ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,749 รายการ
ชื่อเรื่อง ธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ 2 หลักสูตรนักธรรมชั้นมัชฌิมะผู้แต่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ศาสนาเลขหมู่ 294.3076 ว151ธสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์พระจันทรปีที่พิมพ์ 2472ลักษณะวัสดุ 150 หน้า หัวเรื่อง พระพุทธศาสนา – หัวข้อธรรมภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกการเรียงลำดับธรรมในหมวดหนึ่งๆ ได้เรียงไว้ตามลำดับอักษรเป็นพื้น เว้นแต่ที่เนืองถึงกัน เช่น มรรค 4 ผล 4 ใช้เป็นหลักสูตรประโยคนักธรรมชั้นมัชฌิมะในศกนี้
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2347-2411. พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพงศาวดารเมืองนครศรีธรรมราช. พระนคร: โรงพิมพ์ โสภณพิพรรฒธนากร, 2475.พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพระราชทานไปยังพระองค์เจ้าปัทมราช พระเจ้าลูกเธอในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และพงศาวดารเมืองนครศรีธรรมราช
มหามกุฎราชสันตติวงศ์ : สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
๒๑ มิถุนายน ๒๔๐๕ วันประสูติของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บุคคลสำคัญของโลกในฐานะ “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย” พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี จึงได้รวบรวมและเรียบเรียงบทความเรื่อง บันทึกเรื่องราวเสด็จประพาสต้น : จดหมายนายทรงอานุภาพ ร.ศ. 123 ขึ้นมา
บันทึกเรื่องราวเสด็จประพาสต้น : จดหมายนายทรงอานุภาพ ร.ศ. 123
จดหมายนายทรงอานุภาพ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นบันทึกเรื่องราวการเสด็จประพาสหัวเมืองต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2447 หรือ ร.ศ. 123 ซึ่งการประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรสภาพบ้านเมือง ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างใกล้ชิด ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติให้มีความก้าวหน้า ไม่ล้าหลัง ในช่วงเวลาที่ลัทธิจักรวรรดินิยมกำลังเผยแผ่ขยายอำนาจ ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงต้องพยายามดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อป้องกันการคุกคามของชาติมหาอำนาจ และยกระดับการดำเนินชีวิตของราษฎรให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยการเสด็จประพาสหัวเมืองต่าง ๆ เป็นประจำโดยเฉพาะหัวเมืองภาคใต้และหัวเมืองประเทศราชทางใต้ เพื่อตรวจราชการ สร้างความสนิทสนมกับข้าราชการท้องถิ่น และสร้างความจงรักภักดีให้เกิดกับพระองค์
