ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,794 รายการ
วันเยาวชนแห่งชาติ 20 กันยายน
วันเยาวชนแห่งชาติ ได้เริ่มมีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2528 เนื่องจากองค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2528 เป็นปีเยาวชนสากล
คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้วันที่ 20 กันยายนของทุกปี เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ โดยถือว่าเป็นวันที่เป็นสิริมงคล เนื่องจากตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีถึงสองพระองค์ด้วยกัน คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในขณะที่ยังทรงพระเยาว์เหมือนกัน ดังนั้น เยาวชนไทยจึงควรสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ด้วยการพัฒนาตนเองและประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ความหมายสากลของเยาวชน หมายถึงคนในวัยหนุ่มสาว คือ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-25 ปี ในขณะที่เด็กมักจะหมายถึง ผู้มีอายุต่ำกว่า 14 ปี
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เป็นต้นไป เยาวชนของชาติ จะได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเอง ชุมชนและประเทศชาติอย่างต่อเนิ่อง โดยเริ่มจากการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ที่มีค่านิยมที่ถูกต้อง ภูมิใจหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ซึ่งความเป็นไทย อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย รู้จักการอดออมและประหยัด ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตลอดจนบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวมและประเทศชาติ
อีกสถาบันหนึ่งที่มีความสำคัญมากเช่นกัน ได้แก่ สถาบันครอบครัว ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองมีความเข้าใจ เอาใจใส่ทนุถนอมให้ความรักและความอบอุ่นแก่เยาวชนที่อยู่ในความปกครองแล้ว ก็จะสามารถช่วยให้เยาวชนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและคุณธรรมได้อย่างแน่นอน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง ขอเชิญชมนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปี ๒๕๖๕ เรื่อง “ชวนอ่านเรื่องเมืองถลาง” หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองถลางในช่วงกรุงธนบุรีถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จัดแสดงระหว่างวันที่ ๒๓ กันยายน - ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๕ ณ บริเวณอาคารโถงต้อนรับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง ภายในนิทรรศการ จัดแสดงสำเนาเสมือนจริงของจดหมายเมืองถลาง หลักฐานการติดต่อระหว่างชาวเมืองถลางกับกัปตันฟรานซิส ไล้ท์ ในสมัยกรุงธนบุรีถึงช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่บันทึกเรื่องราวแง่มุมต่างๆ ของเมืองถลางไว้อย่างมากมาย อีกทั้งยังได้จัดเตรียมข้อมูลบริการด้านภาพถ่ายความละเอียดสูงของจดหมาย ๖๑ ฉบับ พร้อมทั้งคำอ่านและคำอธิบายในสำนวนต่างๆที่เคยมีการอ่านแปลความไว้ เพื่อสืบค้นเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่สนใจในประวัติศาสตร์ของเมืองถลางอีกด้วย ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “ชวนอ่านเรื่องเมืองถลาง” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง จังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๕ เปิดทุกวันพุธ – อาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ๒๐ บาท ชาวต่างชาติ ๑๐๐ บาท สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๗๖๓๗ ๙๘๙๕
