันต์ ธุลีจันทร์ ศึกษาธิการจังหวัดไปถึงผู้อำนวยการกองหัตถศิลป์ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี และได้รับคำแนะนำว่า “หุ่นขี้ผึ้งต้องหารูปใบหน้าของบุคคลเก่าแก่ของตระกูลเจ้าคำผง เป็นแบบอย่างเทียบเคียง ทั้งเครื่องแต่งกาย อาวุธประจำกายของแม่ทัพโบราณทางอีสานด้วย ต้องมีแบบแปลนและหุ่นจำลองจริงๆประกอบโครงการ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องยื่นผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดและได้รับอนุมัติจากจังหวัดแล้ว จึงจะไปถึงกรมศิลปากรเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ในปลายปีพ.ศ.2527 เรือตรีดนัย เกตุศิริ ย้ายมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี คณะธรรมสวนะจึงได้มอบโครงการจัดตั้งอนุสาวรีย์ให้จังหวัดดำเนินการรับเป็นเจ้าของโครงการ เพราะเหตุผลที่ว่า “การสร้างอนุสาวรีย์ระดับเจ้าผู้ครองเมืองจะใช้เพียงความคิดเห็นของคนเพียงกลุ่มธรรมสวนะสามัคคีกลุ่มเดียวคงไม่ได้ เรื่องนี้สมควรเป็นงานระดับจังหวัดโดยความร่วมมือจากทุกสถาบันจากชาวอุบลราชธานีทั่วทั้งจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล หมู่บ้านจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้” จึงมีการทำหนังสือโอนมอบโครงการให้ทางจังหวัดตามหนังสือลงวันที่ 25 มิถุนายน 2529 โดยมีนายเชย จันสุตะ เป็นประธานผู้ลงนาม ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.2532 ก็มีข่าวออกมาทางวิทยุและทางหนังสือแจ้งว่ากรมศิลปากรจะให้นำรูปที่หล่อแล้วนั้นมาส่งทางจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อทำพิธีบวงสรวงและพุทธาภิเษก ที่วัดสุปัฏนารามวรวิหาร ในเช้าวันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2532 เมืองอุบลราชธานีจึงมีอนุสาวรีย์สมดังปรารถนา การไปรับพระรูปในครั้งนี้จากคำกล่าวของคุณพ่อบำเพ็ญ ณ อุบล ผู้เป็นลูกเป็นหลาน เครือญาติเจ้านายเมืองอุบลราชธานีแสดงถึงความภาคภูมิใจในเชื้อสายบรรพบุรุษ “ข้าพเจ้านายบำเพ็ญ ณ อุบล พร้อมท่านอาจารย์มหาเชย จันสุตะ และคุณสุวิช คูณผล เป็นผู้ได้รับมอบหน้าที่ให้ไปรับเอาพระรูปทั้งสามองค์ โดยไปค้างแรมที่โรงแรมจำชื่อไม่ได้อยู่ที่ซอยหน้าวัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ รุ่งเช้าวันที่ 28 สิงหาคม 2532 จึงได้ไปที่โรงหล่อของกรมศิลปกร ที่อยู่นอกกรุงเทพฯ ใกล้กับพุทธมณฑล ข้าพเจ้าเห็นรูปของยาพ่อเฒ่า เจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงษ์ (คำผง) ตั้งยืนสง่าอยู่ข้าพเจ้าไปใกล้พระรูปแล้วกราบลง 3 ครั้ง จึงกล่าวว่า “ยาพ่อเฒ่าเอยการที่หลานคิดสร้างพระรูปได้สำเร็จลงแล้ว กว่า 200 ปีแล้วจึงได้มีพระรูปของญาพ่อเฒ่ากลับไปบ้านเมือง ของเราปกปักษ์รักษาลูกหลานบ้านเมืองญาพ่อเฒ่าสืบไป แล้วเอาพวงมาลัยคล้องพระกรแล้วก้มกราบลง ขณะนั้นข้าพเจ้าดีใจว่าความคิดสำเร็จแล้ว ได้รูปญาพ่อเฒ่าขึ้นมาเป็นรูปร่างอย่างสง่างาม ดีใจและปลื้มใจเป็นอย่างที่สุดที่จะกล่าวออกมาได้แต่นั่งสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลซึมและก้มลงกราบหมอบร้องไห้อยู่คนเดียวตั้งนานแม้ทุกวันนี้ นึกถึงตอนนั้นก็ยังอดที่จะร้องไห้ไม่ได้” (นายบำเพ็ญ ณ อุบล,2551 : สัมภาษณ์) ในที่สุดปี พ.