ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ


           คำว่า "พระธาตุ" ในที่นี้หมายถึง "พระธาตุเจดีย์" เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ในภาคใต้ของไทยพบหลักฐานการสร้างพระธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุหลายองค์ โดยเรียกว่า "พระธาตุ" "พระธาตุเจดีย์" "พระบรมธาตุ" หรือ "พระมหาธาตุ" สำหรับพระธาตุ ๔ องค์ ที่จะกล่าวถึงนี้ ถือเป็นโบราณสถานสำคัญของภาคใต้ เป็นหลักฐานสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยโบราณ และยังเป็นศาสนสถานที่มีบทบาทสำคัญต่อผู้คนในภาคใต้มาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน "พระบรมธาตุสวี"            พระบรมธาตุสวี วัดพระธาตุสวี ตำบลสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร มีตำนานเล่าว่าครั้งหนึ่ง พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เสด็จยกทัพมาถึงเขตอำเภอสวี ได้พบเหตุการณ์ประหลาด มีกาฝูงหนึ่งบินมาจับอยู่บนกองอิฐพากันส่งเสียงร้องและกระพือปีกอื้ออึง เมื่อรื้อกองอิฐออกก็พบฐานเจดีย์และพระบรมสารีริกธาตุ จึงโปรดให้ปฏิสังขรณ์พระเจดีย์และสมโภช ๗ วัน ๗ คืน แล้วขนานนามพระเจดีย์องค์นี้ว่า “พระธาตุกาวีปีก” (วีปีก เป็นภาษาปักษ์ใต้ หมายถึง กระพือปีก) ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนสั้นลงว่า พระธาตุสวี           นอกจากนั้น ตำนานยังเล่าอีกว่า ก่อนที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจะเสด็จยกทัพกลับ ทรงเรียกหานายทหารที่สมัครใจจะอยู่ดูแลรักษาองค์พระธาตุ เผอิญมีทหารนายหนึ่งชื่อ “นายเมือง” รับอาสา พระองค์จึงรับสั่งให้ตัดศีรษะนายเมืองเพื่อเซ่นสรวงเป็นดวงวิญญาณรักษาพระธาตุสืบไป โดยตั้งศาลไว้เรียกว่า “ศาลพระเสื้อเมือง” สำหรับวัดสวี มีประวัติว่าตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ต่อมาในสมัยต้นรัชกาลที่ ๖ ยอดพระธาตุได้หักพังลง จึงมีการบูรณะครั้งใหญ่ และมีการทำนุบำรุงรักษาสืบมา           องค์พระธาตุเจดีย์ ได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบจากพระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช จึงสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง เป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ ๘.๕๐ เมตร องค์เจดีย์สูง ๑๔.๒๕ เมตร มีซุ้มช้างและยักษ์ยืน มีบันไดทางขึ้นทางทิศตะวันออก ชั้นบนทำเป็นซุ้มพระล้อมรอบ ต่อด้วยเจดีย์ทรงระฆังประดับกระเบื้องโมเสกสีทอง และมีเจดีย์ขนาดเล็กประจำมุมทั้งสี่ นอกจากนี้ ภายในบริเวณวัดพระธาตุสวียังมีสิ่งสำคัญอื่น ๆ เช่น ศาลพระเสื้อเมือง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระบรมธาตุสวี "พระบรมธาตุไชยา"          พระบรมธาตุไชยา วัดพระบรมธาตุไชยา ราชวรวิหาร ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร) พระบรมธาตุไชยา เป็นโบราณสถานสำคัญของภาคใต้ ตั้งอยู่ในเมืองโบราณไชยา สร้างขึ้นในเนื่องในศาสนาพุทธนิกายมหายาน           องค์พระบรมธาตุ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอด ศิลปะศรีวิชัย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐไม่สอปูน เรือนธาตุมีผังเป็นรูปกากบาท มีมุขทั้ง ๔ ด้าน ความสูงจากฐานถึงยอดประมาณ ๒๔ เมตร พระบรมธาตุเจดีย์ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้ง จึงมีลวดลายเครื่องประดับเป็นลวดลายเก่าใหม่ผสมกัน โดยเฉพาะการซ่อมครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีการซ่อมแปลงซุ้มหน้าบันด้วยลายปูนปั้น และมีการเพิ่มลวดลายใหม่ ๆ เช่น รูปช้างสามเศียร นกยูง และรูปสิงห์ มีการศึกษาพบว่ารูปแบบแผนผังของพระบรมธาตุไชยาคล้ายคลึงกับเจดีย์หรือจันทิในศิลปะชวาภาคกลาง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ ซึ่งมีลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมแบบอินเดียใต้ และยังส่งอิทธิพลไปยังงานศิลปกรรมในระยะต่อมา เช่น เจดีย์วัดเขาพระอานนท์ อำเภอพุนพิน เจดีย์วัดถ้ำสิงขร อำเภอคีรีรัฐนิคม และเจดีย์บนเขาสายสมอ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี           นอกเหนือจากองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ภายในบริเวณวัดพระบรมธาตุไชยาฯ ยังมีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญอื่น ๆ เช่น พระพุทธรูปหินทรายสีแดงขนาดใหญ่ ๓ องค์ ศิลปะสมัยอยุธยา สกุลช่างไชยา (ชาวบ้านเรียกว่า “พระสามพี่น้อง”) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๘ กร สำริด ศิลปะศรีวิชัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๒ กร สำริด ศิลปะศรีวิชัย ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นประติมากรรมพระโพธิสัตว์ที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งในภาคใต้ "พระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช". //พระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นศาสนสถานที่สำคัญของภาคใต้ มีตำนานระบุว่าสร้างขึ้นโดยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วัดพระมหาธาตุ เดิมเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงสถาปนาวัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก พระราชทานนามว่า “วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร”. //พระมหาธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ มีฐานประทักษิณสูง มีซุ้มช้างล้อม ๒๒ ซุ้ม สลับด้วยซุ้มพระพุทธรูปยืน ๒๕ องค์ พื้นที่ส่วนนี้มีระเบียงล้อมรอบเรียกว่า “วิหารทับเกษตร” ถัดขึ้นไปเป็นเจดีย์ทรงระฆังหรือทรงโอคว่ำ บัลลังก์ ก้านฉัตรซึ่งประดับรูปพระสงฆ์ประทักษิณจำนวน ๘ รูป เรียกว่า “พระเวียน” ถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉน และปลียอดซึ่งหุ้มด้วยทองคำแท้ . ผลการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลปะขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นครั้งแรกในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบมาจากเจดีย์ในลังกา และมีการซ่อมแซมองค์พระบรมธาตุเจดีย์ครั้งสำคัญในสมัยอยุธยา นอกจากนี้ พระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ยังส่งอิทธิพลด้านรูปแบบไปยังพระธาตุเจดีย์ในภาคใต้อีกหลายองค์ เช่น พระมหาธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว จังหวัดพัทลุง พระธาตุเจดีย์วัดพะโคะ จังหวัดสงขลา และพระบรมธาตุสวี จังหวัดชุมพร . //ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ กรมศิลปากรดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณส่วนฐานของพระมหาธาตุเจดีย์มีอิฐก่อเรียงเป็นระเบียบลึกลงไปเกือบ ๓ เมตร ผลการกำหนดอายุด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ได้ค่าอายุ ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว . //นอกจากพระมหาธาตุเจดีย์แล้ว ภายในบริเวณวัดยังมีศาสนสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง เช่น วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน วิหารโพธิ์ลังกา วิหารโพธิ์พระเดิม วิหารธรรมศาลา ระเบียงคต พระวิหารหลวง (หรือพระอุโบสถ) มณฑปพระพุทธบาท และเจดีย์รายนับร้อยองค์ "พระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว"           พระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว วัดเขียนบางแก้ว ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว" ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เป็นวัดโบราณ จากหลักฐานเอกสารตำนานพื้นเมืองระบุว่า เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๑๔๙๒ และได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากเกาะลังกามาบรรจุไว้ในพระมหาธาตุเจดีย์ แต่บางตำนานกล่าวว่า เจ้าพระยากรุงทองเจ้าเมืองสทิงพระพาราณสีเป็นผู้สร้างพระมหาธาตุเจดีย์ จึงเข้าใจว่าน่าจะสร้างวัดขึ้นพร้อมกันในคราวนั้น เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ วัดเขียนบางแก้วกลายเป็นวัดร้าง กระทั่งมีการบูรณะขึ้นใหม่ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่มาตราบจนปัจจุบัน           พระบรมธาตุเจดีย์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐ ฐานแปดเหลี่ยม วัดโดยรอบยาว ๑๖.๕๐ เมตร สูง ๒๒ เมตร โดยได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบมาจากพระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช รอบพระมหาธาตุบริเวณฐานมีซุ้มพระพุทธรูปโค้งมน ๓ ซุ้ม แต่ละซุ้มกว้าง ๑.๒๘ เมตร สูง ๑.๖๓ เมตร ภายในซุ้มมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ รอบพระเศียรมีประภารัศมีรูปโค้ง ขนาดหน้าตักกว้าง ๐.๙๔ เมตร สูง ๑.๒๕ เมตร ระหว่างซุ้มพระมีเศียรช้างปูนปั้น เหนือพระเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม อิทธิพลศิลปะจีน ด้านตะวันออกมีบันไดสู่ฐานทักษิณ เหนือบันไดทำเป็นซุ้มยอดอย่างจีน มุมบันไดทั้งสองข้างมีซุ้มลักษณะโค้งแหลม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นนูนสูง ปางสมาธิ ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ฐานทักษิณและฐานรองรับองค์ระฆังเป็นรูปแปดเหลี่ยม มีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้ แต่เดิมเป็นรูปมารแบก เหนือฐานทักษิณมีเจดีย์ทิศตั้งอยู่ทั้งสี่มุม องค์ระฆังเป็นแบบโอคว่ำ           จากรูปแบบสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุ สันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา นอกจากนั้น ภายในบริเวณวัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้วยังมีศาสนสถานสำคัญอื่น ๆ เช่น อุโบสถ โบสถ์พราหมณ์ (โคกแขกชี) วิหารถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา (โคกวิหาร) พระแก้วคุลาศรีมหาโพธิ์ (โคกพระคุลา) พระพุทธรูปสองพี่น้อง โคกเมือง และพิพิธภัณฑ์สังฆรักษ์ (เพิ่ม) ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช https://www.facebook.com/327219807877607/posts/620366825229569/?d=n



เมื่อพระพุทธศาสนายังมิได้ปรากฏขึ้นในโลกนี้ ลัทธิศาสนาในโลกนี้มีหลายอย่างต่างๆ เพศตามคตินิยมของหมู่มนุษย์ที่อาศัยความเป็นอยู่ด้วยกรรมอันใด หรือสิ่งหรือบุคคลใด ก็ย่อมยึดถืออันนั้นเป็นสรณะว่าเป็นที่พึ่งของตน


สาระสังเขป  :  ประวัติของพลตรีลม้าย อุทยานนท์ ด้านการศึกษา การอุปสมบท การสมรส ตำแหน่งราชการ และเรื่องนิราศยุโรป และออสเตรเลียผู้แต่ง  :  จวบ หงสกุล, พลเรือตรีโรงพิมพ์  :  อรุณการพิมพ์ปีที่พิมพ์  :  2509 ภาษา  :  ไทยรูปแบบ  :  PDFเลขทะเบียน  :  น.32บ.1915จบเลขหมู่  :  895.9112              จ189นล


เลขทะเบียน : นพ.บ.13/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  30 หน้า  ; 4.5 x 58 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีป้ายชื่อไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 9 (100-104) ผูก 5หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


องค์ความรู้ เรื่อง "สถาปัตยกรรมสมัยทวารวดี ตอนที่ ๔ โบราณสถานในเมืองโบราณอู่ทอง : เจดีย์หมายเลข ๒ และ ๓" จัดทำโดย : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ที่มาของข้อมูล : https://www.facebook.com/153378118193282/posts/1288648284666254/?d=n


ชื่อผู้แต่ง        สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ            ชื่อเรื่อง         พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒        ครั้งที่พิมพ์     พิมพ์ครั้งที่ 6     สถานที่พิมพ์   พระนคร        สำนักพิมพ์     ห.ส.น.บุญส่งการพิมพ์  ปีที่พิมพ์        2511  จำนวน           356    หน้า    หมายเหตุ      พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลเรือเอก หลวงอาจณรงค์(อิง ช่วงสุวนิช)           สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเขียนถึงประวัติความเป็นมาในการพิมพ์ครั้งแรกเดิมพระองค์ทรงตรวจชำระพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ร.1 แล้วเสร็จแล้วตรวจชำระ ร.2 ต่อ ซึ่งเป็นฉบับของเจ้าพระยาทิพากรณ์วงศ์ฯนิพนธ์ และทรงเห็นว่าเนื้อหามีน้อย จึงได้ค้นคว้าศึกษาจากหนังสือจดหมายเหตุ ร.2 ทั้งของไทย และต่างประเทศรวมทั้งหนังสือจกหมายเหตุอื่นๆทั้งในกรุงเทพและตามหัวเมืองและพบพบเรื่องที่เกี่ยวข้องในสมัย ร.2 หลายเรื่องที่ไม่มีในฉบับเดิมพระองค์จึงทรงเรียบเรียงใหม่ซึ่งใช้รูปแบบการเขียนที่ไม่เหมือนฉบับ ร.1 และจัดพิมพ์ครั้งแรกในงานศพหม่อมราชวงศ์หญิง แป้ว มาลากุล ณ กรุงเทพ เมื่อ พ.ศ. 2457


ชื่อผู้แต่ง           ธนิต  อยู่โพธิ์ ชื่อเรื่อง            ประวัติและโคลงกำสรวลศรีปราชญ์ ครั้งที่พิมพ์        ๓ พ.ศ. ๒๕๑๑ สถานที่พิมพ์      กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์มงคลการพิมพ์ ปีที่พิมพ์            พ.ศ. ๒๕๑๐              จำนวนหน้า          ๑๓๖ หน้า คำค้น               ศรีปราชญ์ หมายเหตุ  -                 หนังสือ โคลงกำศรวลศรีปราชญ์ เชื่อและกล่าวกันว่า ศรีปราชญ์ เป็นผู้แต่ง จึงเรียกว่า โคลงกำศรวลศรีปราชญ์ และกล่าวกันว่าศรีปราชญ์แต่งขึ้นเนื่องในคราวถูกเนรเทศให้ไปอยู่เมืองนครศรีธรรมราช



พิธีเปิดโครงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ปีงบประมาณ ๒๕๕๙โดยมีนายศักดิ์สิทธิ์ สกุลลิขเรศสีมานายอำเภอพิมาย เป็นประธานในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๘ณ อุทยานประวัติศาสตร์พิมายอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา


ผู้แต่ง :  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว   ฉบับพิมพ์  :  พิมพ์ครั้งที่1   สถานที่พิมพ์  :  โรงพิมพ์ครุสภา   ปีที่พิมพ์  :  2506   หมายเหตุ  :   -   จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. ๑๒๘                จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้  ฉบับที่ 1  เมืองชุมพร ฉบับที่ 2  ท่าไม้ แขวงเมืองชุมพร  ฉบับที่ 3  พระที่่นั่งรัตนรังสรรค์ ระนอง  ฉบับที่ 4 เรือถลาง หน้าเกาะคอยาว ( เมืองตะกั่วป่า ) ฉบับที่ 5  ที่ประทับตำบลสามกอง เมืองภูเก็ต  ฉบับที่ 6  เรือถลาง เดินทางไปพังงา  ฉบับที่ 7 เรือถลางจอดหน้าเกาะอ่าวนาง แขวงเมืองกระบี่ ฉบับที่ 8  ตำหนักจันทน์ เมืองตรัง  ฉบับที่ 9 พลับพลาตำบลทับเที่ยง อำเภอบางรัก แขวงเมืองตรัง  ฉบับที่ 10  พลับพลาอำเภอเขาขาว  แขวงเมืองตรัง  ฉบับที่ 11 ตำบลกะปางแขวงเมืองนครศรีธรรมราช และ  ฉบับที่ 12 เรือถลาง เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร


          วัดสรศักดิ์ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองสุโขทัยด้านเหนือ บริเวณใกล้กันกับศาลตาผาแดง วัดตระพังสอ และวัดซ่อนข้าว ณ วัดแห่งนี้ได้ค้นพบศิลาจารึกวัดสรศักดิ์ กล่าวว่า นายอินทสรศักดิ์ได้ขอพระราชทานที่ดิน ขนาดกว้าง ๑๕ วา ยาว ๓๐ วา จากออกญาธรรมราชา เจ้าเมืองสุโขทัยในขณะนั้น เพื่อสร้างอารามถวาย ครั้นสร้างสำเร็จแล้วจึงให้นิมนต์พระมหาเถรธรรมไตรโลกฯ จากตำบลดาวขอน ผู้เป็นน้าของออกญาธรรมราชาเจ้าเมืองสุโขทัย ให้มาจำพรรษาที่วัดนี้ด้วย           ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๕๙ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ขณะยังทรงพระเยาว์ได้เสด็จมาบำเพ็ญพระราชกุศล พร้อมพระราชมารดาและพระมาตุจฉา (น้า) ที่เมืองสุโขทัย การเสด็จคราวนี้พระมาตุจฉาได้เสด็จเข้าพำนักยังพระตำหนักหัวสนามเก่าด้านทิศตะวันตกติดกับวัดสรศักดิ์ ความในศิลาจารึกวัดสรศักดิ์ตอนนี้เองที่ช่วยชี้ตำแหน่งของพระตำหนักหรือวังของเจ้านาย ตลอดถึงกษัตริย์ของสุโขทัยว่าควรจะอยู่ตรงบริเวณทิศตะวันตกของวัดสรศักดิ์เหนือศาลตาผาแดง และที่ปัจจุบันเป็นถนนจากวัดมหาธาตุ ผ่านระหว่างศาลตาผาแดง วัดสรศักดิ์ และพระตำหนักสู่ประตูศาลหลวงด้านทิศเหนือนี้ คือ “สนาม” ที่กล่าวถึงในจารึกวัดสรศักดิ์           ลักษณะเด่นของวัดนี้คือ มีเจดีย์ประธานทรงระฆัง หรือทรงลังกาอีกแบบหนึ่งที่นิยมสร้างมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัย คือ เจดีย์ทรงระฆังกลมที่มีช้างล้อมรอบฐาน ตามความเชื่อว่าช้างเป็นสัตว์พาหนะของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่คู่ควรกับการเป็นพาหนะค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนตลอด ๕,๐๐๐ ปี ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


          นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ตามที่ได้มอบหมายให้นักวิทยาศาสตร์เชี่ยวชาญ จากกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพบานประตูวิหารวัดหมื่นล้านโดยละเอียด หลังจากมีการทาสีทับลายรดน้ำบนบานประตูวิหารนั้น ได้รับรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่าชั้นของสีที่ทาทับบนบานประตูวิหารวัดหมื่นล้าน ประกอบด้วย ชั้นที่ ๑ ชั้นรองพื้นประเภทเรซิ่น เป็นการปรับพื้นผิวบานประตูให้เรียบเสมอกัน ชั้นที่ ๒ สีน้ำมัน (ที่นิยมใช้รองพื้นก่อนปิดทอง) สีแดง มีลักษณะบาง และชั้นที่ ๓ สีน้ำมันสีดำ           กระบวนการละลายชั้นสีที่ทาทับ ที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ชั้นที่ ๑ ชั้นรองพื้นประเภทเรซิ่น เพราะเป็นวัสดุที่ไม่มีตัวทำละลาย และหากปล่อยไว้จะทำปฏิกิริยากับอากาศทำให้แข็งตัวจับยึดแน่นกับภาพลายรดน้ำเดิม ซึ่งชั้นเรซิ่นนี้มีชั้นสีน้ำมันทาทับอยู่ จึงยังไม่แข็งตัวสามารถละลายออกได้ โดยเมื่อดำเนินการจะต้องประคองสภาพไม่ให้ชั้นเรซิ่นแข็งตัวเร็วขึ้น และค่อยๆ ละลายชั้นสีที่ปิดทับอยู่ทีละส่วน ไม่ละลายออกทีเดียวทั้งหมด โดยในขณะนี้กำลังทดสอบน้ำยาเคมีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อใช้ในการดำเนินการ           ส่วนของระยะเวลาที่จะใช้ในการดำเนินการละลายชั้นสีทั้งหมดออกจนแล้วเสร็จ ในเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าน่าจะใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ ๓๐ วัน ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการดำเนินงานในแต่ละส่วน ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อลายรดน้ำดั้งเดิม และคืนสภาพลายรดน้ำบนบานประตูวิหารวัดหมื่นล้านไว้ให้ได้มากที่สุดต่อไป           วัดหมื่นล้าน เป็นโบราณสถานที่ไม่ได้ประกาศขึ้นทะเบียน ตามประวัติระบุว่า สร้างโดยหมื่นโลกสามล้าน หรือ หมื่นด้งนคร ผู้เป็นขุนศึกคู่พระทัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ล้านนาราชวงศ์มังราย ในปีมะเส็ง จุลศักราช ๘๒๒ หรือตรงกับ พ.ศ. ๒๐๐๒ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีบันทึกระบุว่า หลวงโยนะการพิจิตร ซึ่งเป็นคหบดีได้สร้างขึ้นมาทดแทนของเดิมที่เสียหาย ช่วงปี จ.ศ. ๑๒๗๙ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๐


องค์ความรู้ เรื่อง งานประเพณีทิ้งกระจาด จังหวัดสุพรรณบุรี จัดทำโดย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี


black ribbon.