ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ


          หิน เป็นวัสดุที่คงทนและหาง่ายตามสภาพแวดล้อม ซึ่งหากพบในแหล่งโบราณคดีและไม่ได้มีรูปทรงที่บ่งบอก ว่าเป็นโบราณวัตถุ (artifact) นักโบราณคดีไทยส่วนใหญ่จะจัดให้หินเหล่านี้อยู่ใน “นิเวศวัตถุ” (geofact) โดยที่บางครั้ง ไม่ได้มีการนำมาวิเคราะห์วัตถุเหล่านี้ในเชิงลึก แต่หากนำมาวิเคราะห์ บางครั้งเราอาจเข้าใจว่า ทำไม “นิเวศวัตถุ” เหล่านี้ถูกพบเป็นกลุ่มก้อนร่วมกับโบราณวัตถุประเภทอื่น (ภาพที่ 1)           นักโบราณคดีต่างชาติจัดวัตถุดังกล่าวให้อยู่ในโบราณวัตถุที่เรียกว่า “Ground stone” ซึ่งหมายถึงวัตถุ ประเภท หิน เพื่อการผลิตสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือวัตถุเชิงพิธีกรรม ฯลฯ รูปแบบการใช้งานของ “Ground stone” ยกตัวอย่างได้ เช่น หินขัดภาชนะดินเผา (abrasion, polish) (Adams 2002: 1) หินที่นำมาทำสะเก็ดหิน (flaking) การทำหินหรือเขาสัตว์เจาะรู โดยใช้หินเป็นเครื่องมือในการเจาะ (drilling) (ภาพที่ 2) (Wright 1992: 53) และ การใช้งานยังขึ้นอยู่กับประเภทและลักษณะทางกายภาพของหินด้วย เช่น หินขนาดเล็กนำมาขัดภาชนะดินเผา เพราะ ถนัดมือ (ภาพที่ 3) แตกต่างจากหินที่ถูกนำไปใช้งานในหน้าที่การใช้งานอื่น ๆ เช่น หินกะเทาะ หินบด หินสำหรับลับเขา สัตว์หรือหัวธนู (ภาพที่ 4) หรือ แท่นหินลับขวานหินขัด (ภาพที่ 5) ที่ต้องใช้หินขนาดใหญ่ (cobble) (Wright 1992)           ดังนั้นหินที่พบในแหล่งโบราณคดีบางชิ้น อาจถูกนำมาใช้งานในแง่ของเครื่องมือการผลิตด้วยวิธีต่าง ๆ จน ทำให้เกิดโบราณวัตถุ และขณะที่มีการผลิตวัตถุ Ground stone เหล่านั้นก็สึกกร่อนไปโดยที่มนุษย์ไม่ได้ตั้งใจ เช่นกัน ดังนั้นนักโบราณคดีต่างชาติ จึงจัดให้ “Ground stone” อยู่ในโบราณวัตถุประเภทหนึ่งที่จะสามารถ อธิบายความสำคัญของแหล่งโบราณคดีนั้น ๆ ได้ ภาพที่ 1 ภาพกลุ่มโบราณวัตถุ ได้แก่ หินขัดภาชนะ หินดุ เครื่องมือหิน จากแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี ที่มา : รัชนี ทศรัตน์ และ ชาร์ลส ไฮแอม, สยามดึกดำบรรพ์, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์, 2542), 49. ภาพที่ 2 ประเภทการใช้งาน Ground stone ที่มา: https://www.persee.fr/doc/paleo_0153-9345_1992_num_18_2_4573 ภาพที่ 3 การใช้หินขัดภาชนะในประเทศอินเดียและประเทศเดนมาร์ก ที่มา : Valentine Roux. Ceramics and Society. (Nanterre: Springer. 2019), 97. ภาพที่ 4 การใช้วัตถุขัดกับหินด้วยวิธี abrading ที่มา : Jenny L. Adams, Ground Stone Analysis. In Archaeological Investigations along Tonto Creek: Artifact, Environmental, and Mortuary Analyses. 2, Lithic, Ground Stone, and Environmental Analyses, edited by J. J. Clark. Anthropological (Tucson: Center for Desert Archaeology. 2002), 23. ภาพที่ 5 สันนิษฐานการใช้งานการขัดหิน ที่มา : อาพัน กิจงาม และปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์ (2549 : 32)------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวสุวิมล เงินชัยโรจน์ นักวิชาการวัฒนธรรม กลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี กองโบราณคดี------------------------------------------------------


    รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑     สีฝุ่น บนผนังปูน     จิตรกรรมพุทธประวัติตอนนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสให้แด่พระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในภาพเขียนสีภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จากหนังสือปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงบรรยายถึงวิธีการหุงข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาว่าจะต้องเลี้ยงแม่วัวนมจำนวน ๑,๐๐๐ ตัว ไว้ในป่าชะเอม ให้แม่โคทั้งหลายได้กินเครือชะเอมเป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้น้ำนมมีรสหอมหวาน และให้แม่โคอีก ๕๐๐ ตัวดูดกินนมของแม่โค ๑,๐๐๐ ตัวที่เลี้ยงในป่าชะเอม จากนั้นจึงให้แม่โคอีก ๒๕๐ ตัว ดูดกินนมของแม่โค ๕๐๐ ตัว โดยวิธีการนี้จะทำให้จำนวนแม่โคที่ดูดกินนมจากแม่วัวอีกคอก จำนวนลดลงเรื่อยๆ จนเหลือโคเพียง ๘ ตัว น้ำนมแม่โคทั้งแปดตัวสุดท้ายนี้จะมีรสหวานหอมเป็นเลิศอย่างที่ไม่มีน้ำนมโคอื่นมาเปรียบเทียบได้ จนถึงวันเพ็ญเดือนหกน้ำนมของแม่โคจะไหลออกมาเองเมื่อได้แล้วจึงเทน้ำนมลงใส่ภาชนะใหม่ยกขึ้นตั้งบนเตาและนำน้ำนมมาหุงข้าวมธุปายาส     จิตรกรรมผนังระหว่างหน้าต่างพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ผนังนี้ วาดภาพนางสุชาดา ธิดาเศรษฐีหมู่บ้านเสนานี ใกล้ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม หุงข้าวมธุปายาส ขึ้นเพื่อเป็นอาหารไปแก้บนเพราะสมปรารถนาตั้งครรภ์บุตรคนแรกเป็นผู้ชาย นางสุชาดาเห็นพระพุทธเจ้า ขณะยังเป็นพระโพธิสัตว์ประทับใต้ต้นนิโครธ (ต้นไทร) ก็เข้าใจว่าพระองค์เป็นเทพยดาเพราะมีลักษณะงาม นางจึงนำข้าวมธุปายาสถวายพร้อมทั้งถาด พระโพธิสัตว์ได้นำข้าวมธุปายาสมาแบ่งเป็น ๔๙ ก้อน แล้วเสวยจนหมด จากนั้นจึงนำถาดไปอธิษฐานแล้วลอยไปในแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อเสี่ยงทายเรื่องที่จะสามารถตรัสรู้ได้หรือไม่ ข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาจึงนับว่าเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า





          วัดเขาสุกิมเป็นวัดปฏิบัติธรรม และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 12 ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี นายขาว หอมนาม ชาวบ้านในพื้นที่วัดเขาสุกิมได้ให้ข้อมูลว่า แต่ก่อนที่จะมีชื่อว่าวัดเขาสุกิม มีชาวบ้านบริเวณเขาสุกิมได้เห็นแสงสว่างแวววาวอยู่บนยอดเขา มีลำแสงคล้ายพญานาคระยิบระยับ ส่วนมากจะเป็นวัน 8 ค่ำ กับ 15 ค่ำ แสงนี้มักจะปรากฏให้เห็นเสมอ สมัยนั้นมีพระธุดงค์องค์หนึ่งมาปักกลดอยู่ที่บ้านเนินดินแดง เพราะเห็นว่าเนินดินแดงนั้นเป็นที่สงบ ก็สร้างที่พักสงฆ์ราวปี พ.ศ. 2500           ต่อมามีชาวบ้านผู้ใจบุญนำข้าวปลาอาหารไปถวายพระธุดงค์ที่พักอยู่ที่พักสงฆ์เนินดินแดง และเล่าสิ่งประหลาดที่เกิดบนยอดเขาสุกิมให้พระธุดงค์องค์นั้นฟัง จากนั้นมาอีกไม่นานนักพระธุดงค์องค์นั้นก็ได้เดินสำรวจที่บริเวณเขาสุกิม ก็ทราบว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกาช่วยกันสร้างเป็นที่พักสงฆ์อีกแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยนายขาว นายมา นายสง่า และมีอีกมากที่มาช่วยสร้าง อยู่มาไม่นานนักพระธุดงค์องค์นั้น ก็ได้ย้ายจากที่พักสงฆ์เนินดินแดงมาพักอยู่ที่พักสงฆ์ที่สร้างใหม่ คือ บริเวณเขาสุกิม          ตามคำบอกเล่าของผู้รู้เล่าให้ฟังว่า พระธุดงค์องค์นั้นรู้ด้วยญาณว่า บริเวณเขาสุกิมนั้นมีของมีค่ามหาศาล มีทอง เพชร นิล จินดา