ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,796 รายการ

ชื่อเรื่อง                        นิสัยโพธิสัตว์ (นิไสโพธิสัด)     สพ.บ.                           410/1 หมวดหมู่                       พุทธศาสนา ภาษา                           บาลี/ไทยอีสาน หัวเรื่อง                         พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย            คัมภีร์ใบลาน ลักษณะวัสดุ                   52 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58.8 ซม.  บทคัดย่อ เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี    



เลขทะเบียน: กจ.บ.2/1-7:1ก-7ก ชื่อเรื่อง: พระอภิธมฺมสงฺคิณีปกรณ พระสมนฺตมหาปฏฺฐานปริจฺเฉทข้อมูลลักษณะ: อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ประวัติ : ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533 จำนวน 1คัมภีร์ 14 ผูก จำนวนหน้า: 52 หน้า




ชื่อเรื่อง                                เทวฑูตสุตฺต (เทวฑูตสูตร) สพ.บ.                                  382/3ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           54 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                 การสวดมนต์                                           ธรรมะ บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคาต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


องค์ความรู้เรื่อง : โบราณคดีเวียงลอ Ep.4โดย : นายจตุรพร  เทียมทินกฤต  นักโบราณคดีชำนาญการ         กลุ่มโบราณคดี  สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่- ใต้กำแพงเมืองมีกระดูกมนุษย์??.     ดังที่ทราบว่า ใน ปี พ.ศ. 2547-48 สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน(ขณะนั้น) ได้ดำเนินทางโบราณคดี ขุดแต่งโบราณสถาน ขุดแต่งโบราณสถาน 14 แห่ง ขุดค้นทางโบราณคดีทั้งในและนอกกำแพงเมือง 19 จุด และขุดค้นขุดแต่งเพื่อทราบโครงสร้างการซ่อมแซม เสริมสร้างแนวกำแพง และขนาดของกำแพงเมือง จำนวน 8 จุดครอบคลุมทุกด้านของแนวกำแพงเมืองเวียงลอ ในการทำงานจะมีการขุดค้นลึกลงไปจนเลยพื้นใช้งานแรกสุดของกำแพงเมืองเพื่อให้ทราบถึงว่าไม่มีร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์อีกในพื้นที่นี้ หลุมขุดค้นอื่น ๆ ไม่มีปรากฏร่องรอยกิจกรรมมนุษย์ก่อนการสร้างกำแพงเมือง   แต่การดำเนินงานไปจนกระทั่ง หลุมที่ 5 (T.P.5) ตั้งอยู่ในบริเวณ ทางแนวกำแพงเมืองพื้นที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ แตกต่างออกไป.     เมื่อการขุดตรวจลึกกว่าพื้นระดับใช้งานสุดท้ายของกำแพงเมือง  ได้พบหลักฐานแหล่งฝังศพของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในวัฒนธรรมยุคโลหะตอนปลายจากการขุดค้นบริเวณใต้แนวกำแพงเมือง จากขุดค้น ในT.P.5 พบโครงกระดูก 3 โครง มีการฝังศพแบบนอนหงาย เหยียดยาว ต่อมาเมื่อการดำเนินงานจนแล้วเสร็จ ได้พบโครงที่ 4 พบส่วนกะโหลกศีรษะ แต่ไม่ได้ขยายออกไปเพิ่มเติมเนื่องจากปัญหางบประมาณสรุปได้พบว่า เป็นชุมชนขนาดใหญ่ วัฒนธรรมของผู้ตาย น่าจะมีความเชื่อการฝังศพหัวหน้าไปทางทิศตะวันออก นอกจากนั้นในการขุดค้นและขุดแต่งยังพบ สิ่งของเครื่องใช้ฝังร่วมกับร่างผู้ตาย และมีความแตกต่างปริมาณและความหลากหลายในโครงที่ 1และ 2 กับโครงที่ 3 อาจแสดงให้เห็นความแตกต่างทางสถานะสังคมหรือเศรษฐกิจก็เป็นได้.     โบราณวัตถุที่พบเช่น ภาชนะดินเผา  เครื่องมือหิน เครื่องมือเหล็ก เช่น มีด หอก ขวาน/สิ่ว(?) เป็นต้น แวดินเผา เครื่องประดับ เช่น กำไลสำริด  ลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยน, ลูกปัดแก้วที่รู้จักกันในชื่อ “ลูกปัดลมสินค้า  (Trade-Wind Breads)”หรือลูกปัดทวาราวดี ด้วย นิยมมากในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 9 – 10 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 16 – 17 ในการศึกษาในปีพ.