ชื่อเรื่อง อาการวตฺตสุตฺต(อาการวัตตสูตร)
สพ.บ. อย.บ.4/1กประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 66 หน้า กว้าง 5.5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวด
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ภาษามอญ เส้นจาร ฉบับทองทึบ ลานดิบ ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 40/3ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 28 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
องค์ความรู้ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
เรื่อง เถาะนักษัตร
วันขึ้นปีใหม่ในประเทศไทยนั้น แต่เดิมนับวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้ายเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามระบบการนับวันเวลาแบบจันทรคติ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๓๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงเปลี่ยนให้วันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นวันที่ ๑ เมษายน เนื่องจากระบบการนับจันทรคติไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ในขณะนั้นมีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ดังความตอนหนึ่งในลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า
“...พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์ว่าประดิทินที่ใช้กันในโลก ประเทศทั้งปวงรับใช้ประดิทินสุริยคติอย่างฝรั่งมากขึ้นทุกที่ ประดิทินทางจันทรคติมีที่ใช้น้อยลง ต่อไปวันน่าโลกคงจะใช้ประดิทินสุริยคติด้วยกันหมด ควรจะเปลี่ยนประดิทินไทยไปใช้สุริยคติเสียทีเดียว...” [สะกดตามข้อความต้นฉบับ]
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่ ๑ มกราคม โดยเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา* และยังคงนับเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
คติการนับปีตามนักษัตรของไทยนั้นสันนิษฐานว่ารับอิทธิพลจากจีนที่ไทยรับผ่านวัฒนธรรมเขมร โดยปรากฏหลักฐานอย่างน้อยสมัยสุโขทัย ข้อความตอนหนึ่งในศิลาจารึกหลักที่ ๑ พ่อขุนรามคำแหง อักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๐ กล่าวว่า “...[มหาศักราช] ๑๒๑๔ [ตรงกับ พ.ศ. ๑๘๓๕] ศกปีมะโรงพ่อขุนรามคำแหง...” รวมถึงบ้านเมืองที่ร่วมสมัยกันโดยเฉพาะดินแดนล้านนา พบการกล่าวถึงชื่อนักษัตรด้วยเช่นกัน อาทิ จารึกวัดพระยืน (ลพ. ๓๘) อักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย จุลศักราช ๗๓๒ [ตรงกับ พ.ศ. ๑๙๑๓] ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๒๐ กล่าวว่า “...เมื่อท่านเป็นเจ้ามานั้นในปีระกา เดือนเจียง...” และจารึกกษัตริย์ราชวงศ์มังราย (พะเยา) (ลพ.๙) อักษรฝักขาม ภาษาไทย พ.ศ. ๑๙๕๔ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๘ ปรากฏคำว่า “ปีมะแม”
อีกทั้งในวัฒนธรรมล้านนามีคำในภาษาตระกูลไทเกี่ยวกับ ๑๒ นักษัตร เช่น ไจ้ (ชวด) เป้า (ฉลู) ยี่ (ขาล)... ฯลฯ และพบชื่อนักษัตรเหล่านี้ได้ตามจารึกในล้านนาหลายหลัก บางครั้งพบการนับปีนักษัตรทั้งแบบอิทธิพลเขมรและวันแบบไท เช่น จารึกหลักที่ ๓๘ จารึกกฎหมายลักษณะโจร อักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ กล่าวว่า “...ศกฉลูนักษัตรไพสาขปุรณมีพฤหัสบดี...”
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนปีนักษัตรในทางโหรศาสตร์นั้นจะเปลี่ยนในดิถีขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวาระเปลี่ยนปีนักษัตรตามปฏิทินโหราศาสตร์ที่นับวันแบบจันทรคติ ซึ่งเป็นวิธีคิดของศาสนาพราหมณ์จากอินเดียระบุให้วันขึ้นปีใหม่เป็นเดือน ๕ จึงทำให้โหรเริ่มนับปีนักษัตรใหม่ที่เดือน ๕ ด้วยเช่นกัน ขณะที่การบันทึกปีนักษัตรลงในใบสูติบัตร และเอกสารทะเบียนราษฎร์นั้น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จะบันทึกตามปฏิทินหลวงที่นับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันเปลี่ยนปีนักษัตรใหม่ และวันสุดท้ายของปีนักษัตรคือวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒
สำหรับ พ.ศ. ๒๕๖๖** นี้ ตรงกับปีนักษัตร เถาะหรือกระต่าย เป็นสัตว์สัญลักษณ์ลำดับที่สี่ในบรรดาสัตว์ทั้ง ๑๒ ของรอบปีนักษัตร กระต่ายเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของพระจันทร์ ดังปรากฏในวรรณกรรมทางพุทธศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วง ของพญาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ ๑) กล่าวว่าบนพระจันทร์มีรูปกระต่าย หรือ อรรถกถา “สสปัณฑิตชาดก” มีเรื่องย่อว่า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกระต่าย มีความตั้งใจรักษาศีลและให้ทาน ท้าวสักกะ (พระอินทร์) ได้แปลงเป็นนายพรานมาทดสอบจิตใจด้วยการขออาหาร ซึ่งพระโพธิ์สัตว์แสดงการให้ทานด้วยการกระโดดเข้ากองไฟเพื่อให้ตนเป็นอาหารแก่นายพราน แต่ไฟมิอาจทำอันตรายใดได้ นายพรานจึงบอกความจริงและสรรเสริญพระโพธิ์สัตว์พร้อมทั้งเขียนรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์เพื่อเป็นที่ระลึกแก่คุณความดีที่พระองค์พร้อมสละตนเป็นทานแก่สรรพสัตว์
ครั้นสมัยรัชกาลที่ ๓ บันทึกของบาทหลวงปาลเลกัวซ์ (Pallegoix) ระบุว่าคนไทยถือว่ากระต่ายเป็นสัตว์เจ้าปัญญาและเจ้าเล่ห์ นิทานหลายเรื่องล้วนกล่าวถึงกระต่ายมีลักษณะปราดเปรียวและฉลาดเหนือสัตว์อื่น รวมทั้งจุดในดวงจันทร์ก็มองว่าเป็นรูปกระต่ายด้วย ดังนั้นกระต่ายในทรรศนะของคนโบราณจึงมองว่าสัมพันธ์กับดวงจันทร์ (แม้กระทั่งสำนวนไทยยังมีคำว่า กระต่ายหมายจันทร์ ซึ่งหมายถึง ผู้ชายหมายปองผู้หญิงมีฐานะดีกว่า ) และอุปนิสัยของกระต่ายนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่ตามพื้นดิน มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ดังเช่น คำพรรณนาในกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ แต่งขึ้นในคราวพระองค์ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปทรงนมัสการรอยพระพุทธบาทสระบุรี ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
๏ กระต่ายหลายพงศ์พรรค์ เต้นชมจันทร์หันตัวตาม
ซ่อนซุ้มชุมเหลือหลาม ยามออกเล่นเต้นชมกัน ฯ
๏ กระต่ายหลายพวกพ้อง พรรค์งาม
ชมชื่นแสงจันทร์ตาม ไล่เหล้น
ซ่อนซุ้มชุมเหลือหลาม หลายเหล่า
ยามเมื่อออกเล่นเต้น โลดเลี้ยวชมกัน ฯ
และในโคลง “สัตวาภิธาน” แต่งโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ (สมัยรัชกาลที่ ๕) ระบุถึงชื่อสัตว์จำพวกต่าง ๆ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
๏ กระต่ายออกเต้นตามพง ฟุบแฝงกอปรง
กระโดดแลโลดลำภอง
นอกจากนี้กระต่ายยังเป็นสัตว์เลี้ยงของราชสำนักมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐาน “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม” กล่าวว่าบริเวณตำหนักคูหาสวรรค์เป็นสวนกระต่าย ดังข้อความกล่าวว่า “...มีพระตำหนักห้าห้อง ฝาเขียนทองพื้นลงรักอยู่ในกลางสวนกระต่าย ๑ มีประตูเข้าไปพระตำหนักตึกใหญ่ ผนังนอกทาแดง ชื่อพระตำหนักโคหาสวรรค์ ๑ พระตำหนักนี้เปนที่ประทับของสมเดจพระพรรวษาใหญ่ ซึ่งเปนพระราชเทวีสมเดจพระนารายน์แต่ก่อนมา ครั้นภายหลังมาเปนพระคลังฝ่ายใน...”