ศ.2532 จังหวัดอุบลราชธานีก็ได้มีอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงษ์ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “เจ้าคำผง” ช่วงวันที่ 9-10 พฤศจิกายน ของทุกๆปี จะมี “พิธีบวงสรวงและสดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงษ์ (เจ้าคำผง)” หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งภาครัฐและเอกชนจะร่วมมือร่วมใจกันจัดงานขึ้นเพื่อรำลึกถึงเกียรติคุณและวีรกรรมของวีรบุรุษผู้สร้างเมือง โดยงานพิธีสดุดีอดีตเจ้าเมืองอุบลราชธานีนี้เริ่มจัดครั้งแรกในปีพ.ศ.2539 และต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลอ้างอิง : ปวีณา ป้องกัน. “การเมืองเรื่องพื้นที่และการสร้างตัวตน ของสายตระกูลอดีตเจ้านายเมืองอุบลราชธานี”, วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศาสตร์และการพัฒนา : มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2552. ที่มาของภาพ : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดอุบลราชธานี






          สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญรับชมการถ่ายทอดสด พิธีแถลงข่าวโครงการอนุรักษ์เอกสารโบราณวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร "กิจกรรมกรมศิลป์ร่วมมือ คณะสงฆ์ร่วมใจ อนุรักษ์ สืบสาน อ่านแปล ใบลาน" โดย อธิบดีกรมศิลปากร (นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ) ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร และสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง facebook live: National Library of Thailand


-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ: ขอนามถนนตามนามของผู้เป็นนายด้านที่จัดทำ --  เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๕ หรือ พุทธศักราช ๒๔๔๙  กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือกราบทูล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ ราชเลขานุการ ความว่าพระยาพิศาลคีรีพร้อมด้วยข้าราชการกองบริเวณกับกรมการพิเศษ แลพ่อเมืองแก่บ้านในบริเวณพายัพเหนือได้ขอแรงราษฎรตัดขึ้น ๖ สาย ขอนามถนนตามนามของผู้เป็นนายด้านที่จัดทำ  สายที่ ๑ ตั้งแต่สนามฝึกหัดทหารไปถึงแม่น้ำวิงแลเมืองเทิง กว้าง ๓ วา ยาว ๗๒๖ เส้น ชื่อถนน พิศาล สายที่ ๒ แยกแต่มุมสนามฝึกหัดถึงบ้านทราย กว้าง ๔ วา ยาว ๑๓๔ เส้น ชื่อถนนรองพันบัญชา สายที่ ๓ แยกมุมสนามฝึกหัดเลียบไปตามริมแม่น้ำลาวถึงวัดพระนั่งดิน กว้าง ๒ วา ๒ ศอก ยาว ๑๐๙ เส้น ชื่อถนน ศักดาบรรกิจ สายที่ ๔ ตั้งแต่ท้ายบ้านมางผ่านไปทานบ้านหย่อนถึงวัดน้ำแวน กว้าง ๒ วา ๒ ศอก ยาว ๖๔ เส้น ๑๐ วา ชื่อถนนไชยสิทธิ์ประชาราษฎร์  สายที่ ๕ ตั้งแต่บ้านมางผ่านมากลางทุ่งนาถึงบ้านเชียงบาล กว้าง ๒ วา ยาว ๕๕ เส้น ชื่อถนนอำมาตย์บัญชาการ  สายที่ ๖ ตั้งแต่น่าวัดเชียงบาลผ่านทุ่งบ้านมอกถึงวัดน้ำแวน กว้าง ๒ วา ๒ ศอก ยาว ๗๑ เส้น ๑๐ วา ชื่อถนนกวดกิจการธานี  ถนนทั้ง ๖ สายนี้ ทำเสร็จแลเปิดให้มหาชนเดินไปมาได้ทุกสายแล้ว บรรดาผู้ที่ได้ออกแรงในการทำถนนทั้งนี้ พร้อมกันขอพระราชทานถวายพระราชกุศล  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทูลมาว่าทรงอนุโมทนาในส่วนกุศลสาธารณทานนั้นด้วย ท่านคิดว่าถนนทั้ง ๖ สายนี้ยังคงอยู่หรือไม่ ถนนทั้ง ๖ สายนี้ อยู่ในพื้นที่อำเภอใดในจังหวัดพะเยาหมายเหตุ: ๑.