ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 34,602 รายการ

ตังขะณิกะปัจจเวกขะณวิธี ชบ.ส. ๑๑๒ เจ้าอาวาสวัดเขาคันธมาทน์ ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.33/1-3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)



สวัสดีค่ะ สัปดาห์นี้ #พี่โข๋ทัยมีเรื๋องเล๋า ก็กลับมาพบกับทุกคนอีกครั้ง สำหรับวันนี้ขอนำเสนอข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของจังหวัดพิจิตรค่ะ .           พัฒนาการทางวัฒนธรรมก่อนสมัยสุโขทัยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร โดยกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย  .       จากการศึกษาพัฒนาการทางวัฒนธรรมก่อนสมัยสุโขทัยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร แสดงให้เห็นว่า พื้นที่บริเวณจังหวัดพิจิตร โดยเฉพาะด้านตะวันออกของจังหวัดเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมต่อการตั้งหลักแหล่งอยู่อาศัย พบหลักฐานทางโบราณคดีทีแสดงความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปยังชุมชนอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง จากรายงานการสำรวจของสำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย พบหลักฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยทวารวดี ดังนี้         ๑. แหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์  พบหลักฐานทางโบราณคดีที่บริเวณบ้านดงป่าคำ  อำเภอเมืองพิจิตรเป็นโครงกระดูกมนุษย์ จำนวน ๓ โครง ขวานหิน ๑ ชิ้น  ภาชนะดินเผา และเศษภาชนะดินเผาลายขูดขีด สันนิษฐานว่าเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย กำหนดอายุประมาณ ๓,๐๐๐ -๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว นอกจากนี้ได้มีการสำรวจพบภาชนะดินเผาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่วัดบึงบ่าง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตรด้วย ภาชนะดินเผาที่วัดบึงบ่างมีลักษณะคล้ายกับภาชนะดินเผาในสมัยโลหะ ซึ่งพบในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี และนครสวรรค์ สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุประมาณ ๓,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว .         ๒. แหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดี  บริเวณที่พบชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ปรากฏทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านในเขตอำเภอทับคล้อและอำเภอตะพานหิน บริเวณนี้เป็นที่ราบลุ่มที่ต่อเนื่องมาจากพื้นที่สูงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด พบแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ ๒ แหล่ง คือ แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดง และแหล่งโบราณคดีเมืองบ่าง  .          ๒.๑ แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดง ตั้งอยู่ที่บ้านวังแดง หมู่ ๒ ตำบลเขาทราย อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย (กลุ่มวิชาการโบราณคดี สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๕ สุโขทัย ในขณะนั้น) สำรวจครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน  ๒๕๔๓ ต่อมาได้ร่วมสำรวจอีกครั้งกับรศ.ดร.ผาสุข  อินทราวุธ จากคณะโบราณคดี  มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๔ ต่อมา อาจารย์วินัย  ผู้นำพล แจ้งว่า มีผู้นำหลักฐานข้อมูลมาแจ้งให้อาจารย์ทราบว่า พบฐานอิฐสมัยโบราณ  พบตราประทับและวงล้อเสมาธรรมจักรมากพอควรและเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านเตรียมสร้างอุโบสถใหม่ จึงเข้าสำรวจพื้นที่ภายในวัดวังแดงอีกครั้ง  เมื่อวันที่ ๑๓  มกราคม ๒๕๔๙ .         