แม้กระทั่งในสมัยรัตนโกสินทร์ บริเวณวัดบวรสถานสุทธาวาสในเขตฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เดิมเป็นวัดหลวงชี*** สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้ทำเป็นสวนกระต่าย ดังข้อความใน “ตำนานวังหน้า” ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“...ที่วัดหลวงชี ครั้งรัชกาลที่ ๑ ทำนองจะไม่มีหลวงชีอยู่ดังแต่ก่อน กุฏิหลวงชีร้างชำรุดทรุดโทรม จึงโปรดให้รื้อกุฏิหลวงชีเสียหมด ทำที่นั้นเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย เข้าใจว่าที่ตรงนี้แต่เดิมก็เห็นจะเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย เอาอย่างพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยาจึงปรากฏว่ามีตำหนักอยู่ในนั้น...”
*ดังนั้น พ.ศ. ๒๔๘๓ จึงมีระยะเวลา ๙ เดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน-ธันวาคม
**ตรงกับ ปีเบญจศก จุลศักราช ๑๓๘๕ และ รัตนโกสินทร์ศก ๒๔๒
***หลวงชีในที่นี้หมายถึง นางชีนามว่า “นางแม้น” มารดาของนักองค์อี (ซึ่งเป็นพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้าอุไทยราชาแห่งกัมพูชา และเป็นพระสนมของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท)
อ้างอิง
กรมศิลปากร. ไตรภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์พระมหาธรรมราชาที่ ๑ พญาลิไทย ฉบับ ตรวจสอบชำระใหม่. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๒๖.
กรมศิลปากร. นามพรรณพฤกษา สัตวาภิธาน และ นิติสารสาธก. กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและ ประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๖๕.
กรมศิลปากร. ปฏิทินหลวงพระราชทานกับการกำหนดปีนักษัตรของไทย. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๑ มกราคม ๒๕๖๖, จาก: https://www.finearts.go.th/literatureandhistory/view/22641-ปฏิทินหลวง พระราชทานกับการกำหนดปีนักษัตรของไทย
คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๓๔.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานวังหน้า. พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพฯ: แสงดาว, ๒๕๕๓.
ส. พลายน้อย (นามแฝง). สิบสองนักษัตร. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๗.
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สบ.๒.๑๙/๔. เอกสารส่วนพระองค์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. เรื่อง วินิจฉัย จุลศักราช รัตนโกสินทร์ศก (๑๙ พ.ย. ๒๔๖๖).
บทความโดย นาย พนมกร นวเสลา ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 135/3เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 171/3เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 7/4ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 32 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 50/5ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 9/3ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 36 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53.8 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ประยูร อุลุชาฎะ เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2471 ที่จังหวัดสมุทรปราการ เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดกลาง (โรงเรียนประจำจังหวัดสมุทรปราการ) ประยูรมีแววเป็นจิตรกรและนักเขียนตั้งแต่เด็ก ฝึกเขียนรูปด้วยการลอกจากหนังสือฝรั่ง ครูเห็นว่ามีฝีมือดี จึงใช้ให้เขียนแผนที่บนกระดานดำ เขียนรูปอวัยวะ และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ จนได้ชื่อว่าเป็น “ช่างวาดของโรงเรียน” พ.ศ. 2486 ประยูรเริ่มเรียนศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง แผนกฝึกหัดครูช่าง พ.ศ. 2488 เข้าศึกษาต่อที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร จบการศึกษาระดับอนุปริญญาศิลปบัณฑิต สาขาจิตรกรรม พ.ศ. 2495 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ริเริ่มให้มีการก่อตั้งโรงเรียนศิลปศึกษา หรือโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมอบหมายให้ประยูรเป็นผู้ร่างหลักสูตร เขียนตำราเรียน และดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่ ควบคู่กับการสอนที่คณะจิตรกรรมฯ
พ.ศ. 2500 ประยูรประสบปัญหาจนต้องลาออกจากราชการ จากนั้นได้เริ่มศึกษาค้นคว้าและเขียนบทความวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ โบราณคดี และโหราศาสตร์ โดยใช้นามปากกาแตกต่างกันไปตามประเภทของหนังสือที่เขียน เช่น น. ณ ปากน้ำ ใช้เขียนเรื่องเกี่ยวกับศิลปะ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ต่อมาประยูรได้ออกเดินทางสำรวจโบราณสถานในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเวลา 5 เดือน เพื่อนำข้อมูลมาเผยแพร่ให้ผู้คนได้เห็นถึงความสำคัญของศิลปะไทยมากยิ่งขึ้น
ประยูรสร้างสรรค์ผลงานทั้งจิตรกรรมไทยประเพณีและศิลปะสมัยใหม่ ผลงานส่วนใหญ่มีรูปแบบของศิลปะแนวอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) และเอ็กเพรสชันนิสม์ (Expressionism) โดยใช้เทคนิคสีน้ำมัน สีน้ำ และสีชอล์ก ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความประทับใจ ผ่านสีและฝีแปรง เช่น ผลงาน “วัดมหาธาตุ อยุธยา” มีการลดรายละเอียดต่างๆ เหลือไว้เพียงโครงร่างของโบราณสถาน โดยใช้เทคนิคการแต้มและปาดสีซ้ำๆ กัน สีที่แต้มลงไปนั้นมีโครงสีที่โปร่ง บาง สะอาดสดใส ประสานกันอย่างนุ่มนวล
ผลงาน “จันทบุรี” เป็นผลงานที่สร้างชื่อให้แก่ประยูรเป็นอย่างมาก เป็นภาพทิวทัศน์จากมุมสูง ไม่เห็นรายละเอียดมากนัก เน้นการแสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกตามบรรยากาศของแสงและสีแบบผลงานแนวอิมเพรสชันนิสม์ ลักษณะของฝีแปรงมีความรวดเร็ว แม่นยำ และมีชีวิตชีวา สีสันที่เลือกใช้มีความสดใสและสอดประสานกันเป็นอย่างดี มีการให้น้ำหนักของสีแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เพื่อสร้างระยะใกล้ไกลให้กับภาพ ผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง สาขาจิตรกรรม การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 6 (พ.ศ. 2498)
นอกจากนี้ ประยูรยังได้คัดลอกภาพจิตรกรรมฝาผนังตามแหล่งโบราณสถานและวัดวาอารามต่างๆ ที่ไปทำการสำรวจร่วมกับศิลปินท่านอื่นๆ ได้แก่ เฟื้อ หริพิทักษ์ อังคาร กัลยาณพงศ์ และอวบ สาณะเสน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงคุณค่าและความงดงามของภาพจิตรกรรมแบบไทยประเพณีที่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา อันเป็นประโยชน์แก่การศึกษาทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะไทย
ประยูรได้รับปริญญาศิลปดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาประยุกตศิลปศึกษา) จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2526 และด้วยความรู้ความสามารถหลายด้าน ประกอบกับเกียรติคุณที่ได้สั่งสมมาตลอดระยะเวลาหลายปี จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) เมื่อ พ.ศ. 2535 ประยูร อุลุชาฎะ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2543 ด้วยโรคหัวใจวาย สิริอายุ 72 ปี
#ประยูรอุลุชาฎะ
#ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่๙
#ศิลปินแห่งนวสมัย #หอศิลป์แห่งชาติ
#หอศิลป์แห่งชาติถนนเจ้าฟ้า
ที่มา
1. หนังสือ “ชีวิตและงานของอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ” โดย วิบูลย์ ลี้สุวรรณ
2. หนังสือ “5 ทศวรรษศิลปกรรมแห่งชาติ 2492 – 2541” โดย หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
3. หนังสือ “นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป” โดย สมพจน์ สุขาบูลย์
Unseen ทางวัฒนธรรมอำเภอปักธงชัย ตอนที่ 2 กับ " #หอไตรกลางน้ำ อีกหนึ่งความวิจิตรงดงามของวัดหน้าพระธาตุ..."
สวัสดีครับ กลับมากันอีกครั้ง หลังจากหลายสัปดาห์ก่อนพี่นักโบนำเสนอ Unseen ทางวัฒนธรรมอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา! กับ อุโบสถเก่า วัดหน้าพระธาตุ ตำบลตะคุ กันไปแล้ว ซึ่งได้รับความสนใจจากทุกท่านเป็นอย่างมาก กับภาพจิตรกรรมชั้นครูทั้งนอก และในอุโบสถหลังเก่าที่เขียนภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติ ทศชาติชาดก ผสมผสานไปพร้อมวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยนั้น โดยในวันนี้ พี่นักโบ จะมานำเสนออีกหนึ่งความวิจิตรงดงามของวัดหน้าธาตุ นั่นคือ "หอไตรกลางน้ำ" นั่นเองครับ
#หอไตรวัดหน้าพระธาตุ ตั้งอยู่กลางสระน้ำ ซึ่งราษฎรในพื้นที่เรียกว่า "ลำตาน้อย" ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของอุโบสถเก่า วัดหน้าพระธาตุ ( ระยะห่างประมาณ 50 เมตร หอไตรมีลักษณะเป็นอาคารเรือนไทย ฝาลูกปะกน (ไม้ลูกสกัดฝาเรือนสำหรับนำแผ่นกระดานมากรุ) และมีหน้าต่างลูกมะหวดรวม 5 ช่อง (ผนังด้านทิศเหนือ เเละทิศใต้ ด้านละ 2 ช่อง เเละผนังด้านทิศตะวันออก 1 ช่อง) ประตูทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเพื่อให้สอดรับกับอุโบสถหลังเก่าที่หันหน้ามาทางด้านทิศตะวันออก
ส่วนฐานของหอไตรรองรับด้วยเสากลม 5 แถวๆ ละ 4 ต้น รวมทั้งสิ้น 20 ต้น ปักลงไปในน้ำ
ส่วนหลังคา มุงด้วยกระเบื้องดินเผา เเละประดับกระเบื้องเชิงชายลายเทพพนมซึ่งมีลักษณะคล้ายกระเบื้องเชิงชายของอุโลสถหลังเก่า บริเวณหน้าบันทั้ง 2 ด้าน ไม่สลักลวดลาย ภายในมี #หอกลาง และมีชานรอบ ด้านทางเข้ามีเศษราวสะพานทอดขึ้นสู่หอกลางซึ่งในอดีตเป็นห้องสำหรับเก็บเอกสารหรือคัมภีร์ ปัจจุบันมีการทำสะพานไม้อย่างง่ายเพื่อเชื่อมกับพื้นที่บก
สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดจักรวรรดิราชาวาส ในฐานะผู้เขียน เเละบรรณาธิการ หนังสือประวัติวัดหน้าพระธาตุ และหนังสือเทศนา ได้กล่าวถึง สภาพหอไตรกลางน้ำ ในโอกาสงานผูกสีมาวัดหน้าพระธาตุ ระหว่างวันที่ 16-22 เมษายน 2521 ความว่า
"...หอไตรกลางสนะมุงกระเบื้องดินเผา เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก เห็นทีกระดิ่งเเขวน มีเเผ่นโลหะเป็นใบโพธิ์ห้องลูกกระดิ่ง เวลาลมพัดเสียงวังเวงมาก เเต่เวลานี้หายหมด จะหล่นลงในสระหรือหายไปอย่างไรไม่ทราบ แต่ก่อนคงเก็บคัมภีร์หนังสือลาน จารตัวอักษรขอม แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว พระสมัยนี้อ่านหนังสือขอมไม่ออก หนังสือลานจารด้วยอักษารขอมยังมีอยู่ในตู้บนกุฎี แต่ไม่มีใครสนใจ ที่ประตูหอไตร มีลายรดน้ำ เขียนรูปนกอุ้มนาง ฝีมือสวย กรมศิลปากรเคยมายืมออกเเสดงให้คนชม ข้าพเจ้าเสียดายต้องการจะซ่อมรักษา ต่อไป..."
