ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,743 รายการ
“อนุฏฐานไสยา” พุทธปฏิมาบนเพิงผาเขาตะเภา จังหวัดลพบุรี
ห่างจากตัวเมืองลพบุรีออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทางประมาณ ๕๓ กิโลเมตร ในเขตอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เป็นที่ตั้งของภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ วางตัวอยู่ตามแนวทิศเหนือ-ใต้ ซึ่งชาวบ้านพากันเรียกชื่อภูเขาแห่งนี้ว่า “เขาตะเภา” มีที่มาจากเรื่องราวในตำนานพื้นบ้านเมืองลพบุรี เรื่อง ขันหมากพระเจ้ากรุงจีน ว่าเรือสำเภาของพระเจ้ากรุงจีนซึ่งยกขันหมากมาสู่ขอนางนงประจันทร์ ธิดาของท้าวกกขนากได้ล่มตะแคงจมลงกลายเป็นหิน
บริเวณเชิงเขาตะเภาทางทิศเหนือ ซึ่งตั้งอยู่เหนือเขตวัดราชบรรทม ใช้ระยะทางในการเดินเท้าขึ้นไปประมาณ ๒๐๐ เมตร มีเพิงผาหินทรายขนาดเล็กปรากฏภาพสลักนูนต่ำพระพุทธไสยาสน์ลงรักปิดทอง ขนาดความยาว ๒.๓๐ เมตร ความสูง ๐.๕๗ เมตร แสดงพระอิริยาบถไสยาสน์โดยพระปรัศว์เบื้องซ้าย (ตะแคงซ้าย) หันพระเศียรไปทางทิศตะวันตก ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ พระกรขวาวางทอดตามพระปรัศว์ (สีข้าง) หรือราบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ซ้ายตั้งขึ้นประคองพระเศียรซึ่งมีพระเขนย (หมอนหนุน) ทรงกลมรองรับพระเศียร และพระเขนยทรงสามเหลี่ยมรองรับพระกัจฉะ (รักแร้) ลักษณะพระพักตร์รูปไข่ พระนลาฏแคบ พระขนงโก่งเป็นเส้นโค้งมาจรดพระนาสิก พระเนตรทั้งสองข้างหลับ พระนาสิกเล็กโด่ง พระโอษฐ์เรียวบางแย้มพระสรวลเล็กน้อย เม็ดพระศกขนาดเล็กคล้ายหนามขนุนเรียงกันเป็นระเบียบ มีอุษณีษะและพระรัศมีเป็นเปลว ไรพระเกศาเป็นแถบเส้นขนาดเล็ก พระกรรณยาวลงมาเกือบจรดพระอังสา ครองอุตราสงค์เรียบห่มเฉียงพระอังสาซ้าย สังฆาฏิเป็นแถบสี่เหลี่ยม ชายสังฆาฏิเป็นรูปหางปลายาวเกือบจรดพระนาภี มีรัดประคดคาดทับอันตรวาสกเป็นเส้นแถบขนานโค้งลงด้านหน้าตรงกึ่งกลางหยักแหลมเล็กน้อย อันเป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลสืบทอดมาจากศิลปะสุโขทัย ชายอันตรวาสกคลุมเหนือข้อพระบาททั้งสองข้าง และชายอุตราสงค์พาดคลุมทับอันตรวาสกเหนือขึ้นมาเล็กน้อย พระบาททั้งสองข้างซ้อนเสมอกัน จากรูปแบบศิลปะสามารถกำหนดอายุเบื้องต้นได้ราวสมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕)
ด้านทิศตะวันออกของภาพสลักรูปพระพุทธไสยาสน์มีถ้ำหินทรายขนาดเล็ก ที่ปากถ้ำฝั่งตรงข้ามปรากฏภาพสลักลายเส้นเป็นรูปต้นไม้ และดอกไม้ที่มีกลีบดอกโค้งลง ส่วนภายในคูหาถ้ำที่ผนังหินด้านในสุด ความสูงจากพื้นขึ้นไปประมาณ ๒ เมตร ปรากฏภาพสลักนูนต่ำโกลนพระพุทธรูปประทับนั่งในพระอิริยาบถแบบวีราสนะหรือขัดสมาธิราบ แสดงธยานมุทรา ท่วงท่าแห่งการทำสมาธิ การหลุดพ้นของจิตสู่นิพพานหรือการตรัสรู้ ขนาดหน้าตักกว้าง ๔๕ เซนติเมตร ความสูง ๕๐ เซนติเมตร ลักษณะพระพักตร์ค่อนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบที่นิยมในศิลปะลพบุรี พระขนงเป็นเส้นนูนต่อกันพระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกเล็กโด่ง ขอบพระโอษฐ์ค่อนข้างหนา ยังไม่มีการสลักลายละเอียดของพระศก มีพระเกตุมาลาซ้อนกัน ๒ ชั้น พระกรรณยาวสวมกุณฑล ไม่ปรากฏรายละเอียดของการครองไตรจีวร