ตามหลักฐานและเอกสารเรียกการประพาสครั้งนี้ว่า “การเสด็จประพาสต้น”ซึ่งวัตถุประสงค์การเสด็จนอกจากเสด็จเพื่อทอดพระเนตรสภาพบ้านเมืองและราษฎร ก็เสด็จเพื่อเป็นการพักผ่อนพระราชอิริยาบถของพระองค์เองอีกด้วย ซึ่งการเสด็จประพาสครั้งนี้มีความพิเศษ คือ พระองค์เสด็จประพาสตามหัวเมืองอย่างสามัญชน โดยไม่โปรดให้มีท้องตราแจ้งต่อหัวเมืองเพื่อให้หัวเมืองเตรียมการรับเสด็จอย่างเป็นทางการ แต่ทรงแต่งพระองค์อย่างสามัญชน ปะปนไปกับราษฎร มิให้ผู้ใดรู้จักและทราบล่วงหน้าและทรงประทับค้างแรมที่ใดก็แล้วแต่พระราชประสงค์
การเสด็จประพาสต้นนั้นมีประโยชน์แก่ราชการบ้านเมือง และการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรได้อย่างมาก ซึ่งพระองค์ทรงโปรดการเสด็จประพาสในลักษณะนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากการเสด็จประพาสในลักษณะนี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใกล้ชิด รับรู้ และเข้าใจสภาพสังคม ความทุกข์สุขในชีวิตประจำวันของราษฎรมากยิ่งกว่าการเสด็จประพาสแบบทางการแล้ว ยังทรงสำราญพระราชอิริยาบถและมีพระพลานามัยดีขึ้นจากการเสด็จประพาสครั้งนี้ ตลอดจนได้เห็นการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในท้องถิ่นอย่างแท้จริงอีกด้วย
คำว่า “ประพาสต้น” นั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า มีที่มาจากชื่อเรือที่ทรงซื้อไว้ใช้ในกระบวนเสด็จประพาส เนื่องด้วยเส้นทางการเสด็จประพาสส่วนใหญ่เป็นการเสด็จประพาสทางแม่น้ำ ลำคลองเป็นหลัก โดยในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อเรือมาดประทุน 4 แจวลำหนึ่งเพื่อบรรทุกเครื่องครัว โดยมีพระยานิพัทธราชกิจ (อ้น นรพัลลภ) ซึ่งขณะนั้นเป็นหลวงศักดิ์นายเวร เป็นผู้คุมเครื่องครัวไปในเรือนั้น จึงทรงดำรัสเรียกเรือลำนั้นว่า “เรือตาอ้น” เมื่อเรียกเร็วๆ ก็จะออกเสียงเป็น “เรือต้น” อีกทั้งคำว่า “ต้น” ยังอนุโลมใช้เรียกเครื่องแต่งพระองค์อย่างลำลองในคราวเสด็จประพาสว่า “ทรงเครื่องต้น” อีกด้วย
โดยเส้นทางการเสด็จประพาสต้นครั้งนั้น เริ่มเดินทางจากสะพานน้ำหน้าพระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 ผ่านหัวเมืองต่าง ๆ ตามลำดับ เช่น เมืองนนทบุรี สมุทรสาคร ราชบุรี สมุทรสงคราม เพชรบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับจากบางปะอินโดยรถไฟ และถึงพระบรมมหาราชวังกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2447 รวมใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 25 วัน
ความใน “จดหมายนายทรงอานุภาพ” ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระราชหัตถเลขาถึง “พ่อประดิษฐ์” ซึ่งเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงขณะเสด็จประพาสต้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบตามลำดับ มีทั้งหมด 8 ฉบับ สรุปความได้ดังต่อไปนี้
จดหมายฉบับที่ ๑ : เล่าถึงเหตุที่จะเสด็จประพาสต้น นอกจากจะเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 การเสด็จประพาสครั้งนี้ก็เพื่อการพักผ่อนพระอิริยาบถและพักรักษาพระองค์
