ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

ชื่อเรื่อง : ทำเนียบพระสมณศักดิ์ สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และ พระครูสัญญาบัตรทั้งหมด จัดเป็นแต่ละจังหวัดๆ ฉบับของ กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา พุทธศักราช 2509 หัวเรื่อง : สมณศักดิ์ -- ทำเนียบนาม             สงฆ์ -- ทำเนียบนาม คำค้น : ทำเนียบพระสมณศักดิ์ รายละเอียด : คณะวัดเทพศิรินทราวาส และคณะวัดศีลขันธาราม จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในการที่รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เนื่องในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2509 ผู้แต่ง : สนติ์ แสวงบุญ แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักพิมพ์/โรงพิมพ์ : กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา ปีที่พิมพ์ : 2509 วันที่เผยแพร่ : 26มิถุนายน 2568 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ :  - รูปแบบ : PDF. ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา : ทำเนียบพระสมณศักดิ์ สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และพระครูสัญญาบัตรทั้งหมด จัดเป็นแต่ละจังหวัด พุทธศักราช 2509 รวบรวมและเรียบเรียงโดยนายสนติ์ แสวงบุญ เจ้าหน้าที่กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา ทั้งนี้ได้รวบรวมประวัติโดยย่อของพระที่ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ด้วย เลขทะเบียน : น. 68 บ. 79042 จบ. (ร.) เลขหมู่ :          ห              294.30255593                   ส187ท


เลขทะเบียน : นพ.บ.712/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ชาดทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 225 (290-302) ผูก 4 (2568)หัวเรื่อง : เทวทูตสูตร--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อแบบฉบับ : ตำนานวัดพระแก้วดอนเต้า (ผูก1) ชื่อเรื่อง : ตำนานนิทานวัดพระแก้วดอนเต้าเวียงดิน (ผูก 1) เลขทะเบียน : ชม.บ.1121/1 ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ                ผู้สร้าง : นางทิพย์                      ปีที่สร้าง : จ.ศ.1272 (พ.ศ.2453) จำนวน : 1 คัมภีร์  4 ผูก (หอสมุดแห่งชาติฯ เชียงใหม่ มีผูก 1, 1ก-1ค)          จำนวนบรรทัด : 4 บรรทัด     จำนวนหน้า : 30 หน้า อักษร : ธรรมล้านนา             ภาษา : บาลี-ไทยล้านนา               เส้น : จาร ฉบับ : ชาดทึบ-ลานดิบ          ไม้ประกับ : ไม่มี                         ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน            ประวัติ : นางทิพย์สร้าง จ.ศ.1272 (พ.ศ.2453) ได้มาจากวัดสันผักแค  ต.ม่วงคำ  อ.พาน จ.เชียงราย  เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2531 โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่  ปี พ.ศ. 2568               


เลขทะเบียน  นม.บ.19/2


        อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เชิญชวนประกวดภาพถ่ายหัวข้อ "บอกรักศรีเทพ" ร่วมถ่ายทอดความรู้สึก ความประทับใจ และความงดงามของเมืองโบราณศรีเทพ มรดกโลก ผ่านมุมมองของคุณเอง ชิงเงินรางวัลและเกียรติบัตร รวมกว่า 33,000 บาท รางวัลที่ 1 รางวัลละ 10,000 บาท รางวัลที่ 2 รางวัลละ 8,000 บาท รางวัลที่ 3 รางวัลละ 5,000 บาท และรางวัลชมเชย จำนวน 5 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท ระยะเวลาการส่งผลงาน ตั้งแต่วันนี้ - 13 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น., ประกาศผลการประกวด วันที่ 15 ตุลาคม 2568 ผ่านเพจเฟซบุ๊ก สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ และกำหนดมอบรางวัล วันที่ 24 ตุลาคม 2568 ณ โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์         อ่านรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://drive.google.com/drive/folders/1Kb9lC8eXEnVT2E_A-1MeCha4l6Q_TLvSusp=sharing&fbclid=IwY2xjawNRoT1leHRuA2FlbQIxMABicmlkETFIVjZOZVJiNmxIY2hndkRjAR7oC7n1vC5A91R9ku32StZJSSeYldxnJOm8wlONIXssHGw6kr_EN64x69zmzg_aem_T19LftANyUo_QZlo1n6r3Q สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ โทร. 094 7644460  