เมื่อพิจารณาภาพสลักพระพุทธไสยาสน์บนเพิงผาเขาตะเภาโดยละเอียดพบว่า มีแบบแผนการไสยาสน์แตกต่างไปจากรูปพระพุทธไสยาสน์ที่สร้างขึ้นตามความเชื่อในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ซึ่งได้กล่าวถึงพระอิริยาบถการไสยาสน์ในห้วงเวลาปกติของพระพุทธองค์ว่า ทรงสำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา (ตะแคงขวา) ซ้อนพระบาทเหลื่อมด้วยพระบาท และเป็นการบรรทมแบบ “อุฏฐานสัญญา” มีพระสติสัมปชัญญะตั้งสัญญาในอันที่จะลุกขึ้นไว้ในจิต แม้ขณะที่เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงใกล้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็ทรงสำเร็จสีหไสยา และเป็นการบรรทมแบบ “อนุฎฐานไสยา” ที่มี พระสติสัมปชัญญะตั้งสัญญาว่าจะเป็นการนอนที่ไม่มีการลุกขึ้น หรือเป็นการนอนครั้งสุดท้าย โดยอ้างอิงจาก พระมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค ซึ่งกล่าวถึง พระอิริยาบถการไสยาสน์ของพระพุทธเจ้าในช่วงระยะเวลาสำคัญแห่งวันดับขันธ์ปรินิพพานไว้ ๒ เหตุการณ์ ดังนี้
๑. เรื่อง ปุกกุสะ มัลลบุตร มีข้อความว่า “ ... พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จไปยังแม่น้ำกกุธา เสด็จลงสรงในแม่น้ำกกุธา ทรงดื่มแล้วเสด็จขึ้นไปยังอัมพวัน รับสั่งเรียก ท่านพระจุนทกะมาตรัสว่า “ จุนทกะ เธอช่วยปูสังฆาฏิซ้อนกัน ๔ ชั้น เราเหน็ดเหนื่อยจะนอนพัก ท่านพระจุนทกะทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว ปูผ้าสังฆาฏิซ้อนกัน ๔ ชั้น พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงกำหนดพระทัยพร้อมจะเสด็จลุกขึ้น ส่วนท่านพระจุนทกะนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคในที่นั้น...”
๒. เสด็จไปยังควงไม้สาละทั้งคู่ มีข้อความว่า “ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียก ท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “มาเถิด อานนท์ เราจะข้ามไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญญวดี ตรงสาลวันของพวกเจ้ามัลละอันเป็นทางเข้ากรุงกุสินารากัน” ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญญวดี ตรงสาลวันของพวกเจ้ามัลละ อันเป็นทางเข้ากรุงกุสินารา แล้วรับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “อานนท์ เธอช่วยตั้งเตียงระหว่างต้นสาละทั้งคู่หันด้านศีรษะไปทางทิศเหนือ เราเหน็ดเหนื่อยจะนอนพัก ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้วตั้งเตียงระหว่างต้นสาละทั้งคู่หันด้านพระเศียรไปทางทิศเหนือ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท ทรงสติสัมปชัญญะฯ...”
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า “การสำเร็จสีหไสยา” หมายถึง การนอนตะแคงขวาวางเท้าซ้อนกัน มีสติสัมปชัญญะ ทำสัญญาในการลุกขึ้นไว้ในใจ ประดุจดังการนอนของราชสีห์ที่นอนตะแคงขวา วางเท้าหน้า เท้าหลังทั้งคู่ และเก็บหางไว้ระหว่างขาอ่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงวางศีรษะนอนลงบนสองเท้าหน้า การนอนในอิริยาบถนี้แม้นอนตลอดทั้งวัน เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะไม่สะดุ้งหวาดกลัว และสามารถตรวจดูเท้าหน้าทั้งคู่ของตน ให้ไม่เคลื่อนที่ไปจากตำแหน่งเดิม ซึ่งเป็นอิริยาบถที่สมควรแก่ความเป็นผู้กล้าหาญตามชาติกำเนิดของตน เป็นผู้มีจิตใจยินดี และร่าเริง แล้วจึงลุกขึ้นบิดกายแสดงอาการหาว สะบัดขนสร้อยคอ และบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง แล้วจึงออกไปแสวงหาอาหาร การนอนแบบสีหไสยานี้เป็นอิริยาบถอันอุดมด้วยเดช ซึ่งตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ระบุว่า สีหไสยาเป็นพระอิริยาบถการนอนของพระพุทธองค์ และภิกษุตามธรรมวินัยในมัชฌิมยามแห่งราตรี
การอธิบายแบบแผนการไสยาสน์ที่ปรากฏในภาพสลักพระพุทธไสยาสน์บนเพิงผาเขาตะเภาซึ่งแตกต่างออกไป ได้แก่ พระอิริยาบถการไสยาสน์โดยพระปรัศว์เบื้องซ้าย (ตะแคงซ้าย) หันพระเศียรไปทางทิศตะวันตก ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ โดยการอ้างอิงจากข้อมูลการรวบรวมและศึกษาพระพุทธไสยาสน์ในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของ กลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี กองโบราณคดี กรมศิลปากร ซึ่งได้นำเสนอแนวคิดข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธไสยาสน์ ในพระอิริยาบถบรรทมตะแคงซ้าย หันพระพักตร์ไปทิศเหนือและพระเศียรไปทางทิศตะวันตกไว้ว่า อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ปรากฏในคัมภีร์มหาวงศ์ ซึ่งพระมหานามเถระ พระเถระในลังกาทวีป รจนาขึ้นเป็นภาษาบาลี และ คณะบัณฑิตรจนาเพิ่มเติมจนจบในระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐๒-๑๐๒๐ ที่มีรายละเอียดกล่าวถึง เหตุการณ์ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไว้ในวชยาภิเษก ปริเฉทที่ ๗ ว่า
“...อันว่าสมเด็จพระราชกุมาร อันทรงพระนามชื่อ พระวิชยราโชรส ผู้กอปรด้วยพระปัญญาอัชฌาสัยมั่นคงมิได้จุลาจล อธิบายว่า ทรงซึ่งสุรภาพแกล้วหาญแลพระกำลังแลความเพียร เสด็จไปถึงตามพบัณณประเทศในเกาะลังกา ในวันเสด็จพุทธไสยาสน์แห่งสมเด็จพระบรมครูเจ้า อันมีพระพักตร์บ่ายไปข้างอุดรทิศแลพระเศียรบ่ายไปข้างปาจินทิศ ด้วยทรงมนสิการเป็นอนุฏฐานไสยาสน์ ในพระบวรพุทธาอาสน์อันประเสริฐ เป็นที่สุด มิได้อุฏฐาการจากที่นี้ เพื่อจะเสด็จปรินิพพานด้วยนิพพานธาตุ อันหาวิบากขันธ์แลกรรม มัชรูป จะมีเศษมิได้ ในระหว่างคู่รังรุกขชาติ อันอาจให้เกิดจิตรพิศวง ด้วยความชื่นชมแก่นิกรน รนราอันมาถึงที่ใกล้ในร่มรัง รุกขชาติดรุณ กอปรด้วยคุณผุลลิตาทิดิเรกบุปผบูชาอันมีในสาลยุคลคณารุกขชชาตินั้น อันว่าปริจเฉทเป็นคำรบหก ชื่อ วิชยาคมบริเฉท อันมีในคัมภีร์พระมหาวงษ์อันพระมหานามเถรรจนาไว้ ...”
คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาจากลังกาทวีปฉบับนี้เผยแผ่เข้ายังสังคมไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และในสมัยอยุธยาคงมีการแปลคัมภีร์มหาวงศ์ออกเผยแพร่ แต่ในปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานฉบับแปลที่ระบุศักราช แน่ชัด อีกทั้งในสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) เป็นผู้ชำระคัมภีร์มหาวงศ์ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๙ ทำให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ลังกา เรื่องราวและเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปแพร่หลายมาเป็นพื้นฐานผสมผสานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในด้านความเชื่อทางศาสนาของสังคมไทย
ดังนั้น จึงสามารถกล่าวได้ว่าภาพสลักพระพุทธไสยาสน์บนเพิงผาเขาตะเภา จังหวัดลพบุรี เป็นภาพพระพุทธไสยาสน์ที่สร้างขึ้นตามคัมภีร์และคติความเชื่อทางพุทธศาสนาจากลังกาทวีป แสดงถึงห้วงเวลาแห่งกาลดับขันธ์ปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งทรงมีพระกำหนด “อนุฏฐานไสยา”การบรรทมครั้งสุดท้ายที่ไม่มีการลุกขึ้นอีก ระหว่างต้นสาละคู่ในสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา นอกจากนี้จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า การสร้างพระพุทธไสยาสน์ แสดงพระอิริยาบถไสยาสน์โดยพระปรัศว์เบื้องซ้าย (ตะแคงซ้าย) มีการสร้างมาตั้งแต่สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖) เช่น พระพุทธไสยาสน์ภูค่าว จังหวัดกาฬสินธุ์ และในสมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕) พบในวัดวาอารามหลายแห่ง เช่น พระพุทธไสยาสน์ วัดบางเตย กรุงเทพมหานคร, พระพุทธไสยาสน์ วัดใหญ่นครชุมน์ จังหวัดราชบุรี, พระพุทธไสยาสน์ วัดน้ำคอกเก่า จังหวัดระยอง, พระพุทธไสยาสน์ วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี เป็นต้น
ผู้เรียบเรียง : นายเดชา สุดสวาท
นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ
กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี
หนังสืออ้างอิง :
- กรมศิลปากร , กองโบราณคดี . ทำเนียบพระพุทธไสยาสน์ในภาคตะวันออก . กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) , ๒๕๕๙
- กรมศิลปากร , วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑ . กรุงเทพฯ : ไทยพรีเมียร์ พริ้นติ้ง , ๒๕๓๔
- ปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์ , ประทีป เพ็งตะโก และพิรักษ์ ชวนะเกรียงไกร . “เขาตะเภา ลพบุรี :
แหล่งวัตถุดิบ และแหล่งผลิตพระพุทธรูปหินทรายสมัยลพบุรีและอยุธยา ” นิตยสารศิลปากร ปีที่ ๓๑ เล่มที่ ๒ , ๒๕๓๐
- พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค [๓. มหาปรินิพพานสูตร] ว่าด้วยมหาปรินิพพาน . โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม ๑๐ หน้า ๑๔๕, ๑๔๗ และ ๑๔๘ ในเว็บไซต์ 84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=p148 เข้าถึงเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เนื่องในโอกาสที่เมืองโบราณศรีเทพได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ขอนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับโบราณวัตถุจากเมืองศรีเทพที่เก็รักษาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ เรื่อง " ชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผาจากเมืองโบราณศรีเทพ" ซึ่งจัดแสดงประกอบนิทรรศการตามรอยศรีเทพ
...เรายังมีโบราณวัตถุจากเมืองศรีเทพอีกหลายชิ้น โปรดติดตามต่อไป...
คนก่อนประวัติศาสตร์เค้าปั่นด้ายกันยังไงเชิญพบกับผลงานของนางสาวปิยะภัทร ราชวัตรนักศึกษาฝึกสหกิจสาขามานุษยวิทยาวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยนครพนม
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ตามที่กรมศิลปากรจัดกิจกรรมการประกวดภาพถ่าย “แต่งไทย ชมวัดไชยฯ ยามราตรี” เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการแต่งชุดไทยเที่ยวชมโบราณสถาน โดยเป็นภาพถ่ายบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ถ่ายทอดสาระ คุณค่า ความงามของการแต่งกายด้วยชุดไทยยุคต่างๆ ในพื้นที่โบราณสถานวัดไชยวัฒนารามยามค่ำคืน ซึ่งเป็นกิจกรรมในงาน "ราตรีนี้...ที่วัดไชยวัฒนาราม"
มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดจำนวนมาก และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของกรมศิลปากร ได้พิจารณาตัดสินผลงานภาพถ่ายเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 มีผู้ได้รับรางวัล ดังนี้
1. รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล จำนวน 20,000 บาท ได้แก่ ภาพ "ท่องราตรี ที่วัดไชยวัฒนาราม งดงามดั่งมีมนต์ขลัง" โดย นางสาวจิรา ชุมศรี
2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท ได้แก่ ภาพ "ราตรีศรีโสภา" โดย นายพรพรต สหกิจ
3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล จำนวน 5,000 บาท ได้แก่ ภาพ "พ.ศ. 2310" โดย นายนาวี ผาจันทร์
4. รางวัลพิเศษภาพถ่ายวัยเกษียณสำราญ เงินรางวัล จำนวน 5,000 บาท ได้แก่ ภาพ "แสงเทียน ณ วัดไชย" โดย นางโสภา ทองอ่อน
ผู้ได้รับรางวัลสามารถติดต่อเพื่อขอรับรางวัลได้ที่ สำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น. ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3524 2501 และ 0 3524 2448
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “กรมศิลปากร” เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๕๔ ตลอดระยะเวลา ๑๑๓ ปี กรมศิลปากรได้ทำหน้าที่ดูแล ปกป้อง คุ้มครอง อนุรักษ์ ฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริม สืบทอด สร้างสรรค์ และเผยแพร่องค์ความรู้ในงานด้านมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานนาฏศิลป์และดนตรี งานโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ งานด้านภาษา เอกสาร และหนังสือ งานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและช่างศิลป์ไทย รวมไปถึงงานสนับสนุนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกรมศิลปากร.ปัจจุบันกรมศิลปากร เป็นหน่วยงานภาครัฐ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม มีที่ทำการของหน่วยงานส่วนกลางตั้งอยู่ที่อาคารกรมศิลปากร (เทเวศร์) ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต กรุงเทพฯ และยังมีหน่วยงานส่วนกลางที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ คือ สำนักการสังคีต ตั้งอยู่บริเวณถนนราชินี สำนักหอสมุดแห่งชาติและสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ตั้งอยู่บริเวณถนนสามเสน และสำนักช่างสิบหมู่ ตั้งอยู่บริเวณถนนพุทธมณฑลสาย ๕ จังหวัดนครปฐม นอกจากนี้ยังมีสำนักศิลปากรที่ ๑ - ๑๒ ดูแลในส่วนภูมิภาค
ชื่อเรื่อง ธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ 2 หลักสูตรนักธรรมชั้นมัชฌิมะผู้แต่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ศาสนาเลขหมู่ 294.3076 ว151ธสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์พระจันทรปีที่พิมพ์ 2472ลักษณะวัสดุ 150 หน้า หัวเรื่อง พระพุทธศาสนา – หัวข้อธรรมภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกการเรียงลำดับธรรมในหมวดหนึ่งๆ ได้เรียงไว้ตามลำดับอักษรเป็นพื้น เว้นแต่ที่เนืองถึงกัน เช่น มรรค 4 ผล 4 ใช้เป็นหลักสูตรประโยคนักธรรมชั้นมัชฌิมะในศกนี้
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2347-2411. พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพงศาวดารเมืองนครศรีธรรมราช. พระนคร: โรงพิมพ์ โสภณพิพรรฒธนากร, 2475.พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพระราชทานไปยังพระองค์เจ้าปัทมราช พระเจ้าลูกเธอในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และพงศาวดารเมืองนครศรีธรรมราช
มหามกุฎราชสันตติวงศ์ : สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