ศ. 2547 – 2548  เราจึงได้ลูกปัดเป็นตัวเปรียบเทียบว่าเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้น่าจะมีอายุในช่วง 2000 – 1500 ปีมาแล้ว หรือประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 – 12 และต่อมาเราได้รับเงินงบประมาณ ในปีงบประมาณ 2560 ได้ดำเนินการ “โครงการขุดค้นทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เมืองโบราณเวียงลอ” ได้วางแผนผังในการทำงานพื้นที่ประมาณ 200 ตารางเมตรครอบคลุม บริเวณพื้นที่บริเวณใกล้เคียงพื้นที่ T.P.5 และสุ่มพื้นที่เพื่อขุดค้น ครอบคลุมพื้นที่ ได้พบหลุมฝังศพจำนวน 6 โครง โบราณวัตถุโดยรวมเหมือนปี 2547 – 2548 (หากมีโอกาสจะนำเสนอในตอนต่อ ๆ ไป) และทางคณะทำงานได้ส่งตัวอย่างไปหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ ทั้งหมด 10 ตัวอย่าง ด้วยวิธีกำหนดอายุด้วยวิธีเรืองแสงความร้อน (Thermoluminescence : TL) ที่ ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้อายุระหว่าง 600-1050 ปีมาแล้ว ประมาณ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 – 20 ดังนั้น ทางคณะทำงานจึงได้กำหนดอายุของแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์เวียงลอ โดยใช้ค่าอายุทางวิทยาศาสตร์แทนแบบเปรียบเทียบรูปแบบที่ใช้แต่ปี 2548 ตัวอย่างเหล่านี้ได้จากจุดต่างๆในการขุดค้นจากชั้นบนสุดถึงล่างสุด แสดงถึงชุมชนเวียงลอมีการอยู่อาศัยก่อนการสร้างเมืองที่มีการสร้างกำแพงเมือง – คูน้ำที่สร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 – 20 น่าจะมีชุมชนในช่วงที่พุทธศตวรรษที่ 16 – 17 และได้ในเอกสาร ตำนานเมืองพะเยาพงศาวดารโยก มีการกล่าวถึง “ขุนเจือง” ที่ประสูติปี 1642 (ประมาณ 900 ปีมาแล้ว) แสดงว่า “พันนาลอ” ก็เป็นชุมชนบริวารของเมืองพะเยามาแต่ต้นสมัยขุนจอมธรรม จากค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ของกลุ่มชนที่ได้ฝังร่างไว้ในที่นี้ร่วมสมัยกับขุนเจือง ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถมากเป็นที่ยอมรับของชนชาติใน 2 ฝั่งแม่น้ำของตอนกลาง  ลาวตอนเหนือ จรดแม่น้ำแดง ในเวียดนาม ชุมชนพันนาลอได้อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องจนถึงสมัยล้านนา วัฒนธรรมจากยุคโลหะปลาย มารับพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ 19 – 20 การปลงศพเปลี่ยนจากฝังศพ เป็นการเผา               ------------------------------------------------------    อ้างอิงเฉลิมวุฒิ  ต๊ะคำมี. ตำนานเมืองพะเยา. เชียงใหม่:นครพิงค์การพิมพ์,2554ประชากิจกรจักร,พระยา. พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ:คลังวิทยา,2516.ศิลปากร,กรม. รายงานการขุดค้น เมือง กำแพงเมือง  เวียงลอ (หลุมขุดค้นที่ 1-8). สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน:2547 (เอกสารอัดสำเนา)




สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.43/1-6  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


จาตุรงฺคสนฺนิปาต (พรจาตุคงฺคสนฺนิปาต)  ชบ.บ.87/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (ทสพร-กุมาร)  ชบ.บ.106ก/1-8  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.334/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 133  (359-369) ผูก 4 (2565)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์(8หมื่น)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