เมื่อเดือนสิงหาคม ๑๔๗ ปีมาแล้ว ประเทศไทยได้เป็นจุดสนใจของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกาศล่วงหน้ามา ๒ ปีแล้วว่า จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๔๑๑ โดยเส้นศูนย์ของสุริยุปราคาจะอยู่ระหว่างแลตติจูด ๑๑ องศา ๓๘ ลิปดาเหนือ กับลองติจูด ๙๙ องศา ๓๙ ลิปดาตะวันออก บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนานที่สุด จะอยู่ที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ จากเกาะจานขึ้นมาถึงปราณบุรี และลงไปถึงชุมพร ทั้งยังทรงระบุเวลาที่เงาของดวงจันทร์เริ่มเข้าบดบังดวงอาทิตย์ เวลาที่จับเต็มดวง จนเวลาที่คลายออกทั้งหมด ทรงเชิญนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติและทูตานุทูตมาร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการท้าพิสูจน์ หากไม่เป็นไปตามที่ทรงคำนวณ ก็จะเป็นการเสียพระเกียรติอย่างยิ่ง นับว่าทรงมีความเชื่อมั่นและกล้าหาญอย่างมาก                   แต่เดิม ชาวตะวันออกมักเชื่อกันว่า สุริยุปราคาเกิดจากยักษ์กำลังอมพระอาทิตย์และจะกลืนลงไป จึงพยายามทำเสียงดัง เช่นตีกลองหรือจุดประทัดเพื่อให้ยักษ์ตกใจหนีไป การคำนวณล่วงหน้าว่าจะเกิดสุริยปราคาของพระมหากษัตริย์ไทยเช่นนี้ จึงแสดงให้เห็นว่าสยามได้พลิกโฉมหน้าไปจากอดีต และก้าวเข้าสู่โลกวิทยาศาสตร์ได้อย่างล้ำหน้า ที่สำคัญ การต้อนรับแขกเมืองที่ค่ายหลวงหว้ากอครั้งนี้ ยังทำให้แขกเมืองประหลาดใจไปตามกัน ที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของราชสำนักสยาม                 ชาวต่างชาติที่ตอบรับเชิญในครั้งนี้ มีแต่ชาติที่สนใจย่านตะวันออกในยุคนั้น นายเฮนรี อาลาบาสเตอร์ รักษาการณ์กงสุลอังกฤษประจำสยาม นำเรือรบ ๓ ลำไปถึงในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ร.๔. ทรงยิงสลุตต้อนรับด้วยพระองค์เอง ๗ นัด ทำให้นายอาลาบาสเตอร์ปลื้มเป็นล้นพ้น บันทึกไว้ว่า                 “พระมหากรุณาธิคุณและความโอบอ้อมอารีที่คณะของเราได้รับพระราชทานครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนเลย และคงจะไม่มีวันได้พบเห็นอีกแล้ว”                 นอกจากนี้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ อัครมหาเสนาบดี ยังเชิญให้นายอาลาบาสเตอร์และครอบครัว เข้าพักร่วมกับครอบครัวของท่าน                 คงด้วยเหตุเหล่านี้กระมัง เมื่อนายอาลาบาสเตอร์พ้นจากราชการสถานทูตอังกฤษแล้ว จึงเข้ารับราชการไทย ยึดประเทศไทยเป็นเรือนตาย จนเป็นต้นตระกูล “เศวตศิลา”                 นอกจากกงสุลแล้ว เซอร์แฮรี ออด ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ของอังกฤษ ยังพาครอบครัวมาทางเรือ ถือโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ทำความคุ้นเคยกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการสยาม                 ส่วนฝรั่งเศส นักดาราศาสตร์ให้ความสนใจที่จะได้เห็นสุริยุปราคานานที่สุดในรอบ ๓๐๐ ปี แต่จะตั้งค่ายในเวียดนาม ต่อมาย้ายไปมะละกา เสียค่าเตรียมงานไปมาก ในที่สุดก็เห็นว่าไม่มีที่ใดเหมาะสม จึงกราบทูลขอเข้ามาร่วมด้วย ทรงสร้างค่ายให้ฝรั่งเศสใต้ค่ายหลวงลงไป ๑๘ เส้น นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสมากันเป็นขบวนใหญ่ มีกล้องมาถึง ๕๐ กล้อง นอกจากนี้ยังขนอิฐขนปูนมาสร้างที่ตั้งกล้อง ซึ่งสิ่งก่อสร้างของฝรั่งเศสนี้มีค่าอย่างมากในการหาสถานที่สร้างอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้าในปัจจุบัน เพราะค่ายหลวงที่สร้างด้วยไม้ไผ่มุงด้วยใบจากใบตาล ไม่เหลือซากทิ้งหลักฐานไว้เลย                 นอกจากนี้ยังมีคณะธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส จากสวนพฤกษศาสตร์เมืองไซ่ง่อน เดินทางบกมาสมทบ เพื่อสังเกตว่าขณะมีสุริยุปราคาเต็มดวง พืชและสัตว์จะแสดงอาการหรือมีพฤติกรรมผิดไปจากปกติอย่างไร แล้วถือโอกาสเก็บพันธุ์ไม้แปลกๆไปเป็นร้อยๆชนิด                 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯพร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอ ๔ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิง ๓ พระองค์ ซึ่งมีพระชันษาราว ๑๖ พรรษาทุกพระองค์ และเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ (ร.๕) พระชนมายุ ๑๕ พรรษา เสด็จโดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชไปทอดสมอที่หน้าหาดหว้ากอในเที่ยงวันที่ ๘ สิงหาคม โปรดฯให้คณะสำรวจฝรั่งเศส ๒๐ คน คณะนายอาลาบาสเตอร์ และคณะเซอร์แฮรี ออดพร้อมครอบครัว เข้าเฝ้าที่พลับพลา พระราชทานทองคำบางสะพานให้ทุกคนเป็นที่ระลึก                 การต้อนรับครั้งนี้ บรรดาแขกเมืองทั้งหลาย ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้พบกับความอุดมสมบูรณ์โก้หรูเช่นนี้กลางป่าของราชอาณาจักรสยาม ใช้พ่อครัวเป็นชาวฝรั่งเศส และหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟเป็นอิตาเลียน มีทั้งวิสกี้และน้ำองุ่น พร้อมน้ำแข็งซึ่งสมัยนั้นยังต้องสั่งมาจากสิงคโปร์ อีกทั้งธรรมเนียมต้อนรับก็พลิกโฉมหน้าราชสำนักสยามไปมาก ฝ่ายจดหมายเหตุของสิงคโปร์บันทึกไว้ว่า                 “...ราชสำนักได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างหมดจด เช่นการรับแขกเมืองครั้งนี้ แต่ก่อนมิได้เคยปรากฏ เป็นต้นว่าเปิดพระราชมณเฑียรที่ประทับส่วนพระองค์พระราชทานโอกาสให้แขกเมืองเข้าไปได้ และโปรดให้ฝ่ายในออกมารับแขกเมืองโดยเปิดเผย ส่วนเจ้านายที่ทรงพระเยาว์ก็ทรงยอมให้สมาคมกับชาวอังกฤษได้อย่างฉันท์มิตรสนิทสนม ซึ่งเรื่องราวของคณะทูตและจดหมายเหตุของผู้ที่มาเยือนกรุงสยามแต่ก่อน มีแต่บันทึกข้อห้ามตามธรรมเนียมของชาวสยามมากมาย นายครอฟอร์ดก็ดี เซอร์เจมส์ บรูค และเซอร์ยอน บาวริงก็ดี ได้กล่าวความเหล่านี้ไว้ ท่านเหล่านั้นได้เล่าเรื่องราวอย่างยืดยาวว่า ข้อห้ามต่างๆเช่นนั้นมีอยู่ทั่วไป จนทำความขัดข้องแก่คณะของท่านมาก แม้แต่เรื่องเหน็บกระบี่เข้าเฝ้าก็ถูกห้าม แต่ในคราวนี้ไม่มีการทำให้แขกเมืองรู้สึกอย่างนั้นเลย พระเจ้าแผ่นดินและขุนนางของพระองค์กลับสมาคมกับแขกเมืองอย่างให้อิสระเป็นผู้เสมอกัน และดูเหมือนจะมุ่งให้คล้อยตามธรรมเนียมของแขกที่มา การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชาติที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงดังนี้”                 ในที่สุดก็ถึงวันสำคัญ ในเช้าวันที่ ๑๘ สิงหาคม ตอนเช้ามืดท้องฟ้าโปร่งใส มีเพียงเมฆบางๆ ราว ๐๗.๐๐ น.ยังเห็นดวงจันทร์มีแสงเทาอ่อนๆอยู่เรี่ยขอบฟ้า พอ ๐๙.๐๐ น.อากาศเริ่มแปรปรวน เมฆดำขนาดใหญ่เข้ามาปกคลุมท้องฟ้าจนมืดมิด มีฝนตกในหมู่บ้าน ทุกคนที่เฝ้ารอต่างรู้สึกหมดหวังที่จะได้เห็นสุริยุปราคา แต่แล้วอากาศก็เปลี่ยนแปลงอีก หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว ฟ้ารอบดวงอาทิตย์ใสสว่างขึ้น ทุกคนต่างยืนจังงังเมื่อเห็นดวงจันทร์เริ่มเข้าบดบังดวงอาทิตย์ จนหมดดวงในเวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๖ นาที ๒๒ วินาที มีเพียงรังสีแลบออกมาจากขอบโดยรอบ                 ขณะนั้นบริเวณหว้ากอมืดลงเหมือนเวลาค่ำ ต้นไม้เป็นเงาดำ ดวงดาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า นกกาบินกลับรัง ไก่ขันกันระเบ็งเซ็งแซ่ เครื่องวัดอากาศบอกอุณหภูมิลดลง ๖ องศาจนรู้สึกถึงความเย็น ทุกคนในที่นั้นต่างกู่ร้องกันเอิกเกริก ในหมู่บ้านมีการตีกลองจุดประทัด ส่วนพวกฝรั่งเศสที่ขึ้นไปเฝ้าดูธรรมชาติบนเขาหลวงรายงานต่อมาว่า พอดวงจันทร์บังล้ำเข้าไปในดวงอาทิตย์ได้ ๑ ใน ๕ ฝูงลิงก็วิ่งกันอึงคะนึง และรวมกลุ่มกันเป็นฝูงเล็กๆหลายฝูง นกเหงือกที่ไม่เคยส่งเสียงเลยต่างส่งเสียงกันระงมเพราะความกลัว ไม้ที่หุบใบในเวลากลางคืนเช่นไมยราบก็พากันหุบใบ                 สุริยุปราคาจับหมดดวงนาน ๖ นาที ๔๕ วินาทีก็เริ่มคลาย มีแสงสว่างพุ่งแปลบออกมาจากดวงอาทิตย์ จนคลายทั้งดวงในเวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๗ นาที ๔๕ วินาที เกินที่ทรงคำนวณไป ๑ นาที                 เซอร์แฮรี ออดได้บันทึกไว้ว่า                 “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระสำราญมาก เพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกต้องอย่างที่สุด ถูกต้องกว่าที่ชาวยุโรปได้คำนวณไว้”                 แต่พระเกียรติคุณอันกึกก้องของพระองค์ในครั้งนี้ ก็ทรงแลกมาด้วยพระชนม์ชีพ ขณะเสด็จพระราชดำเนินกลับนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงประชวรด้วยเชื้อไข้ป่าที่ได้รับจากหว้ากอ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯก็ยังไม่ทุเลา ทรงต่อสู้กับโรคร้ายตามความเชื่อของพระองค์ จนถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๑๑ ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันประสูติ จึงเสด็จสวรรคตในวันประสูติตามแบบพระพุทธเจ้า                 ในปี ๒๕๒๕ รัฐบาลตระหนักที่จะให้อนุชนเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท จึงประกาศให้วันที่ ๑๘ สิงหาคมของทุกปีเป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ”                 เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์สยาม ใน “อุทยานราชภักดิ์” เพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณพระมหากษัตริย์ ๗ พระองค์นั้น มีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ยังไม่ได้รับการถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” เหมือนกับอีก ๖ พระองค์ แต่ก็ทรงได้รับการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณในอุทยานแห่งนี้ด้วย


ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลด่านสวี นำเด็กนักเรียนปฐมวัยเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร


กำแพงและคูเมืองเชียงใหม่ทั้ง 4 ด้าน ก่อสร้างครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1839 และได้รับการบูรณะในรัชสมัยพญาเมืองแก้ว สมัยล้านนา และในสมัยพระยากาวิละในสมัยรัตนโกสินทร์ และในปัจจุบัน ร.ศ. 2016 ในสมัยพระเมืองแก้ว โปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์และก่อกำแพงให้หนากว่าเดิม สมัยรัตนโกสินทร์ พระยากาวิละได้บูรณะอีก และได้สร้างป้อมเพิ่มขึ้นตรงมุมเมืองทั้ง 4 แห่ง ขุดคูให้ลึกลงไปอีก ซึ่งแนวกำแพงก่ออิฐและคูเมืองในเขต ต.พระสิงห์ กับ ต.ศรีภูมิ เป็นแนวกำแพงและคูเมืองที่ได้รับการบูรณะและก่อสร้างขึ้นใหม่


วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ พันเอกสมภพ ภาระเวช ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๒๓ เป็นประธานในการประชุมเพื่อเตรียมการรับเสด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีนายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา นางชุติมา จันทร์เทศ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย นายสมเดช ลีลามโนธรรม หัวหน้าอุทยานประวัติศาสาตร์พิมาย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา




  ที่ตั้ง  บ้านพลวง  ตำบลบ้านพลวง  อำเภอปราสาท  จังหวัดสุรินทร์   อายุสมัย  ศิลปะขอมแบบบาปวน  อายุราวพุทธศตวรรษที่  ๑๖   รายละเอียด                  ปราสาทบ้านพลวง  เป็นปราสาทขนาดเล็ก ๑ องค์ ก่อสร้างด้วยหินทรายสีขาวบนฐานศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างประมาณ ๘ เมตร ยาวประมาณ ๒๓ เมตร ปราสาทมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  มีประตูทางเข้าออกด้านทิศตะวันออก ส่วนอีก ๓ ด้านทำเป็นประตูหลอก ทับหลังด้านทิศตะวันออกและทิศใต้สลักเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ทับหลังด้านทิศเหนือเป็นภาพพระกฤษณะปราบนาคกาลิยะ ส่วนทับหลังด้านทิศตะวันตกไม่ได้สลักภาพ             หน้าบันด้านทิศตะวันออกสลักเป็นภาพพระกฤษณะยกเขาโควรรธนะ หน้าบันทิศเหนือสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และหน้าบันด้านทิศใต้สลักเป็นภาพบุคคลประทับนั่งเหนือหน้ากาล บริเวณรอบปราสาทมีสระน้ำล้อมรอบเว้นทางเข้าด้านหน้า             จากลักษณะของปราสาทบ้านพลวง จะคล้ายกับปรางค์น้อยบนเขาพนมรุ้ง ประกอบกับลวดลายที่พบบนหน้าบันและทับหลัง กำหนดรูปแบบทางศิลปะได้ว่าป็นศิลปะขอมแบบบาปวน  อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖                      ปัจจุบันปราสาทบ้านพลวงได้รับการบูรณะจากกรมศิลปากรแล้ว   เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา ๐๗.๐๐ -๑๘.๐๐ น.   อัตราค่าเข้าชม   ชาวไทย          ๑๐  บาท   ชาวต่างชาติ      ๕๐  บาท   การเดินทาง จากจังหวัดสุรินทร์ ถนนสุรินทร์ – ช่องจอม หมายเลข ๒๑๔ ระยะทาง ๓๓.๕ กิโลเมตร


black ribbon.