การเขียนใช้ตามที่ปรากฏในเอกสาร๒. มาตราวัดความยาวของไทยเทียบเมตริก  ๑ เส้น   เท่ากับ ๔๐  เมตร, ๒๕ เส้น เท่ากับ  ๑   กิโลเมตร   ๑  วา  เท่ากับ ๒ เมตร, ๑ ศอก  เท่ากับ ๕๐ เซนติเมตร......................................ผู้เขียน: นางสาวอรทัย ปานจันทร์ (นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)........................................อ้างอิง:๑. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ ๕ กระทรวงโยธาธิการ ร.๕ ยธ.๙/๗๖ เรื่อง ถนน สะพานในมณฑลพายัพ [๑๒ ก.พ. ๑๒๐ –๑๕  ก.พ. ๑๒๖].๒. กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๔). วัฒนธรรมและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดพะเยา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.๓. ฮักเชียงคำ.เชียงคำในอดีต (Online). http://www.hugchiangkham.com/. สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕. ๔. มาตราวัดความยาวของไทยเทียบเมตริก (Online). http://b.lnwfile.com. สืบค้นเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕.#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ




ชื่อเรื่อง                                อิสิคิลิสุตฺต(อิสิคิลิสุตฺต) สพ.บ.                                  อย.บ.11/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           34 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           บทสวด                                           พระวินัย                                            คำสอน บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 154/1เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนีเผด็จ) ชบ.บ 181/7เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ลิลิตนารายน์สิบปาง พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ชื่อผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2514สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์มิตรสยาม จำนวนหน้า : 588 หน้า สาระสังเขป : หนังสือลิลิตนารายน์สิบปาง เนื้อเรื่องกล่าวถึงการอวตารปางต่างๆ ทั้ง 10 ปาง ของพระนารายณ์ พร้อมทั้งพระราชนิพนธ์อธิบายและอภิธาน ท่านผู้อ่านจะศึกษาความเป็นมาและหลักฐานต่างๆ ของหนังสือเรื่องได้จากพระราชนิพนธ์คำนำในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