        ๒๘ กันยายน วันพระราชทานธงชาติไทย         กำเนิดธงสยาม ประวัติศาสตร์การใช้ธงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย สามารถสืบได้แต่เพียงความว่า มีการใช้ธงสำหรับเป็นเครื่องหมายของกองทัพกองละสีและใช้ธงสีแดงเป็นเครื่องสำหรับเรือกำปั่นเดินทะเลทั่วไปมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และยังไม่มีธงชาติไว้ใช้ดังที่เข้าใจในปัจจุบัน          ในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวตามความในจดหมายเหตุต่างประเทศแห่งหนึ่งว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา เรือค้าขายของฝรั่งเศสลำหนึ่งได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ของไทยไว้ว่า “ปกติคนต่างชาติที่ล่องมาทางเรือจะไปอยุธยา ต้องผ่านเจ้าพระยา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเกิดที่ป้อมวิไชยเยนทร์ หรือป้อมฝรั่ง เพราะพระยาวิชเยนทร์ เกณฑ์แรงงานฝรั่งมาสร้างไว้ ปัจจุบันคือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ตั้งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ ปกติเรือสินค้าสำคัญ เรือที่มากับราชทูตที่จะผ่านต้องมีธรรมเนียมประเพณีคือ ชักธงประเทศของเขาบนเรือ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่า มาถึงแล้ว เมื่อเรือฝรั่งเศสชักธงชาติของตัวเองขึ้น ฝ่ายสยามยิงสลุตคำนับตามธรรมเนียม ซึ่งขณะเดียวกันสยามเองต้องชักธงขึ้นด้วย เพื่อตอบกลับว่า ยินดีต้อนรับ แต่ตอนนั้นทหารประจำป้อมวิไชยเยนทร์ไม่เคยพบประเพณีแบบนี้ และสยามไม่มีธงสัญลักษณ์ที่ใช้เป็นธงชาติมาก่อน จึงคว้าผ้าที่วางอยู่แถวนั้น ซึ่งดันหยิบธงชาติฮอลันดาชักขึ้นเสาแบบส่งเดช เมื่อทหารฝรั่งเศสเห็นก็ตกใจไม่ยอมชักธงและไม่ยอมยิงสลุต จนกว่าจะเปลี่ยน เพราะการที่ได้ชักเอาธงชาติฮอลันดา (ปัจจุบันคือประเทศเนเธอร์แลนด์) ซึ่งในขณะนั้นฝรั่งเศสกับฮอลันดาเป็นศัตรูกัน) ฝ่ายไทยได้แก้ปัญหาโดยชักผ้าสีแดงขึ้นแทนธงชาติฮอลันดา ฝรั่งเศสจึงยอมยิงสลุตคำนับตอบ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ธงชาติไทย โดยทหารสยามประจำป้อมก็เปลี่ยนเป็นผ้าสีแดงที่หาได้ในตอนนั้น และต้นกำเนิดธงก็เริ่มขึ้น นับจากนั้น ธงที่ใช้ไม่ว่าจะใช้บนเรือหลวง เรือราษฎร ใช้บนป้อมประจำการก็ล้วนเป็นสีแดง”          รัชกาลที่ ๑ – ๓ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งเรือหลวงและเรือค้าขายของเอกชนยังคงใช้ธงสีแดงล้วนเป็นเครื่องหมายเรือสยาม จึงได้มีการนำสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาประดับบนธงพื้นสีแดงเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นธงสำหรับเรือหลวง ในกฎหมายธงสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวว่า “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มรูปจักรสีขาวลงในธงแดง สำหรับใช้เป็นธงของเรือหลวง” สาเหตุที่พระองค์กำหนดให้ใช้ “จักร” ลงไว้กลางธงผ้าพื้นแดงสำหรับชักในเรือกำปั่นหลวง เพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างเรือของพระมหากษัตริย์ กับเรือของราษฎรสยาม ที่ใช้ธงผ้าพื้นแดงเกลี้ยง          ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ทรงได้ช้างเผือกเอก ๓ ช้าง คือพระยาเศวตกุญชร พระยาเศวตไอยรา และพระยาเศวตคชลักษณ์ นับเป็นเกียรติยศยิ่งต่อแผ่นดิน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มรูปช้างเข้าภายในวงจักรของเรือหลวงไว้ด้วย อันมีความหมายว่า พระเจ้าแผ่นดินอันมีช้างเผือก แต่ธงช้างอยู่ในวงจักรใช้แต่เรือหลวงเท่านั้น เรือพ่อค้ายังคงใช้ธงแดงตามเดิม          รัชกาลที่ ๔ –  พุทธศักราช๒๔๕๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยมีการทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกมากขึ้น อันเป็นผลต่อเนื่องจากการทำสนธิสัญญาเบาริ่งกับสหราชอาณาจักรในพุทธศักราช ๒๓๙๘ พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า