สำหรับ #ภาพจิตรกรรม ที่พบบริเวณหอไตรนั้น พบทั้งเทคนิคเขียนลายรดน้ำปิดทอง เเละเขียนภาพด้วยสีฝุ่น มีดังนี้
1. จิตรกรรมฝาผนังภายนอกหอกลาง
1.1 บานประตูทางเข้า เขียนลายรดน้ำปิดทอง เล่าเรื่อง กากี ตอน พญาครุฑลักนางกากี
1.2 ผนังขนาบบานประตูทั้ง 2 ข้าง เขียนลายรดน้ำปิดทอง เป็นภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผมอยู่ท่ามกลางลายพรรณพฤกษา อันเป็นสัญลักษณ์มงคลแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
1.3 ผนังด้านทิศเหนือ เเละด้านทิศใต้ เขียนภาพด้วยสีฝุ่น เป็นเทพพนมถือดอกบัว อยู่ในเส้นสินเทาล้อมรอบด้วยพื้นหลังเป็นลายประจำยามก้านแย่งเสมือนเทพพนมเปล่งรัศมี
1.4 ผนังด้านทิศใต้ เขียนภาพด้วยสีฝุ่น เล่าเรื่องพุทธประวัติ ตอนออกมหาภิเษกรมณ์ (เจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช) ขนาบด้วยภาพเทวดาเหาะถือดอกบัวแสดงความยินดี
2. จิตรกรรมผนังภายในหอกลาง
2.1 เพดาน เขียนลายนกในป่าหิมพานต์ ดอกไม้ เเละดาวเพดาน บนพื้นสีแดง
2.2 ผนังด้านทิศเหนือ ทิศตะวันตก เเละทิศใต้ แบ่งภาพออกเป็นชั้น ๆ ชั้นบนเขียนภาพเทพชุมนุม ชั้นกลาง และชั้นล่างของผนัง เขียนภาพดอกไม้ร่วงสีแดงบนพื้นสีขาว
จากภาพจิตรกรรมที่พบ สันนิษฐานว่าหอไตรกลางน้ำแห่งนี้ สร้างขึ้นในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 หรือต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ร่วมรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อเนื่องถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยคงมีอายุร่วมสมัยกับอายุของอุโบสถหลังเก่า
อำเภอปักธงชัยของเรา เป็นอีกอำเภอหนึ่งที่อุดมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาติ ยังมีวัดอีกหลายแห่งที่พบภาพจิตรกรรมฝาผนัง เเละเพดานจากฝีมือศิลปินชั้นครู อาทิ วัดปทุมคงคา (นกออก) เเละวัดโคกศรีสะเกษ ดัฃตั้นหากมีโอกาสจึงขอเชิญชวนทุกท่าน แวะเยี่ยมชมวัดหน้าพระธาตุ เพื่อดื่มด่ำความงามของภาพจิตรกรรมที่อุโบสถหลังเก่า เเละหอไตรกลางน้า ตลอดจนวัดอื่น ๆ ในพื้นที่อำเภอปักธงชัยดังที่กล่าวไปแล้วกันนะครับ
เรียบเรียงนำเสนอโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ
เอกสารอ้างอิง
1. สมเด็จพระธีรญาณมุนี. ประวัติวัดหน้าพระธาตุ และหนังสือเทศนา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ส สง่า. 2521.
2. วรรณิภา ณ สงขลา และคณะ. รายงานการสำรวจจิตรกรรมฝาผนัง วัดหน้าพระธาตุ ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. อัดสำเนา. 2528
3. หน่วยศิลปากรที่ 6. รายงานการติดตามผลการอนุรักษ์หอไตร วัดหน้าพระธาตุ ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา. นครราชสีมา: หน่วยศิลปากรที่ 6. 2535
สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญชมการแสดงเนื่องในโอกาส ๑๑๒ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร วันพุธที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๘.๐๐ น. ณ เวทีกลางแจ้ง บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พบกับการบรรเลงดนตรีสากล “กำเนิดวงสากลในประเทศไทย เล่าขานตำนานเพลงไทย ๒” อำนวยเพลงโดย นาวี คชเสนี อำนวยการแสดงโดย ลสิต อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักการสังคีต
* ชมฟรี *สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐๒๒๒๑ ๐๑๗๑