๒๑ มิถุนายน ๒๔๐๕ วันประสูติของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บุคคลสำคัญของโลกในฐานะ “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย” พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี จึงได้รวบรวมและเรียบเรียงบทความเรื่อง บันทึกเรื่องราวเสด็จประพาสต้น : จดหมายนายทรงอานุภาพ ร.ศ. 123 ขึ้นมา
บันทึกเรื่องราวเสด็จประพาสต้น : จดหมายนายทรงอานุภาพ ร.ศ. 123
จดหมายนายทรงอานุภาพ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นบันทึกเรื่องราวการเสด็จประพาสหัวเมืองต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2447 หรือ ร.ศ. 123 ซึ่งการประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรสภาพบ้านเมือง ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างใกล้ชิด ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติให้มีความก้าวหน้า ไม่ล้าหลัง ในช่วงเวลาที่ลัทธิจักรวรรดินิยมกำลังเผยแผ่ขยายอำนาจ ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงต้องพยายามดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อป้องกันการคุกคามของชาติมหาอำนาจ และยกระดับการดำเนินชีวิตของราษฎรให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยการเสด็จประพาสหัวเมืองต่าง ๆ เป็นประจำโดยเฉพาะหัวเมืองภาคใต้และหัวเมืองประเทศราชทางใต้ เพื่อตรวจราชการ สร้างความสนิทสนมกับข้าราชการท้องถิ่น และสร้างความจงรักภักดีให้เกิดกับพระองค์
ตามหลักฐานและเอกสารเรียกการประพาสครั้งนี้ว่า “การเสด็จประพาสต้น”ซึ่งวัตถุประสงค์การเสด็จนอกจากเสด็จเพื่อทอดพระเนตรสภาพบ้านเมืองและราษฎร ก็เสด็จเพื่อเป็นการพักผ่อนพระราชอิริยาบถของพระองค์เองอีกด้วย ซึ่งการเสด็จประพาสครั้งนี้มีความพิเศษ คือ พระองค์เสด็จประพาสตามหัวเมืองอย่างสามัญชน โดยไม่โปรดให้มีท้องตราแจ้งต่อหัวเมืองเพื่อให้หัวเมืองเตรียมการรับเสด็จอย่างเป็นทางการ แต่ทรงแต่งพระองค์อย่างสามัญชน ปะปนไปกับราษฎร มิให้ผู้ใดรู้จักและทราบล่วงหน้าและทรงประทับค้างแรมที่ใดก็แล้วแต่พระราชประสงค์
การเสด็จประพาสต้นนั้นมีประโยชน์แก่ราชการบ้านเมือง และการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรได้อย่างมาก ซึ่งพระองค์ทรงโปรดการเสด็จประพาสในลักษณะนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากการเสด็จประพาสในลักษณะนี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใกล้ชิด รับรู้ และเข้าใจสภาพสังคม ความทุกข์สุขในชีวิตประจำวันของราษฎรมากยิ่งกว่าการเสด็จประพาสแบบทางการแล้ว ยังทรงสำราญพระราชอิริยาบถและมีพระพลานามัยดีขึ้นจากการเสด็จประพาสครั้งนี้ ตลอดจนได้เห็นการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในท้องถิ่นอย่างแท้จริงอีกด้วย
คำว่า “ประพาสต้น” นั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า มีที่มาจากชื่อเรือที่ทรงซื้อไว้ใช้ในกระบวนเสด็จประพาส เนื่องด้วยเส้นทางการเสด็จประพาสส่วนใหญ่เป็นการเสด็จประพาสทางแม่น้ำ ลำคลองเป็นหลัก โดยในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อเรือมาดประทุน 4 แจวลำหนึ่งเพื่อบรรทุกเครื่องครัว โดยมีพระยานิพัทธราชกิจ (อ้น นรพัลลภ) ซึ่งขณะนั้นเป็นหลวงศักดิ์นายเวร เป็นผู้คุมเครื่องครัวไปในเรือนั้น จึงทรงดำรัสเรียกเรือลำนั้นว่า “เรือตาอ้น” เมื่อเรียกเร็วๆ ก็จะออกเสียงเป็น “เรือต้น” อีกทั้งคำว่า “ต้น” ยังอนุโลมใช้เรียกเครื่องแต่งพระองค์อย่างลำลองในคราวเสด็จประพาสว่า “ทรงเครื่องต้น” อีกด้วย
โดยเส้นทางการเสด็จประพาสต้นครั้งนั้น เริ่มเดินทางจากสะพานน้ำหน้าพระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 ผ่านหัวเมืองต่าง ๆ ตามลำดับ เช่น เมืองนนทบุรี สมุทรสาคร ราชบุรี สมุทรสงคราม เพชรบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับจากบางปะอินโดยรถไฟ และถึงพระบรมมหาราชวังกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2447 รวมใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 25 วัน
ความใน “จดหมายนายทรงอานุภาพ” ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระราชหัตถเลขาถึง “พ่อประดิษฐ์” ซึ่งเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงขณะเสด็จประพาสต้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบตามลำดับ มีทั้งหมด 8 ฉบับ สรุปความได้ดังต่อไปนี้
จดหมายฉบับที่ ๑ : เล่าถึงเหตุที่จะเสด็จประพาสต้น นอกจากจะเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 การเสด็จประพาสครั้งนี้ก็เพื่อการพักผ่อนพระอิริยาบถและพักรักษาพระองค์
จดหมายฉบับที่ 2 : จุดเริ่มต้นการเสด็จประพาสต้น โดยเริ่มเล่าเรื่องจากการเสด็จจากบางปะอินล่องลงมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา เสด็จประทับวัดปรไมยิกาวาศ แล้วเสด็จประพาสสวนกระท้อนแถบแม่น้ำอ้อมเมืองนนทบุรี เวลาเย็นเสด็จประทับแรมที่หน้าวัดเขมา เช้าของอีกวันเสด็จจากวัดเขมาล่องลงมาเข้าคลองบางกอกใหญ่และคลองภาษีเจริญ ระหว่างทางขึ้นบกเดินเที่ยวเล่นที่บ้านกระทุ่นแบน ตกเย็นประทับแรมหน้าวัดหนองแขม หลังจากเสด็จจากวัดหนองแขมเข้าคลองดำเนินสะดวก หยุดกระบวนประทับแรมที่หน้าวัดโชติทายการาม พรางเสด็จเรือเล็กประพาสทุ่งที่น้ำท่วมเพื่อพบปะสมาคมกับราษฎรตามท้องที่
จดหมายฉบับที่ : ๓ เล่าเรื่องเสด็จหลังจากเสด็จจากวัดโชติทายการามไปเมืองราชบุรี ทรงรับสั่งให้เตรียมรถไฟพิเศษเพื่อเสด็จไปประพาสเมืองเพชรบุรี โดยประสงค์ว่าการประพาสเมืองเพชรบุรีครั้งนี้จะไม่มีใครทราบ เนื่องจากต้องการทอดพระเนตรบ้านเมืองในเวลาปกติ แต่ผิดคาดเมื่อมีข้าราชการบางคนทราบถึงการเสด็จครั้งนี้ หลังจากเสด็จจากเมืองเพชรบุรีก็เสด็จกลับประทับแรมที่เมืองราชบุรี ทอดพระเนตรแห่บวชนาคบุตรพระแสนท้องฟ้า
เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ได้มีการอธิบายถึงที่มาของคำว่า “ประพาสต้น” อีกด้วย การเสด็จประพาสต้นเป็นไปอย่างทุกทีที่พระองค์ทรงหยุดแวะตามที่ต่าง ๆ ระหว่างทางเพื่อเยี่ยมชมวิถีชีวิตของราษฎร ซึ่งพาหนะการเสด็จนั้นสลับสับเปลี่ยนอยู่บ้างตามวาระ จากเรือสู่รถไฟ จากรถไฟสู่เรือ โดยวัตถุประสงค์ยังคงเดิมที่ต้องการปกปิดตัวตน ซึ่งมีหลุดบ้างเนียนบ้างตามประสา
จดหมายฉบับที่ 4 : เนื้อหาภายในจดหมายยังคงเต็มไปด้วยความสนุกของการเสด็จประพาส เนื่องด้วยความไม่เป็นทางการของการเสด็จ ทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นชวนให้มีความสุข สนุกมากกว่าการเสด็จประพาสในลักษณะปกติ สำหรับเหตุการณ์ที่สำคัญในจดหมายฉบับนี้เกิดขึ้นจากคนที่ตามเสด็จต้องแบ่งหน้าที่ตามความถนัดเพื่อเตรียมการทำอาหาร ซึ่งการรวมตัวทำอาหารเลี้ยงกันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเป็นอย่างมาก
สำหรับเส้นทางการเสด็จประพาสเริ่มจากเสด็จตลาดที่เมืองราชบุรี และแวะซื้อเสบียงอาหารที่ปากคลองวัดประดู่ ระหว่างทางเสด็จทอดพระเนตรละครชาตรีบ้านตาหมอสี เวลาเย็นก็หาจุดที่จะเสด็จแวะทำครัว เสด็จตามแม่น้ำลำคลอง จบวันก็เสด็จกลับมาประทับแรมเมืองสมุทรสงคราม และเสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมืองสมุทรสงคราม
จดหมายฉบับที่ 5 : เล่าเรื่องการเสด็จประพาสไปยังเมืองเพชรบุรี โดยเริ่มเสด็จประทับเรือฉลอมไปทอดพระเนตรละมุที่ปากอ่าวแม่กลองเตรียมเสบียงอาหาร เมื่อถึงปากน้ำเมืองเพชรบุรี เสด็จเรือกลไฟไปประทับแรมที่จวนเจ้าพระยาสุรพันธ์ฯ ซึ่งการเสด็จประพาสต้นเมืองเพชรบุรีการที่จะหลีกเลี่ยงหรือพบปะราษฎรอย่างสามัญชนนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากชาวเพชรบุรีกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความผูกพันกว่าที่ไหน ๆ หลังจากได้เสด็จจากบางทะลุทางทะเลมาเข้าบ้านแหลมแล้ว พระองค์เสด็จกลับมาประทับแรมเมืองเพชรบุรี ณ พระนครคีรี และเสด็จประพาสวัดต่าง ๆ ในจังหวัดเพชรบุรี จบด้วยการเสด็จไปประทับแรมที่บ้านแหลม
จดหมายฉบับที่ 6 : การเสด็จประพาสเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากเสด็จจากบ้านแหลมโดยทางทะเลถึงเมืองสมุทรสาคร จากเมืองสมุทรสาครก็เสด็จไปประทับแรมที่งิ้วราย หลังจากนั้นก็เสด็จโดยรถไฟพิเศษเพื่อเสด็จประพาส ณ พระปฐมเจดีย์ ล่องเรือเสด็จประพาสวัดพระประโทน ออกจากพระประโทนเสด็จประทับเสวยเย็นที่บ้านพระยาเวียงไนย และเสด็จกลับมาประทับแรมที่งิ้วราย
จดหมายฉบับนี้ได้เล่าเรื่องการเสด็จประพาสหลาย ๆ แห่งโดยทางชลมารค ทั้งเสด็จประพาสคลองภาษี เสด็จประทับแรมบ้านสองพี่น้อง เสด็จประพาสคลองสองพี่น้อง เสด็จประทับแรมที่วัดบางบัวทอง จนถึงเมืองสุพรรณบุรี แล้วเสด็จทอดพระเนตรที่ว่าการเมือง วัดมหาธาตุ หลักเมือง วัดป่าเลไลย เวลาบ่ายเสด็จกลับมาประทับแรมที่บางปลาม้า จบด้วยการเสด็จจากบางปลาม้าเพื่อเสด็จประทับแรมที่บ้านผักไห่
จดหมายฉบับที่ ๗ : จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่เล่าเรื่องราวการเสด็จประพาสต้นครั้งนี้ โดยเริ่มเล่าเรื่องการเสด็จจากบ้านผักไห่ไปทางคลองบางโผงเผง โดยมีเหตุการณ์สำคัญ คือ เกิดความเข้าใจผิดในเส้นทางการเสด็จ เป็นเหตุให้เกิดความลำบากแก่การประพาสเป็นอย่างมาก หลังจากเหตุการณ์คลี่คลาย เสด็จคลองบางหลวงอ้ายเอียง แวะทำครัวที่บ้านนายช้างอำแดงพลับ เมื่อออกจากบ้านนายช้างอำแดงพลับเสด็จจนถึงบางปะอิน และเสด็จรถไฟพิเศษเพื่อกลับกรุงเทพฯ เป็นอันจบการเสด็จประพาสต้น
จดหมายฉบับที่ 8 : สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้พรรณนาถึงผลในการเสด็จประพาสต้น และยังได้กล่าวถึงการเสด็จประพาสหลังจากครั้งนี้อีกว่า จะไม่ได้สุขสำราญและเป็นกันเองเหมือนเมื่อครั้งที่เสด็จประพาสต้น (เมื่อปี พ.ศ. 2447 หรือ ร.ศ. 123) อีกแล้ว โดยอธิบายเหตุผลไว้ว่า ราษฎรรู้แล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการเสด็จอย่างสามัญชน และหลังจากนี้หากมีใครแปลกหน้าเป็นผู้ดีชาวบางกอก ก็คิดและเข้าใจว่านั่นคือพระเจ้าอยู่หัว แม้แต่เรือพระที่นั่งหากเห็นว่ามีความแตกต่างจากปกติ ไม่ได้มาจากท้องถิ่นแถวนั้น ก็คิดไปก่อนว่านั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมองว่าการเสด็จประพาสต้น การประพาสอย่างสามัญชนคนธรรมดาจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เอกสารสำหรับการค้นคว้า
1. ณัฐวรรณ พุ่มดียิ่ง.“การศึกษาแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพัฒนาประเทศ จากพระราชหัตถเลขาในการเสด็จประพาสหัวเมือง (พ.ศ. 2415 – 2452)”,ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์, ( บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2550)
2. กรมศิลปากร. (2565). จดหมายนายทรงอานุภาพ เล่าเรื่องประพาสต้น เมื่อ ร.ศ. 123. กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์.
3. วัชรญาณ. “จดหมายนายทรงอานุภาพ เล่าเรื่องประพาสต้น”, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://vajirayana.org/จดหมายนายทรงอานุภาพ-เล่าเรื่องประพาสต้น
4. หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร. จดหมายเหตุ เรื่องเสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ 5 ครั้งแรกและครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
ชื่อเรื่อง : พุทธธรรมสมาคม สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ข้อบังคับพุทธธรรมสมาคมผู้แต่ง : พุทธธรรมสมาคม สาขาจังหวัดเชียงใหม่ปีที่พิมพ์ : ๒๔๗๙สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์อุปะติพงษ์จำนวนหน้า : ๒๐ หน้าเนื้อหา : หนังสือพุทธธรรมสมาคม สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ข้อบังคับพุทธธรรมสมาคม ฉบับนี้เป็นฉบับแก้ไขใหม่เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๙ มีเนื้อหาประกอบด้วย วัตถุประสงค์ของสมาคม คาถาและเครื่องหมาย ที่ตั้งสำนักงาน สมาชิกและหน้าที่สมาชิก ผู้อุปถัมภ์ การเข้าสู่และออกจากสมาชิก ค่าบำรุง รายละเอียดเกี่ยวกับกรรมการ การเงิน การลงมติ การประชุม และการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ เลขทะเบียนหนังสือหายาก : ๘๑๖เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : E-book_๒๕๖๗_๐๐๓๓หมายเหตุ : โครงการจัดเก็บและอนุรักษ์หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และเอกสารโบราณ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