เจ้าป่าเจ้าเขาจึงบันดาลให้เห็นลำแสงเป็นตัวพญานาค เพื่อปกป้องมิให้ผู้ใดเข้าไปทำลาย หรือไปฉิบฉวยสมบัติของตัวเอง และยังกล่าวไว้อีกว่าผู้ที่มีบุญหรือมีญาณแก่กล้าเท่านั้น จึงจะเห็นลำแสงที่ปรากฏเป็นตัวพญานาค           จากบัดนั้นมาที่พักสงฆ์เขาสุกิมแห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็น “วัดเขาสุกิม” พระธุดงค์นั้นก็คือ ท่านพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย ที่ได้สร้างสำนักสงฆ์เป็นวัดตราบเท่าทุกวันนี้           การสร้างวัดจากข้อมูลของวัดเขาสุกิมได้ระบุว่าเริ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2509 พันโทสนิท พร้อมด้วยคุณนายประนอม บูรณะคุณ และคุณรัตนา เอกครพานิช ได้มีจิตศรัทธาบริจาคที่ดิน จำนวน 6 ไร่ 50 ตารางวา ถวายเพื่อสร้างวัด ต่อจากนั้น ประชาชนชาวบ้านได้เข้ามาสนับสนุน ส่งเสริมด้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เป็นต้นว่า ได้ช่วยกันบริจาคทุนทรัพย์ในการสร้างกุฎิกรรมฐานขนาดเล็กขึ้นจำนวนหลายหลัง เพื่อทดแทนกุฏิชั่วคราวที่ได้จัดสร้างไว้ในครั้งแรกที่ได้ ชำรุดทรุดโทรมลงไปและได้ทำการปลูกสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ อีกหลายอย่างเพื่อถวายแก่พระภิกษุ สามเณรและผู้ปฏิบัติธรรม ในระยะเวลาต่อมา กุฏิกรรมฐานขนาดเล็กก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นกุฏิกรรมฐานขนาดถาวรขนาด สองชั้นมีทางเดินจงกรมยาว 25 ก้าว ทั้งชั้นล่างและชั้นบน          ตลอดระยะเวลาที่ท่านพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย ได้ก้าวขึ้นมาบนเขาสุกิมแห่งนี้ นับเป็นระยะเวลาถึง 30 ปีเศษ ( 2507-2543 ) ที่ท่านเป็นผู้บุกเบิก ริเริ่มและสร้างสรรค์ภูเขาซึ่งเป็นป่าดงดิบ ให้เป็นวัดที่ร่มริ่น เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสาม เณรและผู้ที่สนใจปฏิบัติกรรมฐาน เป็นสถานที่ทัศนาการของประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ           วัดเขาสุกิมได้พัฒนาขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ได้แก่ ศาสนสถาน ศาสนสมบัติ ศาสนวัตถุ เช่น เสนาสนะ กุฎิ อาคาร สิ่งของต่างๆ และวัตถุโบราณต่างๆ ที่มีอยู่ในวัดเขาสุกิมทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นด้วยบุญญาบารมีของ ท่าน พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย ทั้งสิ้น กล่าวคือทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยพลังศรัทธาของประชาชนที่มีความเคารพนับถือเลื่อมใส พิจารณาแล้วจึงได้เสียสละทุนทรัพย์จัดสร้างและบริจาคสิ่งของสนับสนุนเป็นประจำวันมิได้ขาด ทุกสิ่งทุกอย่างเกิด ขึ้น จากผู้ที่มีศรัทธานำมาถวายทั้งสิ้น           ปัจจุบันวัดเขาสุกิมมีเนื้อที่ในการขออนุญาตสร้างวัด จำนวน 6 ไร่ 50 ตารางวา มีเนื้อที่เป็นของวัด 3,344 ไร่ ต่อมา ได้ยกที่ให้ โรงเรียนมัธยมวัดเขาสุกิม 50 ไร่ และโรงพยาบาลวัดเขาสุกิม 14 ไร่ จึงเหลือเนื้อที่ของวัด 3,280 ไร่ ท่านพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย ได้เริ่มบุกเบิก จนเป็นที่รู้จักของผู้ปฏิบัติธรรมและสาธุชนทั่วไปเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่มีความสำคัญอีก แห่งหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี           วัดเขาสุกิมตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน มีเจ้าอาวาสมาแล้ว 3 รูป ลำดับได้ดังนี้ 1. พระอธิการคำพันธ์ สิริปญฺโญ เป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508-2517 2. พระอธิการคำพันธ์ คมฺภีรญาโณ เป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517-2526 3. พระญาณวิลาส (บุญ สิริปญฺโญ) เป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526- ปัจจุบัน------------------------------------------------------------ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี------------------------------------------------------------อ้างอิง : นิภา เจียมโฆษิต. ประเพณีท้องถิ่นของจังหวัดจันทบุรี. จันทบุรี : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี. 2538. ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนและภาพประกอบ จากเว็บไซต์วัดเขาสุกิม http://www.khaosukim.org/khaosukim/index.php/aboutwat ขอขอบคุณภาพประกอบ จากเว็บไซต์ sanook เรื่อง “วัดเขาสุกิม" สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เมืองจันทบุรีhttps://www.sanook.com/travel/1395185/


          พระพุทธรูปยืนตริภังค์ปางแสดงธรรม พบจากเจดีย์หมายเลข ๓ เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง           พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม อุษณีษะเป็นกะเปาะสูง เม็ดพระศกใหญ่ พระพักตร์รูปไข่ พระขนงต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรโปน เหลือบลงต่ำ พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์หนา อมยิ้มเล็กน้อย พระกรรณยาวเซาะเป็นร่อง พระศอเป็นปล้อง ครองจีวรเรียบ จีวรบางแนบพระวรกาย เห็นขอบสบงบริเวณบั้นพระองค์ พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระแสดงวิตรรกมุทรา (ปางแสดงธรรม) พระหัตถ์ซ้ายหักหายไปสันนิษฐานว่าอาจยึดชายจีวรในระดับบั้นพระองค์ ยืนตริภังค์ (ยืนเอียงสะโพก) ทั้งนี้การยืนตริภังค์ของพระพุทธรูป แสดงถึงอิทธิพลจากศิลปะอินเดียแบบคุปตะ แต่ลักษณะพระพักตร์เป็นแบบทวารวดีแล้ว จึงกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว)           พระพุทธรูปยืนตริภังค์ พบจำนวนไม่มากนักในสมัยทวารวดี โดยพบในกลุ่มพระพุทธรูปแสดงวรมุทรา (ปางประทานพร) สลักด้วยหินขนาดใหญ่ กลุ่มพระพุทธรูปสำริด และพระพิมพ์อีกจำนวนหนึ่ง พระพุทธรูปยืนตริภังค์ ศิลปะทวารวดี มักจะครองจีวรห่มเฉียง และแสดงวิตรรกมุราด้วยพระหัตถ์ขวา ส่วนพระหัตถ์ซ้ายยึดชายจีวรในระดับบั้นพระองค์หรือปล่อยลงข้างพระวรกาย เป็นลักษณะการแสดงพระหัตถ์ที่ไม่สมมาตร ต่างจากกลุ่มพระพุทธรูปยืนสมภังค์ (ยืนตรง) มักจะครองจีวรห่มคลุม แสดงวิตรรกมุทราสองพระหัตถ์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่นิยมในพระพุทธรูปที่สร้างในสมัยทวารวดี ซึ่งพบเป็นจำนวนมากกว่าพระพุทธรูปยืนตริภังค์ (ยืนเอียงสะโพก)           นอกจากพระพุทธรูปยืนตริภังค์องค์นี้แล้ว ที่เมืองโบราณอู่ทองยังพบพระพุทธรูปยืนตริภังค์อีกจำนวนหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธรูปสำริดยืนตริภังค์ จากเจดีย์หมายเลข ๒ และ ๑๓ รวมทั้งยังพบพระพิมพ์ดินเผาภาพพระพุทธรูปยืนตริภังค์จากเจดีย์หมายเลข ๒ และ ๓ อีกด้วย---------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง---------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. พระพุทธรูปและพระพิมพ์ทวารวดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๒. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.




แผ่นดินเผารูปเทวดาเหาะ จำนวน ๒ แผ่น พบจากเจดีย์หมายเลข ๓ เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี           แผ่นดินเผาขนาดใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แผ่นที่ ๑ มีสภาพเกือบสมบูรณ์ กว้างประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ยาว ๓๖ เซนติเมตร แผ่นที่ ๒ ชำรุดหักหายไปส่วนหนึ่ง กว้างประมาณ ๑๙ เซนติเมตร ยาว ๓๒ เซนติเมตร หากมีสภาพสมบูรณ์น่าจะมีรูปแบบเช่นเดียวกับแผ่นดินเผาแผ่นที่ ๑ แผ่นดินเผาทั้งสองแผ่นมีการตกแต่งผิวหน้าด้วยภาพนูนต่ำรูปบุคคลเหาะ สันนิษฐานว่าผลิตขึ้นโดยใช้เทคนิคการขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์แล้วนำไปเผา เพื่อให้ได้ประติมากรรมรูปแบบเดียวกันจำนวนหลายชิ้น มีร่องรอยแกลบข้าวในเนื้อดิน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของอิฐ หรือประติมากรรมดินเผาที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว)          รูปบุคคลในท่าเหาะ ซึ่งน่าจะหมายถึงเทวดาเหาะนี้ ยกเข่าซ้ายตั้งขึ้น งอเข่าขวาเหยียดไปทางด้านหลัง มือซ้ายยกขึ้นระดับอกถือวัตถุซึ่งน่าจะเป็นดอกไม้ ส่วนมือขวาปล่อยไปทางด้านหลัง สวมเครื่องประดับศีรษะ ตุ้มหูแบบห่วงกลมขนาดใหญ่ และสร้อยคอ นุ่งผ้าสั้นเหนือเข่า คาดผ้าผูกเอวโดยผูกเป็นปมที่ด้านขวาและปล่อยชายผ้าปลิวไปทางด้านหลังแสดงถึงการเคลื่อนไหว ลักษณะของเทวดาเหาะนี้คล้ายคลึงกับรูปเทวดาเหาะที่พบในภาพสลักเล่าเรื่อง และบนประภามณฑลของพระพุทธรูป ซึ่งปรากฏในศิลปะอินเดียหลายสมัย ทั้งนี้ช่างพื้นเมืองทวารวดีน่าจะรับอิทธิพลทางด้านรูปแบบมาปรับเปลี่ยนจนมีเอกลักษณ์เฉพาะของตน           แผ่นดินเผานี้น่าจะใช้เพื่อประดับส่วนฐานของเจดีย์ ในลักษณะเดียวกับประติมากรรมรูปคนแคระแบกที่พบทั่วไปตามเมืองโบราณสมัยทวารวดี หรืออาจประกอบอยู่กับภาพเล่าเรื่องประดับเจดีย์ก็เป็นได้ นอกจากที่เมืองโบราณอู่ทองแล้วยังพบประติมากรรมรูปบุคคลเหาะในลักษณะคล้ายกัน เป็นประติมากรรมปูนปั้นประดับศาสนสถานที่เขาคลังใน เมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ อีกด้วย---------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ---------------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. วิภาดา อ่อนวิมล. “อิฐมีลวดลายในสมัยทวารวดี”. เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖. สฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง. รายงานการวิจัยเรื่องพัฒนาการของเมืองอู่ทองจากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ : คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๙.


ชื่อเรื่อง                                อุณฺหิสวิชย (อุณหิสวิไชย) สพ.บ.                                  241/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           10 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 56 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                สตฺตปฺปกรณาภธมฺม (สังคิณี-ยมก) สพ.บ.                                  375/3ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           92 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                 ธรรมเทศนา บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี



สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.38/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.315/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า ; 4.5 x 52 ซ.ม. : ชาดทึบ-ทองทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 129  (321-328) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


     สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ ๖๐ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเปี่ยม เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๐๕ โดยได้รับพระราชทานพระราชหัตถเลขาตั้งพระนามจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๐๕ ซึ่งเป็นวันทรงประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนว่า "พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา" พระราชหัตถเลขามีดังนี้      "ศุภมัสดุ สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยามผู้บิดา ขอตั้งนามกรแก่บุตรี ที่ประสูติแต่เปี่ยมผู้มารดา ในวันพุธ เดือน ๑๐ แรม ๒ ค่ำ ปีจอจัตวาศก ศักราช ๑๒๒๔ นั้นว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา วัคมูลคู่ธาตุเป็นอาทิอักษร วัคอายุเป็นอันตอักษร ขอให้จงเจริญพระชนมายุพรรณ สุข พล ปฏิภาณ ศุภสารสมบัติ ศรีสวัสดิพิพัฒนมงคล พิบูลพูนผลทุกประการเทอญ"      สำหรับพระพรที่ทรงผูกเป็นภาษามคธกำกับลายพระราชหัตถเลขาตั้งพระนามว่า "สฺวางฺควฑฺฒนา" สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสได้ทรงพระนิพนธ์แปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า      "เราได้ตั้งนามของบุตรีในราชสกุลนี้ว่า "สว่างวัฒนา" ดังนี้ ขอบุตรีนั้นจงเป็นผู้มีสุข เลี้ยงง่าย ไม่มีโรค ไม่มีอุปัทวันตราย มั่งคั่งสมบูรณ์ มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก ดำรงอิศริยยศตั้งอยู่ในพระบรมราชวงศ์ที่ประเสริฐสูงสุดของพระบิดายั่งยืนกาลนานเทอญ"      พระองค์มีพระเชษฐาและพระขนิษฐาร่วมพระมารดาทั้งสิ้น ๖ พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี และพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ ๖ พรรษา พระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นรัชกาลที่ ๕ ในราชวงศ์จักรี พระฐานันดรศักดิ์ของพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา จึงเปลี่ยนเป็น พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา      พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา เมื่อทรงเจริญพระชันษา ได้เป็นพระภรรยาเจ้าในรัชกาลที่ ๕ ขณะที่มีพระชนม์ ๑๖ พรรษา โดยมีพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๔ ที่รับราชการเป็นพระภรรยาเจ้าในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับพระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าทักษิณชา นราธิราชบุตรี พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี และพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี      สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม ๑๐ พระองค์ เป็นพระราชโอรส ๔ พระองค์ เป็นพระราชธิดา ๔ พระองค์ ตกเสียก่อนเป็นพระองค์ ๒ ดังต่อไปนี้           สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร,           สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์,            สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา อดุลยาดิเรกรัตน ขัตติยราชกุมารี,           สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์,           สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร,            สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี           และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก      นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรับอภิบาลพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กำพร้าพระมารดาอีก ๔ พระองค์ คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพร้อม      ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี โดยข้าราชสำนักในสมัยนั้นออกพระนามว่า สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าฯ      ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำริว่าทรงนับถือสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าดังเช่นสมเด็จพระบรมราชชนนี สมควรเฉลิมพระเกียรติยศให้ใหญ่ยิ่ง เพื่อเป็นที่ทรงปฏิบัติบูชาต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระพันวัสสา" มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า ข้าราชสำนักจึงออกพระนามกันทั่วไปว่า สมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า สืบต่อมา      เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระราชนัดดา เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเฉลิมพระนามสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี ขึ้นเป็น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตามพระราชสัมพันธ์ที่สมเด็จฯ ทรงมีกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ คือเป็นพระอัยยิกา (ย่า) และทรงดำรงพระอิสริยยศนี้จนตลอดพระชนมายุ      ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓      สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๔๙๘ สิริพระชนมายุได้ ๙๓ พรรษา    ภาพจากซ้ายไปขวา : สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี, สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศฯ


black ribbon.