สยามจำเป็นต้องมีธงชาติใช้ตามธรรมเนียมชาติตะวันตก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธงพื้นสีแดงมีรูปช้างเผือกเปล่าอยู่ตรงกลางเป็นธงชาติสยามแต่เอารูปจักรออก เนื่องจากมีเหตุผลว่า จักรเป็นเครื่องหมายเฉพาะพระองค์พระมหากษัตริย์และธงพื้นสีแดงที่เอกชนสยามใช้ทั่วไปซ้ำกับประเทศอื่นในการติดต่อระหว่างประเทศ ธงนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ได้ทั่วไปทั้งเรือหลวงและเรือเอกชน แต่เรือหลวงนั้นทรงกำหนดให้ใช้พื้นเป็นสีน้ำเงินขาบชักขึ้นที่หัวเรือ เพื่อเป็นเครื่องหมายสำหรับแยกแยะว่าเป็นเรือหลวงด้วย ธงนี้มีชื่อว่า ธงเกตุ (ต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นธงฉานของกองทัพเรือไทยในปัจจุบัน)          ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ธงที่ใช้กับเรือหลวง ถูกปรับรูปแบบอีกครั้ง จากช้างสีขาวธรรมดา ปรับให้เป็น “ช้างทรงเครื่องยืนแท่น” หันหน้าเข้าข้างเสา เนื่องจากช้างเผือกเปรียบเป็นเครื่องแทนตัวของพระมหากษัตริย์แล้ว ดังนั้นการปรับให้ช้างทรงเครื่องยืนแท่น จึงเพื่อความสง่างามและเหมาะสมกับชั้นของพระมหากษัตริย์          ธงแดงขาว ๕ ริ้ว (พุทธศักราช ๒๔๕๙) ธงช้างเผือกเปล่าได้ใช้เป็นธงชาติสยามสืบมาจนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองอุทัยธานี ซึ่งขณะนั้นประสบเหตุอุทกภัยและทอดพระเนตรเห็นธงช้างของราษฎรซึ่งตั้งใจรอรับเสด็จไว้ถูกติดกลับหัว เนื่องจากในยุคนั้นถือว่าธงชาติหายาก ราคาแพง เพราะต้องสั่งทำจากต่างประเทศ ชาวบ้านต้องเก็บรักษา ขณะเดียวกันพระเจ้าแผ่นดินนานๆ ถึงเสด็จที ทำให้ชาวบ้านที่ชักธงสู่เสาไม่ทันระวัง ชักธงกลับหลัง ปรากฏภาพช้างหงายท้อง พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า ธงชาติต้องมีรูปแบบที่สมมาตรเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก นอกจากนี้ มีพระราชดำริว่า ธงช้างทำยากและไม่ใคร่ได้ทำแพร่หลายในประเทศ โดยธงช้างที่ขายตามท้องตลาดนั้นมักจะเป็นธงที่ผลิตจากต่างประเทศและประเทศที่ทำไม่รู้จักช้าง ดังนั้น รูปร่างของช้างที่ปรากฏจึงไม่น่าดู จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนรูปแบบธงชาติอีกครั้ง โดยเปลี่ยนเป็นธงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีแถบยาวสีแดง ๓ แถบ สลับกับแถบสีขาว ๒ แถบ ซึ่งเหมือนกับธงชาติไทยในปัจจุบัน แต่มีเพียงสีแดงสีเดียว ซึ่งธงนี้เรียกว่า ธงแดงขาว ๕ ริ้ว (ชื่อในเอกสารราชการเรียกว่า ธงค้าขาย) ทั้งนี้ สำหรับหน่วยงานราชการของรัฐบาลสยามยังคงใช้ธงช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ แต่ใช้รูปช้างเผือกแบบทรงเครื่องยืนแท่น ซึ่งแต่เดิมธงนี้เป็นธงสำหรับเรือหลวงมาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๔๐ และมีฐานะเป็นธงราชการอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๕๓         ธงไตรรงค์ (พุทธศักราช ๒๔๖๐ – ปัจจุบัน) ล่วงมาถึงพุทธศักราช ๒๔๖๐ แถบสีแดงที่ตรงกลางธงค้าขายได้เปลี่ยนเป็น สีน้ำเงินขาบ หรือสีน้ำเงินเข้มเจือม่วงดังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เหตุที่รัชกาลที่ ๖ ทรงเลือกสีนี้ สาเหตุหนึ่งมากจากการที่ทรงได้รับแรงบันดาลใจจากการที่พระองค์ทรงอ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์ ฉบับภาษาอังกฤษ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๖๐ มีผู้เขียนเรื่องธงใช้นามปากกาว่า “อะแควเรียส” มีสาระว่า “ธงห้าริ้วสวยงามดี แต่หากจะให้ดีน่าจะมีสีน้ำเงินใส่เข้าไปด้วย เพราะสีน้ำเงิน เป็นสีแสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในนานาประเทศ” อีกทั้งการที่พระองค์ได้เลือกสีนี้เพราะสีขาบเป็นสีประจำพระองค์ที่โปรดมาก เนื่องจากเป็นสีประจำวันพระราชสมภพคือวันเสาร์ ตามคติโหราศาสตร์ไทย และอีกประการหนึ่ง สีน้ำเงินยังแสดงถึงชัยชนะและความเป็นหนึ่งเดียวของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เช่น ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งใช้สีแดง ขาว น้ำเงินเป็นสีในธงชาติเป็นส่วนใหญ่ด้วย          พระองค์จึงทรงประดิษฐ์ธงชาติใหม่โดยนำสีน้ำเงินเป็นสีที่ถูกโฉลกกับพระองค์ เพราะทรงพระราชสมภพวันเสาร์ แต่ครั้นจะเติมให้เป็นสีม่วงตามสีวันพระราชสมภพ พระองค์จึงลองผสมสีม่วงเข้ากับสีน้ำเงิน และได้ออกมาเป็นมีใหม่ คือ สีขาบ ที่มีลักษณะน้ำเงินเข้มอมม่วง พระองค์จึงออกแบบธงชาติใหม่ให้เป็นแบบ ๕ ริ้วโดยมีสีขาบอยู่ตรงกลาง ขนาบด้วยสีขาว และต่อด้วยสีแดง และพระองค์ทรงพระราชทานชื่อเรียกว่า “ธงไตรรงค์” พร้อมความหมาย สีแดงหมายถึงเลือดอันยอมพลีเพื่อธำรงรักษาชาติและศาสนา สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ และ สีขาวหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งศาสนา         ธงชาติแบบใหม่นี้ได้ปรากฏต่อสายตาชาวโลกครั้งแรกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งกองทหารอาสาของไทยได้ใช้เชิญไปเป็นธงไชยเฉลิมพลประจำหน่วย         อย่างไรก็ตาม ภายหลังใช้ธงไตรรงค์ไปแล้ว ๑๐ ปี มีแนวคิดจะปรับรูปแบบของธงชาติไทยอีกครั้ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ มีเจ้านายหลายพระองค์อยากให้กลับไปใช้ธงช้างเผือก ธงจักรี เหมือนเดิม จนถึงขั้นมีการเขียนข้อความดูหมิ่นดูแคลนว่าธงไทยเหมือนฝรั่งเกินไป จะเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น          จนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๗๐ รัชกาลที่ ๗ มีพระราชดำริว่า ธงชาติไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งแล้ว ควรหาข้อกำหนดเรื่องธงชาติให้เป็นการถาวร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชบันทึก พระราชทานไปยังองคมนตรี เพื่อให้เสนอความเห็นของคนหมู่มากว่า จะคงใช้ธงไตรรงค์ดังที่ใช้อยู่เป็นธงชาติต่อไป หรือจะกลับไปใช้ธงช้างแทน หรือจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงลักษณะธงชาติ กับวิธีใช้ธงไตรรงค์อย่างไร ผลปรากฏว่าความเห็นขององคมนตรีแตกต่างกระจายกันมาก จึงมิได้กราบบังคมทูลข้อชี้ขาด ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระบรมราชวินิจฉัยลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๔๗๐ ให้คงใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติต่อไป          หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ รัฐบาลต่าง ๆ ยังคงรับรองให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติอยู่เช่นเดิม โดยมีการออกพระราชบัญญัติธงฉบับ พุทธศักราช ๒๔๗๙ เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์ และหลังจากเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทยในปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ รัฐบาลต่าง ๆ ก็ยังคงรับรองให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติอยู่เช่นเดิม และรับรองมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีการออกพระราชบัญญัติธงฉบับ พุทธศักราช ๒๕๒๒ เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์          ต่อมาวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๙ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ประชุมซึ่งนำโดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ ๒๘ กันยายน ของทุกปีเป็น วันพระราชทานธงชาติไทย โดยให้เริ่มในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นปีแรก แต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ





black ribbon.