จดหมายฉบับที่ 2 : จุดเริ่มต้นการเสด็จประพาสต้น โดยเริ่มเล่าเรื่องจากการเสด็จจากบางปะอินล่องลงมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา เสด็จประทับวัดปรไมยิกาวาศ แล้วเสด็จประพาสสวนกระท้อนแถบแม่น้ำอ้อมเมืองนนทบุรี เวลาเย็นเสด็จประทับแรมที่หน้าวัดเขมา เช้าของอีกวันเสด็จจากวัดเขมาล่องลงมาเข้าคลองบางกอกใหญ่และคลองภาษีเจริญ ระหว่างทางขึ้นบกเดินเที่ยวเล่นที่บ้านกระทุ่นแบน ตกเย็นประทับแรมหน้าวัดหนองแขม หลังจากเสด็จจากวัดหนองแขมเข้าคลองดำเนินสะดวก หยุดกระบวนประทับแรมที่หน้าวัดโชติทายการาม พรางเสด็จเรือเล็กประพาสทุ่งที่น้ำท่วมเพื่อพบปะสมาคมกับราษฎรตามท้องที่
จดหมายฉบับที่ : ๓ เล่าเรื่องเสด็จหลังจากเสด็จจากวัดโชติทายการามไปเมืองราชบุรี ทรงรับสั่งให้เตรียมรถไฟพิเศษเพื่อเสด็จไปประพาสเมืองเพชรบุรี โดยประสงค์ว่าการประพาสเมืองเพชรบุรีครั้งนี้จะไม่มีใครทราบ เนื่องจากต้องการทอดพระเนตรบ้านเมืองในเวลาปกติ แต่ผิดคาดเมื่อมีข้าราชการบางคนทราบถึงการเสด็จครั้งนี้ หลังจากเสด็จจากเมืองเพชรบุรีก็เสด็จกลับประทับแรมที่เมืองราชบุรี ทอดพระเนตรแห่บวชนาคบุตรพระแสนท้องฟ้า
เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ได้มีการอธิบายถึงที่มาของคำว่า “ประพาสต้น” อีกด้วย การเสด็จประพาสต้นเป็นไปอย่างทุกทีที่พระองค์ทรงหยุดแวะตามที่ต่าง ๆ ระหว่างทางเพื่อเยี่ยมชมวิถีชีวิตของราษฎร ซึ่งพาหนะการเสด็จนั้นสลับสับเปลี่ยนอยู่บ้างตามวาระ จากเรือสู่รถไฟ จากรถไฟสู่เรือ โดยวัตถุประสงค์ยังคงเดิมที่ต้องการปกปิดตัวตน ซึ่งมีหลุดบ้างเนียนบ้างตามประสา
จดหมายฉบับที่ 4 : เนื้อหาภายในจดหมายยังคงเต็มไปด้วยความสนุกของการเสด็จประพาส เนื่องด้วยความไม่เป็นทางการของการเสด็จ ทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นชวนให้มีความสุข สนุกมากกว่าการเสด็จประพาสในลักษณะปกติ สำหรับเหตุการณ์ที่สำคัญในจดหมายฉบับนี้เกิดขึ้นจากคนที่ตามเสด็จต้องแบ่งหน้าที่ตามความถนัดเพื่อเตรียมการทำอาหาร ซึ่งการรวมตัวทำอาหารเลี้ยงกันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเป็นอย่างมาก
สำหรับเส้นทางการเสด็จประพาสเริ่มจากเสด็จตลาดที่เมืองราชบุรี และแวะซื้อเสบียงอาหารที่ปากคลองวัดประดู่ ระหว่างทางเสด็จทอดพระเนตรละครชาตรีบ้านตาหมอสี เวลาเย็นก็หาจุดที่จะเสด็จแวะทำครัว เสด็จตามแม่น้ำลำคลอง จบวันก็เสด็จกลับมาประทับแรมเมืองสมุทรสงคราม และเสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมืองสมุทรสงคราม
จดหมายฉบับที่ 5 : เล่าเรื่องการเสด็จประพาสไปยังเมืองเพชรบุรี โดยเริ่มเสด็จประทับเรือฉลอมไปทอดพระเนตรละมุที่ปากอ่าวแม่กลองเตรียมเสบียงอาหาร เมื่อถึงปากน้ำเมืองเพชรบุรี เสด็จเรือกลไฟไปประทับแรมที่จวนเจ้าพระยาสุรพันธ์ฯ ซึ่งการเสด็จประพาสต้นเมืองเพชรบุรีการที่จะหลีกเลี่ยงหรือพบปะราษฎรอย่างสามัญชนนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากชาวเพชรบุรีกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความผูกพันกว่าที่ไหน ๆ หลังจากได้เสด็จจากบางทะลุทางทะเลมาเข้าบ้านแหลมแล้ว พระองค์เสด็จกลับมาประทับแรมเมืองเพชรบุรี ณ พระนครคีรี และเสด็จประพาสวัดต่าง ๆ ในจังหวัดเพชรบุรี จบด้วยการเสด็จไปประทับแรมที่บ้านแหลม
