ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
ชื่อเรื่อง : เวชปฏิบัติ ภาคผนวก คู่มือการใช้ยา ชื่อผู้แต่ง : คณะแพทย์ศาสตร์บัณฑิต ปีที่พิมพ์ : 2513 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์จำนวนหน้า : 546 สาระสังเขป : หนังสือเวชปฏิบัติ ภาคผนวก คู่มือการใช้ยา เล่มนี้ คณะผู้รวบรวมซึ่งเป็นนายแพทย์คณะหนึ่งได้จัดการรวบรวมตำรับตำรายาสำคัญๆ ที่สามารถนำมาใช้แก้ไขเหตุการณ์ก่อนที่จะไปพบแพทย์ เพื่อให้ทำการรักษาพยาบาลได้เป็นอย่างดี รวมทั้งจำพวกยาสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายในท้องตลาดด้วยเพื่อให้ผู้ใช้ได้เข้าใจถึงสรรพคุณของยาแต่ละชนิดแต่ละอย่าง เพื่อนำไปใช้รักษาโรคที่เป็นอยู่อย่างน้อยก็เป็นการดีแก่ผู้ที่รู้บ้าง
การสำรวจศิลปกรรมประเภทแกะสลักหินทรายบนทับหลัง โบราณสถานประเภท อโรคยาศาล..."ปราสาทโคกงิ้ว"
โดย นายรัชฎ์ ศิริ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส
ปราสาทโคกงิ้ว หมู่ที่ ๓ บ้านโคกงิ้ว ตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘และกำหนดขอบเขตโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๐๐ ตอนที่ ๓๖ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๖ พื้นที่โบราณสถาน ๑ ไร่ ๓ งาน ๘๗ ตารางวา
องค์ประกอบของโบราณสถาน
๑.ปรางค์ประธาน เป็นปรางค์ขอมสร้างด้วยศิลาแลง แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตรัสย่อมุม มีขนาดประมาณ ๕x๕ เมตร มีประตูทางด้านทิศตะวันออก อีก ๓ ด้านเป็นประตูหลอก อยู่ในสภาพพังทลายเหลือเพียงฐาน
๒.บรรณาลัย ก่อด้วยศิลาแลง ขนาดประมาณ ๔x๗ เมตร ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปรางค์ประธาน จากการขุดแต่งทางโบราณคดี พบทับหลังแกะสลักหินทรายรูปคชลักษมี ซึ่งหล่นอยู่ภายในบรรณาลัย และได้นำไปเก็บไว้ เพื่อจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย
๓.กำแพงแก้วและซุ้มประตู กำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง มีขนาดประมาณ ๒๕x๒๕ เมตร มีซุ้มประตูหินทราย(โคปุระ)อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ก่อด้วยศิลาแลง
๔.สระน้ำประจำโบราณสถาน ตั้งอยู่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นอกกำแพงแก้ว เป็นสระดินขนาดประมาณ ๑.๐๐x๑.๕๐ เมตร
ร่ายระบำฟ้อนกิงกะหร่า ฟ้อนกิงกะหร่า เป็นศิลปะการแสดงอย่างหนึ่งของชาวไทใหญ่ โดยมีความเชื่อมาจากพุทธศาสนา กิงกะหร่า ในความหมายตามสารพจนานุกรม คือ ชื่อของ กินนร หรือ กินรี ใช้พูดในภาษาไทใหญ่ หมายถึงสัตว์หิมพานต์ ที่มีท่อนล่างเป็นนก ท่อนบนเป็นคน ได้รับอิทธิพลการฟ้อนมาจากประเทศพม่าโดยมีชื่อว่า ฟ้อนนกเก็งไนยา ประวัติความเป็นมาของการฟ้อนกิงกะหร่านั้น มีเรื่องเล่าว่า หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากจำพรรษาเพื่อโปรดพระมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขณะเสด็จลงสู่โลกมนุษย์นั้น พุทธศาสนิกชนได้พร้อมใจกันนำอาหารไปทำบุญตักบาตร หรือที่รู้จักกันดีว่า "การตักบาตรเทโวโรหนะ" และเหล่าสัตว์ต่าง ๆ จากป่าหิมพานต์ คือ กินนรและกินนรี พากันออกมาฟ้อนร่ายรำเพื่อถวายการเคารพบูชา ในการแสดงฟ้อนกิงกะหร่า จะแสดงท่าทางอากัปกิริยาเลียนแบบนกกินรี ผู้แสดงมีได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ใส่ชุดที่ประกอบด้วย ๓ ส่วนคือ ลำตัว ปีก หาง ทำด้วยไม้ไผ่หรือหวาย แต่ละส่วนขึ้นโครงก่อนแล้วจึงติดผ้าแพร ประดับเพิ่มด้วยกระดาษสีต่าง ๆ ตัดเป็นลวดลายให้ตัวนกงดงามมากขึ้น จากนั้นใช้เชือกปอหรือหนังยางรัดให้แน่น อีกทั้งทำเชือกโยงดึงไปทั้งปีกและหาง เพื่อให้ขยับได้สมจริง ส่วนตัวผู้แสดงนั้นมักแต่งชุดสีเดียวกับส่วนหัวและส่วนหาง เครื่องดนตรีที่ใช้ในการฟ้อนนกกิงกะหร่านี้ มี กลองก้นยาว ๑ ลูก มอง (ฆ้อง) ๔ - ๕ ใบ (มักเป็นฆ้องราว) และฉาบ (แส่ง) ๑ คู่ โดยจะใช้จังหวะของกลองประกอบการฟ้อน เมื่อนกทำท่าบิน คนจะตีกลองเป็นทำนองหนึ่ง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นท่านกกระโดดโลดเต้น จึงจะเปลี่ยนทำนองการตีกลอง เป็นต้น การแสดงฟ้อนกิงกะหร่านี้ มักใช้แสดงในประเพณีเดือน ๑๑ ในเทศกาล "ออกหว่า" หรือ ออกพรรษา ของชาวไทใหญ่ ซึ่งมักแสดงควบคู่กับฟ้อนโตหรือเต้นโตผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่อ้างอิง :๑. อุดม รุ่งเรืองศรี. ม.ป.ป. "ฟ้อนกิงกะหร่า". สารานุกรมวัฒนธรรมไทย(Online). https://db.sac.or.th/thailand-cultural.../detail.php... , สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕.๒. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. ม.ป.ป. "ข้อมูลการฟ้อนนกกิงกะหร่าและการเต้นโต". โครงการยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชฏักเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น เรื่อง การวิจัยหลักสูตรอย่างมีส่วนร่วมของมนุษยชนสำหรับสถานศึกษา(Online). https://online.pubhtml5.com/aofc/ufdf/#p=2 , สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕.
วันพุธที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมในพิธีถวายราชสักการะ เเละลงนามถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๑๐) เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ณ บริเวณห้องโถง ชั้น ๑ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
วัดโบสถ์การ้อง ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก มีแม่น้ำนครนายกไหลผ่านทางด้านทิศเหนือของวัด ข้อมูลจากหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรกล่าวว่าวัดตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๐ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ อาคารเสนาสนะภายในวัดได้แก่ อุโบสถ ศาลาการเปรียญ และมณฑปเก่า
มณฑปเก่าวัดโบสถ์การ้องเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดเล็ก ตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยม มณฑปหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีทางเข้าออก ๓ ทาง ยกเว้นด้านทิศใต้ โครงสร้างหลังคาเป็นไม้ ทรงจั่ว หลังคามุงด้วยสังกะสี ผนังด้านทิศเหนือของมณฑปเจาะช่องประตูประดับบานประตูไม้ กรอบประตูยังมีโครงสร้างไม้ให้เห็นอยู่ และมีแผ่นไม้เหนือกรอบประตูตกแต่งด้วยการฉลุไม้เป็นลายก้านขดในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังด้านทิศใต้เป็นผนังทึบ ส่วนผนังด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเจาะช่องประตูแต่ไม่มีบานประตู สันนิษฐานว่าคงเสื่อมสภาพและนำออกไปแล้ว ภายในมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิ และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพเรื่องวิถีชีวิตของผู้คนอยู่ที่ผนังด้านทิศใต้และทิศตะวันออก
-----------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง : ข้อมูลวัดในจังหวัดนครนายก จังหวัดสระบุรี และจังหวัดสิงห์บุรี ที่พบหลักฐานทางโบราณคดี โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ โดย สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา
------------------------------------------------
เรียบเรียงข้อมูลโดย : นางสาวอลิสา ขาวพลับ นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา
------------------------------------------------
*เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร
#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ >> ปางพิจารณาชราธรรม <<ลักษณะ : พระพุทธรูปในอิริยาบถนั่ง พระหัตถ์ซ้ายและขวาวางคว่ำบริเวณพระชานุทั้งสองข้าง เป็นปางจากพุทธประวัติของเหตุการณ์ในพรรษาที่ 45 พรรษาสุดท้ายแห่งพระชนมายุ พระพุทธองค์ประทับ ณ บ้านเวฬุวคาม ทรงประชวรหนักเกิดทุกขเวทนา ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาด้วยอธิวาสนขันติ และบำบัดขับไล่อาพาธให้สงบระงับด้วยความเพียรในอิทธิบาทภาวนาครั้นหายประชวรเป็นปกติแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่พระอานนท์ว่า “บัดนี้ เราแก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยเสียแล้ว ชนมายุกาลแห่งเราถึง 80 ปีเข้าแล้วนี่ กายแห่งคถาคตย่อมเป็นประหนึ่งเกวียนชำรุดที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ มิใช่สัมภาระเกวียนฉะนั้น” พระองค์ทรงเปรียบเทียบสังขารว่าเหมือนเกวียนเก่า ซึ่งต้องใช้ไม้ไผ่ผูกดามกระหนาบ----------------------------------------------------------ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) มีพระราชประสงค์จะบำเพ็ญพระราชกุศลเช่นบูรพกษัติรย์ในสมัยอยุธยาได้เคยปฏิบัติ คือ การสร้างพระพุทธรูปถวายเป็นพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงคิดค้นคัดเลือกพุทธอิริยาบถปางต่าง ๆ ตามเรื่องที่มีในพุทธประวัติ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพิ่มเติมขึ้น อาทิ ปางทุกรกิริยา ปางรับมธุปายาส ปางลอยถาด ปางรับกำหญ้าคา ฯลฯ โดยมี “ปางพิจารณาชราธรรม” รวมอยู่ด้วย ซึ่งปางนี้ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1.พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคราวนี้เป็นแบบอย่างของพุทธศิลปะแบบแผนสกุลช่างกรุงเทพฯ ที่สำคัญ ปัจจุบันพระพุทธรูปดังกล่าวได้ประดิษฐานในหอราชกรมานุสรณ์ และหอราชพงศานุสรณ์ ทางด้านตะวันตกของพระอุโบสถวัดศรีรัตนศาสดาราม.ปางพิจารณาชราธรรมเป็นปางที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการสร้างเหมือนกับปางมารวิชัย หรือ ปางสมาธิที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้มักพบเจอพระพุทธรูปปางนี้ได้ไม่บ่อยนัก.ตัวอย่างหนึ่งที่พบในสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) ได้มีการสร้างพระพุทธรูป 80 องค์รอบพระระเบียงองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม สร้างขึ้นจากศรัทธาบริจาคของพุทธศาสนิกชน โดยมี 66 องค์เป็นปางที่สร้างขึ้นตามเหตุการณ์สำคัญตอนต่าง ๆ ในพุทธประวัติ และหนึ่งในนั้นก็ได้สร้างพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรมนี้ไว้ด้วย.และจากเหตุการณ์เจดีย์ถล่มที่วัดศรีสุพรรณ ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้มีการพบพระพุทธรูปที่ถูกบรรจุอยู่ภายในเจดีย์จำนวนมาก และหนึ่งในนั้นก็ได้พบพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรมเช่นกัน ซึ่งแทบไม่เคยพบในพระพุทธรูปล้านนามาก่อน จากประวัติการคิดค้นปางนี้มีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา จึงสันนิษฐานได้ว่าพระพุทธรูปปางนี้น่าจะเป็นการบรรจุเพิ่มปะปนรวมกับพระพุทธรูปของเดิมสมัยพระเมืองแก้วกลับเข้าไปในตอนซ่อมเจดีย์ในสมัยหลังก็เป็นได้--------------------------------------------------------อ้างอิง- สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, ม.ร.ว. พระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง. กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2535. หน้า 178-179.- กรมศิลปากร. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. พิมพ์ครั้งที่ 4. นครปฐม : รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2558. หน้า 12-13, 90.- สมพร อยู่โพธิ์. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2514. หน้า 7-10, 128-129.- ไขศรี ศรีอรุณ. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ในสยามประเทศ. พิมพ์ครั้งที่ 6. นนทบุรี : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด, 2561. หน้า 71.- ธนากิต. ประวัติพระพุทธรูปปางต่าง ๆ. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2544. หน้า 261-263.ที่มาของภาพ1. ภาพพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรม ประดิษฐานภายในหอราชกรมานุสร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม- สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, ม.ร.ว. พระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง. กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2535. 2. ภาพพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรม ประดิษฐานรอบพระระเบียงองค์พระปฐมเจดีย์- กรมศิลปากร. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. พิมพ์ครั้งที่ 4. นครปฐม : รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2558. 3. ภาพลายเส้นพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรม - สมพร อยู่โพธิ์. พระพุทธรูปปางต่าง ๆ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2514.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 33/2ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 36 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
อาฎานาฎิยสุตฺต (อาฎานาฎิยสูตร) ชบ.บ 125/1
เอกสารโบราณ
(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 163/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผาสมัยทวารวดี แสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์”
ชิ้นส่วนพระพิมพ์ดินเผารูปบุคคลยืนตริภังค์ (เอียงสะโพก) จำนวน ๓ ชิ้น เก็บรักษา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง มีรายละเอียดดังนี้
ชิ้นที่ ๑ กว้าง ๘ เซนติเมตร สูง ๗.๕ เซนติเมตร ด้านหน้ามีภาพบุคคลยืนตริภังค์ แสดงอัญชลีมุทรา ไม่ปรากฏฉลองพระองค์ สภาพชำรุดเหลือเฉพาะส่วนพระศอลงมาจนถึงพระโสณี ด้านหลังแบนเรียบ
ชิ้นที่ ๒ กว้าง ๘ เซนติเมตร สูง ๙ เซนติเมตร ด้านหน้ามีภาพบุคคลยืนตริภังค์ ผินพระพักตร์ไปด้านซ้าย พระหัตถ์ขวาวางไว้บริเวณพระโสณีทรงก้านดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นเสมอพระพาหา ไม่ปรากฏฉลองพระองค์ สภาพชำรุดมีเฉพาะส่วนพระเศียรลงมาจนถึงพระอูรุ (ต้นขา) ด้านหลังแบนเรียบ
ชิ้นที่ ๓ กว้าง ๘.๕ เซนติเมตร สูง ๑๒ เซนติเมตร ด้านหน้ามีภาพบุคคลยืนตริภังค์ พระหัตถ์ซ้ายวางไว้บริเวณพระโสณี (สะโพก) ทรงถือก้านดอกบัว พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระพาหา ไม่ปรากฏฉลองพระองค์ แต่ทรงพระภูษาซึ่งยาวถึงพระชงฆ์ สภาพชำรุดพระเศียรหักหายไป ด้านหลังแบนเรียบ
เมื่อศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบชิ้นส่วนรูปบุคคลทั้ง ๓ ชิ้นกับพระพิมพ์ดินเผาสมัยทวารวดีชิ้นอื่นๆ พบว่า มีลักษณะตรงกับรูปบุคคลที่ปรากฏบนพระพิมพ์ดินเผาซึ่งสันนิษฐานว่าแสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์” แสดงถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมหาปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี โดยประทับบนดอกบัวที่เนรมิตขึ้นโดยราชานาคนันทะและอุปนันทะ มีพระอินทร์ พระพรหม และเหล่าเทวดาทั้งหลายลงมาเฝ้า ตัวอย่างพระพิมพ์ปางดังกล่าว ได้แก่ พระพิมพ์ที่พบบริเวณบ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีลักษณะเป็นพระพิมพ์ดินเผาขนาดใหญ่ สูง ๓๓.๘ เซนติเมตร ตรงกึ่งกลางมีภาพพระพุทธเจ้าประทับขัดสมาธิราบบนดอกบัวมีก้าน มีประภามณฑลเป็นวงโค้งรอบพระเศียร พระหัตถ์ขวาแสดงวิตรรกมุทรา (ปางแสดงธรรม) พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา ด้านข้างซ้ายขวามีรูปบุคคลยืนตริภังค์ทรงดอกบัว สันนิษฐานว่าอาจเป็นราชานาคนันทะและอุปนันทะ ถัดขึ้นไปด้านซ้ายขวามีภาพบุคคลยืนตริภังค์แสดงอัญชลีมุทรา สันนิษฐานว่าอาจเป็นพระอินทร์และพระพรหม
จากการศึกษาเปรียบเทียบกับพระพิมพ์ดังกล่าวข้างต้น จึงสันนิษฐานว่าชิ้นส่วนทั้ง ๓ ชิ้น แต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพระพิมพ์ดินเผารูปแบบเดียวกัน คือพระพิมพ์ดินเผาแสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์” โดยชิ้นที่ ๑ เป็นชิ้นส่วนมุมบนขวา เป็นรูปของพระพรหม ส่วนชิ้นที่ ๒ และ ๓ เป็นชิ้นส่วนมุมล่างขวาและซ้ายตามลำดับ และเป็นรูปของราชานาคนันทะและอุปนันทะ แม้ชิ้นส่วนพระพิมพ์ทั้ง ๓ ชิ้นนี้จะอยู่ในสภาพชำรุด แต่ก็เป็นหลักฐานที่แสดงถึงรูปแบบพระพิมพ์ดินเผาขนาดใหญ่ที่เป็นรูปแบบพิเศษที่ปรากฏในสมัยทวารวดี เนื่องจากพบจำนวนไม่มากนัก กำหนดอายุชิ้นส่วนพระพิมพ์ทั้ง ๓ ชิ้นนี้ในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ - ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว
อนึ่ง น่าเสียดายว่าไม่สามารถระบุที่มาของชิ้นส่วนพระพิมพ์ทั้ง ๓ ชิ้น ดังกล่าวได้แน่ชัด ว่ามีที่มาจากพระพิมพ์องค์เดียวกันหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้พบชิ้นส่วนทั้ง ๓ ชิ้น ร่วมกัน โดยได้จากการสำรวจทางโบราณคดี ๒ ชิ้น และรับมอบจากการบริจาคของประชาชน ๑ ชิ้น
เอกสารอ้างอิง
ธนกฤต ลออสุวรรณ. “การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่าจีน : กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖.
สินชัย กระบวนแสง. “พระพิมพ์ซึ่งพบที่บ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี”. ใน รายงานเบื้องต้น การขุดค้นโบราณสถานสมัยทวารวดี ที่บ้านคูเมือง ตำบลบางชัน อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี. กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๑๙.
ที่มารูปภาพ
ภาพพระพิมพ์ดินเผาแสดงภาพพุทธประวัติ ตอน “มหาปาฏิหาริย์”จากบ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี จาก Jean Boisselier, “Travaux de la mission archeologique francaise en Thailande (juillet-novembre 1966), ” fig.60. อ้างถึงใน ธนกฤต ลออสุวรรณ. “การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่าจีน : กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖.