ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 43,030 รายการ

ชื่อผู้แต่ง         พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ชื่อเรื่อง          นิราศไทรโยค ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์    กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์      โรงพิมพ์กรุงเทพการพิมพ์ ปีที่พิมพ์         2518                      จำนวนหน้า     385 หน้า หมายเหตุ       พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพนางอนงค์ สิงหศักดิ์                    นิราศไทรโยคโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงพระนิพนธ์ เมื่อครั้งเสด็จประพาสน้ำตกไทรโยคระหว่างวันที่ 17 ก.พ. ถึง 24 มี.ค. พ.ศ. 2437 ทรงพระนิพนธ์เป็นโคลงสี่สุภาพ รวม 1,441 บท , ทรงพรรณาถึงธรรมชาติบนสองฝั่งแม่น้ำและสถานที่เสด็จประพาส รวมทั้งความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี นอกจากนั้น ทรงแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ จึงนับเป็นนิราศที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี


          กลศ (Kalaśa) หรือ กุมภะ (Kumbha) คือ หม้อ/เหยือก/โถ/แจกัน บรรจุน้ำ รูปทรงน้ำเต้า คอสูง ปากแคบ คล้ายขวด ไม่มีพวย ไทยเรามักเรียกว่า “คนโท” นิยมใช้เป็นองค์ประกอบสถาปัตยกรรมส่วนยอดวิหารในอินเดีย ในสมัยพระเวทเรียกว่า “หม้อเต็มด้วยน้ำ” ได้แก่ ปูรณ-กลศ (Pūrṇa-kalaśa) ปูรณ-กุมภะ (Pūrṇa-kumbha) หรือ ปูรณฆฏะ (Pūrṇa-ghaṭa) เชื่อว่าบรรจุน้ำอมฤต/น้ำศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ภูมิปัญญา ความบริสุทธิ์ แหล่งกำเนิดของชีวิต และความเป็นอมตะ บางครั้งกลศก็เต็มด้วยเหรียญเงิน ข้าว อัญมณี และทองคำ หรือส่วนผสมของสิ่งกล่าวแทนน้ำ           กลศใช้เป็นหม้อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรม เช่นใช้ในพิธีหลั่งน้ำโสม (สุรา) เพื่อบวงสรวงเทพเจ้าตั้งแต่สมัยพระเวท ใช้หลั่งน้ำลงดิน หรือหลุมเสาเอกก่อนการก่อสร้าง เพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ ยังใช้เป็นหม้อน้ำติดตัวคนเดินทางโดยเฉพาะพวกนักพรต นักบวชชาวอินเดียทั้งในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ           ทางประติมานวิทยาเป็นสัญลักษณ์แสดงลักษณะของเทพเจ้าหลายพระองค์ เช่น พระพรหมา (Brahma) เทพผู้สร้าง ทรงหม้อน้ำในพระหัตถ์ข้างหนึ่ง น้ำซึ่งบรรจุอยู่ภายในกล่าวว่าเป็นน้ำเมื่อแรกกำเนิดจักรวาล พระพรหมทรงโลกขึ้นโดยหย่อนเมล็ดพืชลงในน้ำนั้น พระลักษมี (Lakṣamī) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และพระศิวะ (Śiva) ในฐานะเทพคุรุ           ในศาสนาพุทธ พระโพธิสัตว์ถือกลศเป็นสัญลักษณ์แสดงลักษณะของนักบวช เช่น พระปัทมปาณี (Padmapanī) พระไมเตรยะ (Maitreya) พระนางภฤกุฏี (Bhṛkuṭi) กลศในพุทธศาสนาจัดเป็นหม้อน้ำอมฤต หรือหม้ออาหารทิพย์ หรือยาอายุวัฒนะภาพ 1. เหรียญเงินทวารวดี รูปกลศ หรือ ปูรณกลศ พบที่จังหวัดนครปฐม พุทธศตวรรษที่ 12 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ภาพ 2. สัญลักษณ์มงคลรูปกลศะ บนแผ่นหินสลัก ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ 12-16 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ภาพ 3. กลศ ศิลปะอินเดียแบบคันธารราฐ พุทธศตวรรษที่ 7 – 8 ปกติมักถือในหัตถ์ของพระโพธิสัตว์ไมเตรยะ British Museum ภาพ 4. พระศิวะสี่กร แสดงปางประทานพร ถือตรีสูร สรรปะ (งู) และ กลศะ ศิลปะอินเดีย พุทธศตวรรษที่ 16 Asian Art Museum of San Francisco--------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล: นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอ้างอิง 1. ดรรชนีภาชนะดินเผาสมัยทวารวดี 2. Gods, Goddesses & Religious Symbols of Hinduism, Buddhism & Tantrism 3. Iconography of the Hindus, Buddhists and Jains 4. https://en.wikipedia.org/ wiki/Kalasha