ชื่อผู้แต่ง           - ชื่อเรื่อง            เทศน์มหาชาติ ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์     พระนคร สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ปีที่พิมพ์           ๒๔๙๖ จำนวนหน้า      ๔๖๒ หน้า หมายเหตุ        พิมพ์เป็นธรรมบรรณาการในการฌาปณากิจศพ นายชิต นภาศัพท์ (หมอชิต) ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๐  มกราคม  ๒๔๙๗                        หนังสือเทศน์มหาชาตินี้ สมเด็จพระยาราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้เมื่อพิมพ์ครั้งแรกว่าหนังสือเทศน์มหาชาติที่กวีได้แต่งไว้ทั้งเก่าใหม่นั้นมีมากมายหลายสำนวน หอพระสมุดฯ เลือกแต่เฉพาะสำนวนที่เทศน์กันอยู่ เป็นพื้นเมืองทุกวันนี้พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ เพื่อให้เป็นฉบับสำหรับนักเทศน์มหาชาติทั่วไป อนึ่งรูปภาพมหาชาติที่พิมพ์ไว้ เป็นภาพถ่ายจากภาพเขียน เวสสันดรชาดก ฝีมือช่างครั้งรัชกาลที่ ๓



-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : เข้าป่าหาหมอน -- ปี 2512 คนไทยหาหมอนได้ในป่า เป็นหมอนมีค่าที่ใช้เวลาเติบโต ตัดแบ่ง เรียงไว้ และขนย้าย หมอนดังกล่าวนี้คือ " หมอนไม้ " โดยเฉพาะไม้สำคัญ เช่น ไม่สัก มะค่า ประดู่ หรือกระยาเลย ฯลฯ ของป่าน้ำแหง - น้ำสา จังหวัดน่าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ตรวจสอบ และผู้รับสัมปทานขณะนั้นขออนุญาตชักลากออกมา จากเอกสารจดหมายเหตุเรื่องสัญญาจ้างทำและขนส่งไม้สักสัมปทานป่าน้ำแหง - น้ำสา ปรากฏแผนที่สังเขปขนาดมาตราส่วน 1 : 25,000 กำหนดจุด " หมอนไม้ " และ " ทางลากขน " ไว้ ถ้าสังเกตจะพบถนน  ที่สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (ร.พ.ช.) ตัดผ่าน แต่เส้นทางลากขนหมอนไม้สัมปทานถูกสร้างต่างหาก เพื่อเชื่อมต่อจุดรวมหมอนไม้และทิศทางที่จะไปเด่นชัย - แพร่อีกทอดหนึ่ง นอกจากนี้ ยังเห็นเส้นประแนวอาณาเขตตอนไม้คนละเส้นกับแนวอาณาเขตป่า สำหรับแบ่งพื้นที่สัมปทานออกเป็นแปลง ลดการทับซ้อนการสัมปทานหรือห้ามบุกรุกพื้นที่ข้างเคียงจนกระทั่ง " พันธุ์ไม้สูญไป " ซึ่งแน่นอนว่า พื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องจะเกิดความอุดมสมบูรณ์ ยังมีลำห้วยต่างๆ เช่น ห้วยลึก ห้วยผัก ห้วยทราย ห้วยเตาปูน ห้วยต้นยา และห้วยตีนเป็ด ฯลฯ ไหลผ่าน พื้นที่สีขาวบนแผนที่คงเป็นป่าเขียวขจีแน่นขนัด ฉะนั้น การอนุญาตให้สัมปทานจึงไม่ใช่การเปิดผืนป่าทั้งหมด น่าสนใจว่า แผนที่สังเขปต่อจากแผ่นที่นำเสนอนี้ ยังเป็นป่าตามธรรมชาติหรือไม่ ? อย่างไรก็ดี การลากขนขอนไม้ในขณะนั้น ยังไม่แสดงเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ร่วมด้วย จึงได้แต่สันนิษฐานว่า น่าจะได้รับการเอาใจใส่เฉกเช่นปัจจุบัน สำหรับตอนต่อไป เราจะตามเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปสำรวจผืนป่า " แปลงที่ 10 " แปลงที่เห็นในมุมซ้ายด้านบนของแผนที่ มาดูกันว่า เราพบอะไร ???ผู้เขียน : นายธานินทร์ ทิพยางค์ (นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)เอกสารอ้างอิง : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา นน 1.6.3.5/14 เอกสารสำนักงานป่าไม้จังหวัดน่าน เรื่อง สัญญาจ้างทำและขนไม้สัมปทานป่าน้ำแหง - น้ำสา ภาค 4 แปลง 1 [ 6 - 25 ก.พ. 2512 ].#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