จดหมายฉบับที่ 6 : การเสด็จประพาสเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากเสด็จจากบ้านแหลมโดยทางทะเลถึงเมืองสมุทรสาคร จากเมืองสมุทรสาครก็เสด็จไปประทับแรมที่งิ้วราย หลังจากนั้นก็เสด็จโดยรถไฟพิเศษเพื่อเสด็จประพาส ณ พระปฐมเจดีย์ ล่องเรือเสด็จประพาสวัดพระประโทน ออกจากพระประโทนเสด็จประทับเสวยเย็นที่บ้านพระยาเวียงไนย และเสด็จกลับมาประทับแรมที่งิ้วราย
จดหมายฉบับนี้ได้เล่าเรื่องการเสด็จประพาสหลาย ๆ แห่งโดยทางชลมารค ทั้งเสด็จประพาสคลองภาษี เสด็จประทับแรมบ้านสองพี่น้อง เสด็จประพาสคลองสองพี่น้อง เสด็จประทับแรมที่วัดบางบัวทอง จนถึงเมืองสุพรรณบุรี แล้วเสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมือง วัดมหาธาตุ หลักเมือง วัดป่าเลไลย เวลาบ่ายเสด็จกลับมาประทับแรมที่บางปลาม้า จบด้วยการเสด็จจากบางปลาม้าเพื่อเสด็จประทับแรมที่บ้านผักไห่
จดหมายฉบับที่ ๗ : จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่เล่าเรื่องราวการเสด็จประพาสต้นครั้งนี้ โดยเริ่มเล่าเรื่องการเสด็จจากบ้านผักไห่ไปทางคลองบางโผงเผง โดยมีเหตุการณ์สำคัญ คือ เกิดความเข้าใจผิดในเส้นทางการเสด็จ เป็นเหตุให้เกิดความลำบากแก่การประพาสเป็นอย่างมาก หลังจากเหตุการณ์คลี่คลาย เสด็จคลองบางหลวงอ้ายเอียง แวะทำครัวที่บ้านนายช้างอำแดงพลับ เมื่อออกจากบ้านนายช้างอำแดงพลับเสด็จจนถึงบางปะอิน และเสด็จรถไฟพิเศษเพื่อกลับกรุงเทพฯ เป็นอันจบการเสด็จประพาสต้น
จดหมายฉบับที่ 8 : สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้พรรณนาถึงผลในการเสด็จประพาสต้น และยังได้กล่าวถึงการเสด็จประพาสหลังจากครั้งนี้อีกว่า จะไม่ได้สุขสำราญและเป็นกันเองเหมือนเมื่อครั้งที่เสด็จประพาสต้น (เมื่อปี พ.ศ. 2447 หรือ ร.ศ. 123) อีกแล้ว โดยอธิบายเหตุผลไว้ว่า ราษฎรรู้แล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการเสด็จอย่างสามัญชน และหลังจากนี้หากมีใครแปลกหน้าเป็นผู้ดีชาวบางกอก ก็คิดและเข้าใจว่านั่นคือพระเจ้าอยู่หัว แม้แต่เรือพระที่นั่งหากเห็นว่ามีความแตกต่างจากปกติ ไม่ได้มาจากท้องถิ่นแถวนั้น ก็คิดไปก่อนว่านั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมองว่าการเสด็จประพาสต้น การประพาสอย่างสามัญชนคนธรรมดาจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เอกสารสำหรับการค้นคว้า
1. ณัฐวรรณ พุ่มดียิ่ง.“การศึกษาแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพัฒนาประเทศ จากพระราชหัตถเลขาในการเสด็จประพาสหัวเมือง (พ.ศ. 2415 – 2452)”,ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์, ( บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2550)
2. กรมศิลปากร. (2565). จดหมายนายทรงอานุภาพ เล่าเรื่องประพาสต้น เมื่อ ร.ศ. 123. กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์.