จากการสำรวจพบเนินโบราณสถานหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่ถูกไถทำลายเหลือเพียงเศษอิฐ มีบางแห่งที่ยังมีร่องรอยส่วนฐานของเจดีย์ อิฐที่ใช้ก่อสร้างเป็นอิฐขนาดใหญ่สมัยทวารวดี ขนาด ๑๗ x ๓๐ x ๗ เซนติเมตร มีร่องรอยของแกลบข้าวปะปนในก้อนอิฐ นอกจากนี้ ยังมีโบราณวัตถุที่นายเล็ก มณีเรือง ราษฎร หมู่ ๒ บ้านวังแดงเก็บรักษาไว้ เช่น เหรียญเงินรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะ จำนวน ๓ เหรียญ ขุดพบระหว่างการสร้างถนนสายวังทอง – เขาทราย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ โดยพบบรรจุอยู่ในไหร่วมกับเหรียญเงินประเภทเดียวกันจำนวนทั้งสิ้น ๓๐๐ เหรียญ และพบไหบรรจุกระดูกวางอยู่ด้วยกัน แต่ไม่พบฐานเจดีย์หรือโบราณสถานอื่น ชิ้นส่วนโลหะเงิน เครื่องมือเหล็ก เป็นต้น และเจ้าอาวาสวัดวังแดงได้เก็บรักษาโบราณวัตถุไว้จำนวนหนึ่ง เช่น แท่นหินบด หินบด เศษภาชนะดินเผาเนื้อไม่แกร่ง (earthern ware) ลวดลายต่าง ๆ เป็นต้น หลักฐานทางโบราณคดีที่พบกำหนดอายุเบื้องต้นในสมัยทวารวดีหรืออายุประมาณ ๑,๕๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว .         ๒.๒ แหล่งโบราณคดีวัดบึงบ่าง ตั้งอยู่ที่บ้านบึงบ่าง หมู่ ๗ ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย ดำเนินการสำรวจเมื่อวันที่  ๓๐ มกราคม ๒๕๕๖ จากการสำรวจพบว่า แหล่งโบราณคดีตั้งอยู่ในเมืองบ่าง สภาพปัจจุบันเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยรอบเป็นพื้นที่เกษตรกรรม วัดบึงบ่างมีการเก็บรักษาโบราณวัตถุ เช่น แท่งดินเผารูปสี่เหลี่ยมทำเป็นลายตาราง ชิ้นส่วนหินดุดินเผา ๔ ชิ้น แวดินเผา ตุ๊กตาดินเผา ภาชนะดินเผาเนื้อไม่แกร่ง (earthern ware)  ตกแต่งด้วยลายกดประทับ ภาชนะดินเผามีเชิง เนื้อไม่แกร่ง (earthern ware) ไม่มีการตกแต่งลวดลาย ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นกระดูกวัวหรือกระดูกควาย กำหนดอายุในเบื้องต้นราว ๒,๕๐๐ – ๑,๐๐๐ ปีมาแล้ว .   ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจทางโบราณคดีนี้ แสดงให้เห็นว่า พื้นที่บริเวณจังหวัดพิจิตร โดยเฉพาะด้านตะวันออกของจังหวัด เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมต่อการตั้งหลักแหล่งอยู่อาศัย แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดงในเขตอำเภอทับคล้อ ซึ่งพบโบราณวัตถุสมัยทวารวดี อาจเชื่อมโยงถึงผู้คนในบริเวณบ้านชมภู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ที่มีการพบหลักฐานเหรียญเงินรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะ เช่นเดียวกัน ถัดจากบ้านวังแดงลงไปทางทิศใต้ ที่แหล่งโบราณคดีวัดบึงบ่างซึ่งตั้งอยู่ภายในเมืองบ่าง ซึ่งเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ได้พบหลักฐานการอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ที่น่าสนใจคือภาชนะดินเผาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่วัดบึงบ่าง มีลักษณะคล้ายกับภาชนะดินเผาที่พบในแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยโลหะ ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ นครสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุจำนวนหนึ่งที่แสดงให้เห็นร่องรอยของชุมชนสมัยทวารวดี ซึ่งอาจสัมพันธ์กับชุมชนโบราณที่บ้านวังแดงที่อยู่ไม่ห่างกันนัก  ------------------------------------------------------------------- บรรณานุกรม คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. วัฒนธรรม  พัฒนาการทางประวัติศาสตร์   เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดพิจิตร. กรุงเทพ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๒. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, ธรณีสัณฐานประเทศไทยจากห้วงอวกาศ. กรุงเทพฯ : บริษัท ด่าน   สุทธาการพิมพ์ จำกัด, ๒๕๓๘. ศรีศักร  วัลลิโภดม. เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพ ฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, ๒๕๓๒.



องความรู้​พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ​ หริภุญ​ไชย​ เรื่อง​ ตุงไส้หมู​ ตุง​ ๑๒​ ราศี​ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์​  เทศกาลสงกรานต์ ชาวภาคเหนือจะเรียกเทศกาลปีใหม่ หากเราไปตามวัดในภาคเหนือขณะนี้จะพบการนำธงสีที่ทำจากกระดาษตัดเป็นรูปทรงต่างๆกันไปปักตามกองทรายที่มาพูนขึ้นเป็นเจดีย์  ธงสีหรือตุงที่ประดับอยู่นั้นเชื่อว่าเมื่อนำไปถวายแล้ว มีความเชื่อว่าสามรถช่วยดวงวิญญาณให้หลุดพ้นจากขุมนรกได้ และยังส่งผลให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี เพียบพร้อมไปด้วยสมบัติบริวาร ซึ่งตุงที่พบเห็นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้แก่      ๑.ตุงไส้หมู หรือ ตุงไส้ช้าง ตุงไส้หมูหรือตุงไส้ช้าง ลักษณะคือทำจากกระดาษว่าวที่มีสีสันสดใสพับและตัดจะได้รูปทรงนำไปแขวนกับไม้ไผ่ใช้ปักลงบนเจดีย์ทรายเนื่องในวันพญาวัน เมื่อปักแล้วจะทิ้งชายลงมาคล้ายกับรูปทรงของเจดีย์ บางแห่งเรียกตุงไส้ช้าง บางแห่งเรียอกช่อพญายอ ภาคกลางเรียกพวงมโหตร ใช้สำหรับปักเพื่อบูชาพระเจดีย์ พระธาตุประจำปีเกิด ควบคู่กับตุง ๑๒ ราศี ๒. ตุง ๑๒ ราศี  ตุง ๑๒  ราศี เป็นตุงที่ทำจากระดาษ ยาวประมาณ ๑ เมตร กว้างราว ๕-๖ นิ้ว ติดรูปปีนักษัตรทั้ง ๑๒ ราศี เริ่มจากปีใจ้หรือปีชวด (หนู) เรื่อยไปจนถึงปีใค้หรือปีกุน ซึ่งก็คือปีหมู ต่อมาเปลี่ยนเป็นช้างแทน ตามความเชื่อเรื่องปีนักษัตรหรือปีเปิ้ง​คประจำตัวแต่ละคน จึงเรียกตุงชนิดนี้อีกชื่อหนึ่งว่าตุงเปิ้ง​ ใช้ปักประดับตามเจดีย์ทราย ซึ่งตัวเปิ้งหรือตัวนักษัตรนั้นคือตัวแทนของผู้ถวายตุง​       มีความเชื่อว่าจะช่วยให้พ้นเคราะห์ได้ ใช้ปักควบคู่กับตุงไส้หมู นอกจากการถวายตุงแล้วยังมีการถวายไม้ค้ำโพธิ์​หรือไม้ค้ำสะหลี​ ซึ่งคำว่า​  สะหลี​ หมายถึงต้นโพธิ์​ ซึ่งมีความเชื่อว่าหากถวายไม้ต้ำโพธิ์เป็นการช่วยค้ำชูพระพุทธศาสนาสืบไป อ้างอิง มณี​ พยอมยงค์​ และศิริรัตน์​  อาศนะ.​ เครื่องสักการะล้านนาไทย.​ เชียงใหม่​:ส.ทรัพย์การพิมพ์,        ๒๕๓๘. สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.(๒๕๖๔).ตุงตั๋วเปิ้ง. สืบค้นเมื่อ​  ๑๔   เมษายน​๒๕๖๔,​ จาก​https://art-culture.cmu.ac.th/Lanna/articleDetail/1276


ปราสาทเขาโล้น ๒/๔ : โบราณวัตถุชิ้นเด่นและการกำหนดอายุ การดำเนินงานโบราณคดีที่ปราสาทเขาโล้น นอกจากจะทำให้พบโบราณสถานที่ถูกดินทับถมไว้แล้ว ยังทำให้พบชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรมทำจากหินทราย เช่น บริเวณปราสาท ๓ หลังบนฐานไพที พบยอดปราสาททรงกลม ใช้ประดับบนชั้นซ้อนชั้นสุดท้ายของปราสาทเพื่อรองรับนภศูล แถวกลีบบัวเหนือทับหลัง เป็นแถวกลีบบัวที่เคยประดับเหนือทับหลังบริเวณซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธาน ปราสาทจำลองและบรรพแถลง ใช้วางประดับบริเวณกึ่งกลางและบริเวณมุมของชั้นซ้อนแต่ละชั้น บริเวณบรรณาลัยและโคปุระทั้งสามด้าน พบชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรม เช่น ปลายกรอบหน้าบัน สลักลวดลายเป็นรูปมกรอ้าปากชูงวงประกอบลายกระหนก แถวกลีบบัวประดับบริเวณเชิงชายของหลังคา เสาลูกมะหวดทรงกลม ใช้ประดับบริเวณกรอบหน้าต่าง บราลีลักษณะทรงกรวยแหลม ใช้ประดับบริเวณสันหลังคา ส่วนภาชนะดินเผาพบภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งเคลือบสีเขียวและสีน้ำตาลที่ผลิตจากแหล่งเตาในจังหวัดบุรีรัมย์ และเครื่องถ้วยจีนเนื้อกระเบื้องเคลือบสีขาว สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ จากการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบทางสถาปัตยกรรม โบราณวัตถุ รูปแบบของทับหลัง เสาประดับกรอบประตูจากภาพถ่ายเก่า และการกำหนดอายุตัวอย่างอิฐ ด้วยวิธีเรืองแสงความร้อน (Thermoluminescence dating : TL) ล้วนให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันทำให้สันนิษฐานว่าปราสาทเขาโล้นน่าจะสร้างขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นปราสาทในศิลปะเขมรแบบบาปวนตอนต้น สอดคล้องกับการพบจารึกบริเวณกรอบประตูที่ระบุศักราชตรงกับพุทธศักราช ๑๕๕๐ และ ๑๕๕๙ ผู้เขียน : นายสิขรินทร์ ศรีสุวิทธานนท์ (นักโบราณคดีชำนาญการ) กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี #สำนักศิลปากรที่๕ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม #แชทชมแชร์_โบราณคดีปราจีนภาค ปราสาทเขาโล้น ๑/๔ : การดำเนินงานโบราณคดี https://www.facebook.com/2360532577517366/posts/2770145389889414/



ชื่อเรื่อง                         มิลินฺทปณฺหาสงฺเขป (พระมิลินทปัญหา)     สพ.บ.                           308/1หมวดหมู่                        พุทธศาสนาภาษา                            บาลี/ไทยหัวเรื่อง                          พุทธศาสนา--คำถามคำตอบ                                    พระวินัย                                    พระธรรมประเภทวัสดุ/มีเดีย            คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                    46 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี  


           นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า อาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุพรรณบุรีและของประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแล้วในวันนี้ (วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔) แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ และการประกาศปิดแหล่งเรียนรู้ของกรมศิลปากร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ ๓ - ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ กรมศิลปากรจึงเปิดให้บริการแบบออนไลน์ โดยสามารถเข้าชมการจัดแสดงอาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี ผ่านระบบ smartmuseum ของกรมศิลปากร https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/home           อาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี ตั้งอยู่ที่ตำบลสนามชัย อำเภอ เมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดงประติมากรรมสำริดที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือขุนหลวงพะงั่ว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ และประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณบุรี จัดตั้งขึ้นตามดำริของ ฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๑ เริ่มก่อสร้างเมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๓ โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในการสนับสนุนงบประมาณ ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี มูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส ศิลปอาชา กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมการท่องเที่ยว โดยกรมศิลปากรเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดแสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือ ขุนหลวงพะงั่ว เจ้าเมืองสุพรรณบุรี ผู้ซึ่งต่อมาเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ พระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๓ ของกรุงศรีอยุธยา และทรงเป็นองค์ปฐมแห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ นอกจากนี้ยังบอกเล่าเรื่องราวของจังหวัดสุพรรณบุรีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยสังคมเกษตรกรรม ยุคประวัติศาสตร์แรกเริ่มเรื่อยมาจนถึงยุคประวัติศาสตร์ สมัยรัตนโกสินทร์ อีกทั้งเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงมีพระมหากรุณา ธิคุณต่อพสกนิกรชาวจังหวัดสุพรรณบุรีและชาวไทย           การจัดแสดงได้นำเสนอเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับเมืองสุพรรณบุรี จำนวน ๙ ตอน ผ่านงานประติมากรรมนูนสูง และนูนต่ำ หล่อด้วยโลหะสำริด ความยาว ๘๘ เมตร สูง ๔.