วันที่ ๒๑ - ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗นายมนตรี ธนภัทรพรชัย นักโบราณคดีชำนาญการและเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมาลงพื้นที่ขุดกู้โครงกระดูกมนุษย์ที่พบบริเวณหลังบ้านเลขที่ ๑๔๖หมู่ที่ ๔ ตำบลบ้านเดื่อ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์สมัยประวัติศาสตร์ตอนปลายนายมนตรี ธนภัทรพรชัย นักโบราณคดีชำนาญการนายสมศักดิ์ ฉัตรทองนางสาวพิชญ์สินี กุลกิตติรัตนากรนายอดุลย์ ประพฤติชอบ


          อุโบสถวัดประทุมธรรมชาติ ตั้งอยู่ภายในวัดประทุมธรรมชาติ บ้านแกใหญ่ หมู่ที่ ๑ ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ เป็นโบราณสถานที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๖๐ แล้วเสร็จและมีการผูกพัทธสีมาเมื่อ ๑ มีนาคม ๒๔๖๒ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๑๗ ง หน้า ๙ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๔ ไร่ ๐ งาน ๔๖ ตารางวา           ร่องรอยของโบราณสถานที่เหลืออยู่ เป็นอาคารอุโบสถ หรือที่เรียกว่า “สิม” สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพุทธ สร้างโดยการนำของพระครูธรรมธัชพิมล อดีตเจ้าอาวาส ช่างเป็นชาวเขมรที่มาอยู่ที่บ้านแกใหญ่อุโบสถ หรือ สิมหลังนี้ เป็นสถาปัตยกรรมพื้นบ้าน สร้างด้วยไม้ ขนาด ๕ ช่วงเสา กว้าง ๗.๒๕ เมตร ยาว ๑๐.๖๐ เมตร หลังคาทรงจั่วสองชั้น ชั้นบนลดมุขด้านหน้าและด้านหลังหน้าบันมีชานจั่วแกะสลักลวดลาย ส่วนบนหลังคาประดับด้วยโหง่ ลำยอง นาคสะดุ้งและหางหงส์ไม้ หลังคาชั้นลดแบบปั้นหยาคลุมตลอดทั้งสี่ด้าน หน้าต่างและประตูเป็นแบบลูกฟักเหมือนกับที่ใช้ในบ้านเรือนทั่วไป ตัวอาคารตั้งอยู่บนพื้นดิน มีเสาไม้สี่เหลี่ยม รวม ๒๔ ต้น ด้านหน้าด้านทิศตะวันออกมีประตูทางเข้า ๒ บาน และมีหน้าต่างอยู่ตรงกลาง ๑ บาน ด้านหลังด้านทิศตะวันตกมีประตูทางเข้า ๒ บาน และมีหน้าต่างอยู่ตรงกลาง ๑ บาน ด้านข้างด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้มีช่องหน้าต่างด้านข้างด้านละ ๕ บาน จุดเด่นของสิมหลังนี้อยู่ที่หน้าบันมีชานจั่วเป็นไม้แกะสลักลวดลายด้านทิศตะวันออกแกะสลักลวดลายรูปเทพพนม ท่ามกลางลวดลายพันธุ์พฤกษา ด้านทิศตะวันตกแกะสลักลวดลายราหู ท่ามกลางลวดลายพันธุ์พฤกษา นอกจากนี้ยังพบการสลักลวดลายที่ตำแหน่งเชิงชายคาของหลังคาทั้งสองชั้น           ปัจจุบัน โบราณสถานอุโบสถวัดประทุมธรรมชาติ ไม่มีการใช้ประโยชน์ และไม่ได้รับความเอาใจใส่ดูแลรักษาจากทางวัดเท่าที่ควร เนื่องจากมีการสร้างอุโบสถหลังใหม่ไว้ที่ด้านทิศใต้ของอุโบสถหลังนี้ สภาพปัจจุบันอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก ส่วนหลังคาที่เดิมเคยมุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ปลายแหลม ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสังกะสีทั้งหมด ส่วนบนหลังคา ที่ประดับด้วยโหง่ ลำยอง นาคสะดุ้งและหางหงส์ไม้ ชำรุด ผุพังและหลุดหายไปจากตำแหน่งเดิม ประตู หน้าต่างและฝาผนังไม้ ชำรุด ผุพัง หลุดหายไปมาก ลวดลายหน้าบันที่สลักตกแต่งสวยงามก็ชำรุดหลุดหายไป ภายในอาคารก็มีน้ำท่วมขัง เนื่องจากมีการนำดินมาปรับถมพื้นที่ด้านนอกโดยรอบทำให้ภายในอยู่ในพื้นที่ต่ำ           สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ได้เห็นคุณค่าและความสำคัญของโบราณสถานอุโบสถ วัดประทุมธรรมชาติ จึงได้ดำเนินการจัดทำแผนงานโครงการสำรวจเพื่อการออกแบบบูรณะโบราณสถานอุโบสถวัดประทุมธรรมชาติ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการศึกษาข้อมูลของโบราณสถาน ประวัติศาสตร์ความเป็นมาและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของโบราณสถาน มีเป้าหมายเพื่อที่จะอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานและปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของโบราณสถาน ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม คงสภาพความเป็นของแท้ดั้งเดิมให้มากที่สุด ทรงคุณค่าในการเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและแหล่งศึกษาหาความรู้ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งได้ดำเนินการจัดทำผังรูปแบบเพื่อการบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว           ปัจจุบัน สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ.๒๕๖๓ จากกรมศิลปากร เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งศิลปวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการท่องเที่ยว งบเงินอุดหนุนเพื่อบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์อุโบสถวัดประทุมธรรมชาติ โดยเบิกจ่ายจากเงินอุดหนุน จำนวน ๗๓๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดแสนสามหมื่นบาทถ้วน) และเงินวัดสมทบ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินงานบูรณะและปรุบปรุงภูมิทัศน์ และสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา จะรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการเป็นระยะๆ ต่อไป รวบรวมข้อมูลโดย : นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา


          วันนี้ (วันพุธที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๐๐ น.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย กิจกรรมทำความสะอาดบริเวณพื้นที่อาคารกระทรวงวัฒนธรรม และกิจกรรมบริจาคโลหิตจากโรงพยาบาลราชวิถี โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมกิจกรรม ณ บริเวณอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพฯ


ชื่อผู้แต่ง : ชุมเห็ดชื่อเรื่อง : ตำนานและนิราศของสุนทรภู่ครั้งที่พิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ -สถานที่พิมพ์ : พระนครสำนักพิมพ์ : ๒๔๗๒          ตำนานและนิราศของสุนทรภู่ ได้รวบรวมเรื่องตำนานและนิราศของสุนทรภู่ ซึ่งเป็นกวีเอก ยุงกรุงรัตนโกสินทร์ ทำให้ได้เรียนรู้ประวัติของ กวีเอก นอกจากนั้นยังมีนิราศอันไพเราะของท่าน อทิ นิราสอิเหนา นิราศประพระประธม



ผู้แต่ง : กรมศิลปากร ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 2 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์ : 2499 หมายเหตุ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาอุเมนเทพโกสินทร์ (ประสาน บุรณศิริ)               นำเสนอเรื่องราวของทาส ตั้งแต่กฎหมายทาส พระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าด้วยเรื่องทาวและเกษียณอายุ พระราชบัญญัติพิกัดเกษียนอายุลูกทาสลูกไทย ประกาศลูกทาศ ประกาศเกษียณลูกทาสลูกไทย และเรื่องการเลิกทาส ย่อความตามพระราชบัญญัติและประกาศต่าง ๆ ที่ออกภายหลังพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย




ชื่อเรื่อง                     นางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ผู้แต่ง                       กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ประเพณี ขนมธรรมเนียมเลขหมู่                      390.22 น222นสสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์ภักดีประดิษฐ์ปีที่พิมพ์                    2508ลักษณะวัสดุ               130 หน้าหัวเรื่อง                     นางนพมาศ                              ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์        ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางสะลูไร  ตุลยายน   เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติของนางนพมาศ ตั้งแต่สมัยสุโขทัย



เลขทะเบียน : นพ.บ.123/15ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  72 หน้า ; 4.5 x 53.6 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 70 (232-242) ผูก 15 (2564)หัวเรื่อง : มงฺคลตฺถทีปปี (มงคลทีปนีอรรถกถา)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


     ชวนมารู้จักชาวนาไทย ตอนที่ 3 "จากพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวนาสุพรรณบุรีสู่การก่อตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี แห่งแรก"      ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในช่วงเวลาดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2532 จังหวัดสุพรรณบุรี โดยนายอารีย์ วงศ์อารยะ (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี) มีดำริที่จะจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย เพื่อเป็นอนุสรณ์เทิดพระเกียรติพระองค์ และเพื่อเป็นสถานที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำนา ประเพณี วิถีชีวิตของชาวนาไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงงานโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับข้าวและการเกษตรในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าชมและได้รับองค์ความรู้ที่เป็นอาชีพหลักของชาวไทย        การก่อตั้งโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย เกิดขึ้นจากความร่วมมือทั้งจังหวัดสุพรรณบุรี โดยจังหวัดสุพรรณบุรีจัดหางบประมาณในการก่อสร้างเป็นหลัก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยกรมศิลปากรรับผิดชอบในการออกแบบก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย ซึ่งมีแนวทางการออกแบบภายใต้แนวความคิดของบ้านเรือนไทยภาคกลางที่มีใต้ถุนสูง         อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี (หลังแรก) เป็นอาคาร 2 ชั้น ขนาด 19.20 เมตร x 25.20 เมตร ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ที่ผสมผสานระหว่างเรือนไทยและยุ้งฉางข้าวของชาวนา ซึ่งเป็นลักษณะที่อยู่อาศัยที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นภาคกลาง      การก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2532 และกระทรวงศึกษาธิการ (ในขณะนั้นกรมศิลปากรสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ) ได้ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย จังหวัดสุพรรณบุรี ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 117 ตอนที่ 112 วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2533 ประกาศ ณ วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2533        วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2532 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี ณ บริเวณ ศาลากลาง (หลังเก่า) ถนนประชาธิปไตย ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่รวบรวมเครื่องมือเครื่องใช้ที่พระองค์ทรงใช้เมื่อครั้งทรงทำนาประวัติศาสตร์ที่บึงไผ่แขก ตลอดจนนิทรรศการข้อมูลความรู้ด้านการทำนา ประเพณี วิถีชีวิตของชาวนาไทย      วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี อย่างเป็นทางการ จากนั้นเป็นต้นมา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี ได้เปิดบริการให้ประชาชนเข้าชม โดยไม่มีค่าธรรมเนียมการเข้าชมจวบจนปัจจุบัน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี เปิดให้บริการเป็นเวลากว่า 30 ปีมาแล้ว   เครดิตภาพถ่าย : หอจดหมายเหตุแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี นางสาวภัทรา เชาว์ปรัชญากุล (บันทึกภาพวันที่ 1 เมษายน 2563)


ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๓๓ เจ้าอาวาสวัดพลับ  ต.พนัสนิคม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๑ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)