3. วัชรญาณ. “จดหมายนายทรงอานุภาพ เล่าเรื่องประพาสต้น”, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://vajirayana.org/จดหมายนายทรงอานุภาพ-เล่าเรื่องประพาสต้น
4. หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร. จดหมายเหตุ เรื่องเสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ 5 ครั้งแรกและครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
ชื่อเรื่อง : พุทธธรรมสมาคม สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ข้อบังคับพุทธธรรมสมาคมผู้แต่ง : พุทธธรรมสมาคม สาขาจังหวัดเชียงใหม่ปีที่พิมพ์ : ๒๔๗๙สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์อุปะติพงษ์จำนวนหน้า : ๒๐ หน้าเนื้อหา : หนังสือพุทธธรรมสมาคม สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ข้อบังคับพุทธธรรมสมาคม ฉบับนี้เป็นฉบับแก้ไขใหม่เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙ มีเนื้อหาประกอบด้วย วัตถุประสงค์ของสมาคม คาถาและเครื่องหมาย ที่ตั้งสำนักงาน สมาชิกและหน้าที่สมาชิก ผู้อุปถัมภ์ การเข้าสู่และออกจากสมาชิก ค่าบำรุง รายละเอียดเกี่ยวกับกรรมการ การเงิน การลงมติ การประชุม และการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ เลขทะเบียนหนังสือหายาก : ๘๑๖เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : E-book_๒๕๖๗_๐๐๓๓หมายเหตุ : โครงการจัดเก็บและอนุรักษ์หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และเอกสารโบราณ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗
ี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี มูลนิธิเล็ก - ประไพ วิริยะพันธุ์ และชมรมนักโบราณคดี (สมัครเล่น) เมืองสุพรรณ ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการเสวนาทางวิชาการเรื่อง "สุพรรณภูมิ กำเนิดสยามประเทศ" วันเสาร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๓.๐๐ ถึง ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องประชุม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี
กำหนดการมีดังนี้
เวลา ๑๒.๐๐ - ๑๓.๐๐ น. ลงทะเบียน
เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๓.๒๐ น. หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี กล่าวต้อนรับและเปิดกิจกรรมเสวนา
เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. กิจกรรมเวทีเสวนา "สุพรรณภูมิ กำเนิดสยามประเทศ" โดยมีวิทยากร ศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านโบราณคดีและมานุษยวิทยา คนสำคัญของประเทศไทยร้อยเอก บุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี, อาจารย์วลัยลักษณ์ ทรงศิริ นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์, นายปัญชลิต โชติกเสถียร ผู้ดำเนินรายการ (ชมรมนักโบราณคดี (สมัครเล่น) เมืองสุพรรณ)
และพบกับบูธหนังสือวิชาการทรงคุณค่า จากมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ และกิจกรรรมร่วมถ่ายภาพคู่กับศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม เป็นที่ระลึกพร้อมรับลายเซ็นต์บนภาพจากเพจสยามเทศะ
ผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังเสวนา สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSd3VpcIYPw0sKtgrUQGDAfrJ8m-BrSITqcCiuEOZgreqAdt_A/viewform?fbclid=IwY2xjawGuRjFleHRuA2FlbQIxMAABHRZjFlHpNdwT9Fl0vz3CD84lFZIxHNWKOMrtr25PTm1EXmlplcwN2IjelA_aem_O_qvU_j8eggA89GsVobAzQ (รับจำนวนจำกัด) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี โทรศัพท์ ๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐, ๐ ๓๕๕๓ ๖๑๐๐ ชมรมนักโบราณคดี(สมัครเล่น)เมืองสุพรรณ โทรศัพท์ ๐๘ ๑๘๓๘ ๔๖๗๖ (สมยศ), ๐๘ ๑๖๑๔ ๗๒๓๗ (ปัญชลิต)
ชื่อเรื่อง : พุทธศาสนสุภาษิต
หัวเรื่อง : พุทธศาสนา
บทสวดมนต์
พุทธภาษิต
คำค้น : พุทธภาษิต
นิพพาน
ขันติ
สันโดษ
สามัคคี
รายละเอียด : -
ผู้แต่ง : วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : โรงพิมพ์จันเฮง
ปีที่พิมพ์ : 2470
วันที่เผยแพร่ : 29 มกราคม 2568
ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : -
ลิขสิทธิ์ : -
รูปแบบ : PDF.
ภาษา : ภาษาไทย
ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก
ตัวบ่งชี้ : -
รายละเอียดเนื้อหา : รวมสุภาษิต คำสอนในพระพุทธศาสนา จัดแบ่งเป็นหมวด ๆ เช่น ว่าด้วยปัญญา หรือความสัตย์ เป็นต้น
เลขทะเบียน : น. 32 บ. 2667 จบ.
เลขหมู่ : 294.315 ว151พ
ชื่อผู้แต่ง กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง ประเพณีทำศพและประเพณีบวชนาค
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 1
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ไต้ทง
ปีที่พิมพ์ 2504
จำนวนหน้า 58 หน้า
ISBN -
เลขเรียกหนังสือ -
เลขทะเบียนหนังสือ 000635
หมายเหตุ -
หนังสือเล่มนี้ จะเขียนเกี่ยวกับขั้นตอนการทำศพเป็นลำดับขั้น เริ่มตั้งแต่ขั้นแรก คือ การบอกหนทาง เมื่อผู้ป่วยหนักถึงเข้ามรณญาณแล้ว เข้าจัดดอกไม้ธูปเทียนบรรจุในกรวยใบตอง ให้ผู้ป่วยหนักพนมมือบางทีก็นิมนต์พระสงฆ์หรือตั้งพระพุทธรูปไว้ใกล้ๆ แล้วบอกแก่ผู้ป่วยหนักให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย จนถึงผู้ป่วยหนักหมดลมหายใจ และมีขั้นตอนที่ 2 การอาบน้ำศพ การแต่งตัวศพ การมัดศพ โลงและการเบิกโรง เครื่องประกอบโลง การตั้งศพ การนำศพออกจากบ้าน การเผาศพ ข้างขึ้นเผาคี่ข้างแรมเผาคู่ เดินสามหาบ จนถึงขั้นตอนสุดท้าย แปรรูปและเก็บอัฐิ และในเล่มนี้ยังเขียนถึงประเพณีบวชนาค ซึ่ง กรมพระสมมดอมรพันธุ์ ทรงเรียบเรียงไว้อย่างน่าสนใจ
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ. 77/3หมวดหมู่ พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 34 หน้า : กว้าง 4.4 ซม. ยาว 57 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลานได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อผู้แต่ง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสาร)
ชื่อเรื่อง ทางสงบตอนที่ ๑๕
พิมพ์ครั้งที่ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๙
จำนวนหน้า ๑๐๖ หน้า
รายละเอียด
หนังสือ ทางสงบตอนที่ ๑๕ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสาร) นี้ คณะศิษยานุศิษย์ ได้ร่วมกันจัดพิมพ์ขึ้น โดยนำธรรมกถาที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสาร) แสดงในวันพระตอนเช้า มาพิมพ์เพื่อสืบอายุพระศาสนา มีรายละเอียดเกี่ยวกับ ตัดความคลุกคลี ละธรรม ๖ ประการ ไม่แสวงหากาม ที่อยู่ที่น่ารื่นรมย์ ฯลฯ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ไกลบ้าน สำเนาพระราชหัตถเลขา ถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านิภานภดล เมื่อเสด็จประพาศยุโรป ร.ศ. 126. ม.ป.ท.: ม.ป.พ., ม.ป.ป.เลขทะเบียน 0748