๒๐ เมตร ซึ่งนับว่าเป็นประติมากรรมสำริดที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๙ ตอน ประกอบด้วยตอนที่ ๑ สุพรรณบุรี : ชุมชนแรกเริ่ม ตอนที่ ๒ สุพรรณบุรี : อู่ทอง...เครือข่ายการค้าข้ามภูมิภาค ตอนที่ ๓ สุพรรณบุรีในวัฒนธรรมศาสนา : อู่ทองเมืองศูนย์กลางศาสนารุ่นแรก ตอนที่ ๔ สุพรรณบุรี : เนินทางพระ...ร่องรอยพุทธศาสนามหายาน ตอนที่ ๕ สุพรรณบุรี : ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ตอนที่ ๖ สุพรรณบุรี : เมืองลูกหลวงของราชธานีศรีอยุธยา ตอนที่ ๗ สุพรรณบุรี : สมรภูมิยุทธหัตถี ตอนที่ ๘ สุพรรณบุรี : หัวเมืองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และตอนที่ ๙ ปัจจุบัน...สุพรรณบุรีโดยผู้เข้าชมจะได้รับความรู้และความเพลิดเพลินผ่านระบบการบรรยายนำชมที่ทันสมัยทั้งในรูปแบบออนไลน์ ออฟไลน์ และอุปกรณ์ Audio guide จำนวน ๓ ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน พร้อมใช้เทคโนโลยีแสง เสียง ประกอบการจัดแสดง           ทั้งนี้ ผู้สนใจยังสามารถใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งกรมศิลปากรได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ง่าย สะดวก โดยสามารถเข้าชมอาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรีในรูปแบบ SMART MUSEUM ผ่านทาง https://smartmuseum.finearts.go.th กดเลือกนิทรรศการพิเศษอาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี และบนระบบ Application “SMART MUSEUM” รวมถึงสามารถรับชมวีดิทัศน์เนื้อหาภายในอาคารประติมากรรมฯ ผ่านช่องทาง YouTube กรมศิลปากร ตลอดจนองค์ความรู้ผ่านช่องทางเฟสบุ๊ก แฟนเพจ ของกรมศิลปากร          อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า แหล่งเรียนรู้แห่งนี้จะอำนวยประโยชน์สูงสุดในการศึกษาด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุพรรณบุรีและของชาติ ให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน อันจะก่อให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจ และนำไปสู่การร่วมกันอนุรักษ์ ปกป้อง คุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติให้ยั่งยืนสืบไป          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี โทร.๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐ หรือ facebook fanpage พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี





ชื่อเรื่อง                                สังฮอมธาตุ (สังฮอมธาตุ) สพ.บ.                                  204/3ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           50 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 58.5 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดกกม่วง ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก)ชาตกฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทานขันธ์-นครกัณฑ์)  สพ.บ.                                  250/13ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           42 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน                                           ชาดก บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องรัก  ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


สัปคับและกูบช้าง ภาพที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ ช้าง เป็นพาหนะสำหรับเดินทางในพื้นที่ภาคเหนือ จะพบภาพการนำคณะมิชชันนารีไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในถิ่นห่างไกลทางภาคเหนือและในเมืองเชียงตุงของรัฐฉาน เมืองสิบสองปันนา ภาพคนงานใส่สัปคับ และภาพที่มีการใส่กูบเพื่อกันแดดกันฝนในการเดินทาง นอกจากภาพการเดินทางโดยใช้ช้างแล้วยังพบภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ซึ่งมีพิธีรับเสด็จเข้าเมืองกับพิธีทูลพระขวัญตามธรรมเนียมหัวเมืองฝ่ายเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการนำช้างจากเจ้าผู้ครองนครฝ่ายเหนือเข้าร่วมขบวน โดยมีการใส่สัปคับและกูบที่สวยงามไว้ที่หลังของช้าง คำว่า สัปคับ (น.) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ มีความหมายว่า ที่สำหรับนั่งผูกติดบนหลังช้าง ในภาษาถิ่นเหนือหรืออีสาน เรียกว่า แหย่ง ซึ่งมักใช้ประกอบกับหลังคาด้านบน คือกูบ ส่วนในหนังสือ สารพจนานุกรมล้านนา พบคำว่า กูบ มีความหมาย ว่า หลังครอบ ส่วนที่ครอบสิ่งอื่นไว้ และอธิบายคำว่า กูบช้าง หมายถึง หลังคาครอบแหย่ง (ที่นั่ง) ช้าง คือประทุนครอบกันฝนและร้อน หนาว คำว่ากูบใช้ได้กับสัตว์อีกชนิดคือม้า และใช้ได้กับรถกูบ หรือ รถที่มีหลังคาครอบ คือ ประทุน หรือผตีน ปัจจุบันพบว่าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ลำพูน ได้เก็บรักษาสัปคับพร้อมกูบของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้ายไว้ แต่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดแสดงเฉพาะสัปคับไม้ลงรักปิดทอง ตัวเป็นลวดลายแบบจีน ด้านหน้ามีรูปค้างคาวและรูปขุนนางจีน ๔ คน ขอบสลักเป็นรูปนกเกาะกิ่งไม้ ขาและมุมทั้งสี่สลักเป็นรูปหัวมังกร โดยพระมหาธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ให้ยืมมาจัดแสดง จากภาพเห็นได้ว่าสัปคับและกูบของคณะมิชชันนารีทำขึ้นแบบง่ายใช้สำหรับการนั่งหลบฝนและแดดในระหว่างการเดินทาง ส่วนสัปคับและกูบของผู้มีฐานะจะทำขึ้นอย่างสวยงาม มีลวดลายวิจิตรบรรจง สำหรับการใช้ในขบวนพิธีผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ :๑.หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่  ๒.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ลำพูน. อ้างอิง : ๑. มณี พยอมยงค์. ๒๕๔๖. สารพจนานุกรมล้านนา. จ.เชียงใหม่: ดาวคอมพิวกราฟิก. ๒. บุญเสริม สาตราภัย. ๒๕๕๔. เชียงใหม่ในความทรงจำ. เชียงใหม่: Sansilp Printing.๓. สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสถาบันพระปกเกล้า.๒๕๕๘.จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนิรเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พระพุทธศักราช ๒๔๖๙.กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชซิ่ง.๔. ราชบัณฑิตยสถาน.๒๕๕๔. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพมหานคร: ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้น.๕. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย ลำพูน.ม.ป.ป.“สัปคับ”(Online). https://www.finearts.go.th/hariphunchaimuseum/view/23555-สัปคับ,๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔.๖. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่.ม.ป.ป. “วัตถุที่จัดแสดง” (Online). http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/chiangmai/index.php/th/event/วัตถุที่จัดแสดง.html,๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔.