ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,784 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.434/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 16 หน้า ; 5 x 59 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 156  (131-140) ผูก 1ก (2566)หัวเรื่อง : ลำวิสุทธิยา--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.582/ข/2                            ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 58 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 188  (365-371) ผูก ข2 (2566)หัวเรื่อง : ทศชาติ--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


วันพญาวัน ---วันพญาวัน หรือวันพระญาวัน เป็นวันเถลิงศกเริ่มต้นจุลศักราชใหม่วันนี้เป็นวันที่มีการทำบุญทางศาสนา ดังจะเห็นได้ว่าตั้งแต่เวลาเช้าตรู่จะมีผู้คนนำเอาสำรับอาหารหวานคาวต่างๆ ไปทำบุญถวายพระตามวัด การถวายภัตตาหารหรือที่เรียกกันอย่างเมืองเหนือว่า ทานขันเข้า (อ่าน "ตานขันเข้า") นี้ บางคนก็จะทำบุญกันหลายสำรับ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษหรือญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ส่วนพระสงฆ์ก็จะรับการทานขันเข้าและทำพิธีกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ล่วงลับตามความประสงค์ของชาวบ้าน บางครั้งพระอาจต้องแยกย้ายกันทำพิธีเช่นว่านี้หลายแห่งก็ได้ นอกจากจะมีการทานขันเข้าหรือถวายสำรับอาหารที่วัดแล้ว บางคนอาจนำสำรับอาหารไปมอบให้แก่บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือโดยความเคารพอย่างการถวายให้แก่พระสงฆ์ด้วย ซึ่งการทำบุญเช่นนี้ เรียกว่า ทานขันเข้าตนเถ้าตนแก่---หลังจากการทานขันเข้าและการฉันภัตตาหารแล้ว คือเป็นเวลาประมาณ ๐๙.๐๐ นาฬิกา ทายกทายิกาทั้งหลายจะนำทุงหรือธงซึ่งได้เตรียมไว้ตั้งแต่วันก่อนนี้ ไปปักบนเจดีย์ทราย ทั้งนี้มีคติว่าการทานทุ่งนั้นมีอานิสงส์ สามารถช่วยให้ผู้ตายที่มีบาปหนักถึงตกนรกนั้นสามารถพ้นจากขุมนรกได้ โดยที่ชายของทุงจะได้พันตัวของผู้ตกนรกนั้นแล้วดึงพ้นจากขุมนรกขึ้นมา ในการทำบุญอุทิศเจดีย์ทรายและทุงนั้น "ปู่อาจารย์"หรือมัคนายกจะกล่าวนำศรัทธาประชาชนไหว้พระรับศีลแล้วอาราธนาพระปริตร พระสงฆ์จะเจริญพระพุทธมนต์แบบย่อพอควรแก่เวลา จากนั้นปู่อาจารย์จะทำพิธีโอกาสเวนทานด้วยโวหารจนจบพิธีการ---ในวันพระญาวันนี้ บางท่านอาจจะเตรียมไม้ง่ามไปถวายสำหรับค้ำต้นโพธิ์ ไม้ง่ามนี้จะมีกรวยดอกไม้ธูปเทียนและกระบอกบรรจุน้ำและทรายผูกติดกับไม้ง่ามไปด้วย การทานไม้ง่ามนี้ ถือคติว่าเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการจะช่วยกันค้ำจุนพระศาสนาให้ยืนยาวต่อไป ในการไปวัดช่วงเช้าของวันพระญาวันนี้ นอกจากจะได้ ทานวาลุกเจดีย์ หรือทำบุญอุทิศเจดีย์ทรายและทานทุ่งตลอดจนทานไม้ง่ามแล้ว ก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาต่อไปจนถึงเวลาถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์หลังจากนั้นทายกทายิกายังจะนำเอาน้ำเข้าหมิ่นส้มป้อย คือน้ำอบน้ำหอม ซึ่งปรุงด้วยฝักส้มป่อยและดอกไม้หอมที่ตากแห้งเช่น ดอกสารภีที่เตรียมมาด้วยนั้น สรงน้ำทั้งพระพุทธรูป สถูปเจดีย์ รวมทั้งสรงน้ำพระภิกษุเจ้าอาวาสด้วย และถือเป็นเสร็จพิธีในช่วงเช้าของวัน ส่วนในตอนบ่ายของวันพระญาวันนี้จะมีการไปดำหัวหรือไปคารวะผู้เฒ่าผู้แก่ บิดามารดา ญาติพี่น้องผู้อาวุโสหรือผู้มีบุญคุณหรือผู้ที่เคารพนับถือ เพื่อเป็นการขอขมาลาโทษอันเนื่องจากที่อาจได้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรต่อท่านเหล่านั้น การดำหัวนี้อาจนับรวมถึงการดำหัวพระเจ้าคือการไปแสดงความคารวะต่อพระพุทธรูปที่สำคัญประจำเมืองเช่น พระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาวในวัดเชียงมั่น พระพุทธสิหิงค์และพระเจ้าทองทิพย์ที่วัดพระสิงห์ พระเจ้าเก้าตื้อที่วัดสวนดอกเชียงใหม่ เป็นต้น นอกจากการดำหัวพระเจ้าแล้วก็อาจจะมีการดำหัวกู่ที่บรรจุพระอัฐิของบรรพบุรุษหรือเจ้านายที่ได้ทำคุณงามความดีไว้ต่อบ้านเมือง การดำหัวนี้ก็อาจกระทำแก่ครูบาอาจารย์ผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลสำคัญในชุมชนนั้นๆเช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ซึ่งการไปดำหัวนี้ หากไปดำหัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของส่วนรวมหรือดำหัวผู้บังคับบัญชาแล้วก็อาจมีการจัดขบวนดำหัวเป็นการเอิกเกริกก็ได้---เครื่องพิธีสำหรับดำหัวนั้นประกอบด้วยเครื่องเคารพซึ่งประกอบด้วยข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน น้ำขมิ้นส้มป่อยและของบริวารอื่นๆ เช่น มะม่วง มะปราง แตงกวา มะพร้าวอ่อนกล้วย อ้อย ขนม ข้าวด้ม หมากพลู เมี่ยง บุหรี่ หรือจะมีเงินทองใส่ไปด้วยก็ได้ หรืออาจจะมีเสื้อผ้า กางเกง ผ้าซิ่น ผ้าขนหนูหรือของที่ระลึกอื่นๆ จัดตกแต่งใส่พานหรือภาชนะให้เรียบร้อยสวยงาม หรือจะจัดอย่างพานบายศรี พุ่มดอกไม้ทำนองเดียวกันกับการแห่ครัวทาน (อ่าน "คัวตาน") ก็ได้ การไปดำหัวที่ไปเป็นขบวนนี้ มักจะไปในตอนเย็นหรือประมาณ ๑๖.๐๐-๑๗.๐๐นาฬิกา เมื่อขบวนดำหัวไปถึง ผู้เป็นหัวหน้าก็จะเอาพานข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน และน้ำเข้าหมิ้นส้มป่อยรวมทั้งของที่นำไปดำหัวนั้นไปมอบให้ด้วยความเคารพ และกล่าวขอขมาลาโทษเป็นทำนองว่า "วันนี้ เปนวันเดือนชีปีใหม่ หมู่ลูกหลานทั้งหลายได้มาขอขมาลาโทษและสมาคารวะพ่ออุ้ย แม่อุ้ย แม่นว่าพวกข้าเจ้าทั้งหลายได้ปากล้ำคำเหลือล่วงเกินด้วยประการใดๆ ก็ดีขอพ่ออุ้ยแม่อุ้ย (หรือบอกตำแหน่งผู้บังคับบัญชา) ได้ทื้อสมาลาโทษแก่ฝูงข้าเจ้าทั้งหลายด้วยเทอะ"---ผู้รับการดำหัวจะรับประเคนของแล้วเอาผ้าขาวม้าหรือผ้าสไบพาดบ่าแล้วให้พร ซึ่งมักจะว่า         "เอวังโหนตุ ดีแล อัชชะในวันนี้ ก็เป็นวันดีสรีอันประเสิฐล้ำเลิศกว่าวันทั้งหลาย บัดนี้รวิสังกรานต์ปีเก่าก็ล่วงพ้นไปแล้ว ปีใหม่แก้วก็มารอดมาเถิง ลูกหลานทั้งหลายก็บละเสียยังรีต บลีดเสียยังปาเวณี เจ้าทั้งหลายก็ยังได้น้อมนำมายังมธุบุปผาและสุคันโธทกะสัพพะวัตถุนานาทั้งหลาย มาขอสมาคารวะตนตัวผู้ข้า ว่าฉันนี้แท้ดีหลี          แม่นว่าเจ้าทั้งหลายได้ปากล้ำคำเหลือ ขึ้นที่ต่ำ ย่ำที่สูงผิดด้วยกายกัมม์ วจีกัมม์ มโนกัมม์ ดั่งอั้นก็ดี ผู้ข้าก็จักอโหสิกัมม์ทื้อแก่สูเจ้าทั้งหลาย แม่นว่าสูเจ้าทั้งหลายจักไปสู่จตุ-ทิสสะอัฐทิสสะวันตกวันออกขอกใต้หนเหนือ ค้าขายวายล่องท่องเที่ยวบ้านเมือง แลอยู่บ้านชองหอเรือนดั่งอั้นก็ดี จุ่งหื้อชุ่มเนื้อเยนใจแล้วหื้อเป็นที่ปิยะมนามักรักจำเริญใจแก่หมู่คนและเทวดา แล้วจุ่งหื้อก้านกุ่งรุ่งเรือง ไพด้วยโภคะธนะธนังเข้าของเงินคำสัมปัตติทั้งหลาย แม่นจักกินก็อย่าหื้อได้ผลาญจักทานก็อย่าหื้อได้เสี้ยง หื้อมีอายุมั่นยืนยาวนั้นแท้ ดีหลีสัพพี ติ โย...อายุ วัณโณ สุขัง พลัง"          ในระหว่างที่ทำพิธีและให้พรอยู่นั้น บรรดาผู้ฟังต่างก็จะพนมมือรับพร เมื่อผู้ให้พรกล่าวจบต่างก็จะยกมือจรดเหนือหัวพร้อมกับเปล่งเสียง "สาธุ" พร้อมๆ กัน เสร็จแล้วผู้รับการดำหัวก็จะยกเอาดอกไม้ธูปเทียนไปใส่ในพานใหญ่ที่เตรียมไว้ เอามีอจุ่มลงในน้ำเข้าหมิ้นส้มป่อยแล้วลูบศีรษะของตน เป็นกิริยาว่าได้ดำหัวแล้ว และนำน้ำเข้าหมิ่นส้มป่อยนั้นเทรวมไว้ในขัน ต่อจากนั้นอาจมีการสรงน้ำท่านที่เคารพหรืออาจสนทนากันสักครู่หนึ่ง ฝ่ายที่ไปคารวะก็จะลากลับ แต่หากเจ้าภาพจะเลี้ยงดูผู้ไปคารวะแล้ว การเลี้ยงก็จะเริ่มต้นนับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป อนึ่ง การดำหัวนี้ไม่นิยมกระทำก่อนวันพระญาวันและควรกระทำให้เสร็จสิ้นหลังช่วงสงกรานต์ไม่เกินเจ็ดวัน---ในวันนี้ ศรัทธาที่ไม่ไปวัดก็จะไปเตรียมสถานที่เพื่อทำบุญใจบ้านคือบริเวณที่ตั้งของเสาใจบ้านหรือสะดือบ้าน มีการจัดทำรั้วราชวัติ ประดับด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย เป็นต้น รอบสถานที่นั้น และจะเตรียมอาสน์สงฆ์ไว้ด้วย จากนั้นให้โยงฝ่ายร้วงคือด้ายสายสิญจน์จากเสาใจบ้านต่อ ๆ กันไปจนถึงทุกหลังคาเรือน จัดทำแตะไม้ไผ่สานขนาด ๙๐ x ๙๐ เซนติเมตรจำนวน ๙ แผง แล้วใช้ดินเหนียวหรือแป้งข้าวปั้นเป็นรูปสัตว์เช่น ช้าง ม้า เป็ด ไก่ หมู หมา ฯลฯ อย่างละ ๑๐๐ ตัว วางบนแตะนั้น พร้อมทั้งใส่เครื่องบูชาต่างๆ อันประกอบด้วย ข้าวอาหารคาวหวาน ผลไม้ต่างๆ กล้วย อ้อย หมากพลู เมี่ยง บุหรี่และให้ใช้ไม้ทำหอกดาบแหลนหลาวหน้าไม้ปืนธนูวางบนทั้งเก้านั้น เพื่อเตรียมทำพิธีส่งเคราะห์บ้านหรือพิธีส่งนพเคราะห์ทั้งเก้า"วันพระญาวัน (๑) (วันเถลิงศก)." สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 12. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542: 6231-6232. "ปีใหม่ (สงกรานต์)." สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 8. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542: 3834-3841.



#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านเรื่อง "อาณาจักรหลักคำ" กฎหมายเมืองน่านการผลิตสื่อเพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรมจัดทำโดย นางสาวเมธินี จิตระตรีนิสิตฝึกสหกิจ คณะสังคมศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร


ลวดลายเล่าเรื่องรามเกียรติ์บนตู้ไม้ทรงสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า “ตู้พระธรรม” จะตกแต่งด้วยลายทองรดน้ำหรือปิดทองทึบ ปรากฏได้ทั้งตู้พระธรรมขาหมู ขาคู้ หรือขาสิงห์ โดยจากข้อสังเกตลายรดน้ำบนตู้พระธรรม มักเกิดจากการผูกลวดลายให้เต็มพื้นที่และมีแม่ลายเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งสอดคล้องสัมพันธ์กับศาสนา บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ ชาดก วรรณคดี นิทานพื้นบ้าน และธรรมชาติ แสดงถึงความหลากหลายและสุนทรียะของประณีตศิลป์ จึงถือเป็นเครื่องถวายเป็นพุทธบูชาในรูปแบบภาพจับ หรือฉากรบเพื่อสอดแทรกคติธรรม สามารถสังเกตตัวละครจากลักษณะของศีรษะและเครื่องแต่งกาย คือ มัยราพณ์ เป็นพญายักษ์สวมมงกุฎยอดกระหนก มีอาวุธเป็นกล้องยาและกระบอง รายละเอียดคล้ายคลึงกับเครื่องแต่งกายของโขนพระราชทาน เช่นเดียวกับมัจฉานุที่ปรากฏในลักษณะของลิงไม่มียอด (ลิงโล้น) คล้ายหนุมาน แต่มีหางเป็นปลา และท่อนบนเปลือยให้เห็นสัดส่วนของร่างกาย . ภาพประกอบ : ลายรดน้ำตู้พระธรรมและหนังใหญ่ ปัจจุบันเก็บรักษาภายในอาคารคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี เผยแพร่และเทคนิคภาพโดย พลอยไพลิน ปุราทะกา ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ / ภาพโดย กิตติยา เชื้อทอง นายช่างภาพปฏิบัติงาน กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร


ทับหลังการกราบบูชาแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” (Aṣṭāṅga Namaskāra) ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย "อัษฎางคประดิษฐ์" เป็นการแสดงความเคารพบูชาสูงสุดด้วยการกราบที่กำหนดให้อวัยวะทั้ง 8 คือ หน้าผาก ฝ่ามือทั้งสอง หน้าอก เข่าทั้งสอง และปลายเท้าทั้งสอง แนบพื้นดิน โดยการกราบเช่นนี้แพร่หลายในกลุ่มพุทธศาสนิกชนที่นับถือลัทธิวัชรยาน ตันตระ ซึ่งคงได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู ในปัจจุบันหลายท่านอาจเคยพบเห็นการกราบแบบนี้จากผู้จาริกแสวงบุญในอินเดียทิเบต เนปาล และภูฏาน เรียกว่า Chag Tsel   สำหรับทับหลังของปราสาทพิมาย นับได้ว่าเป็นทับหลังสลักภาพการกราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์" ที่เก่าแก่ในประเทศไทยและในวัฒนธรรมเขมรโบราณ กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 17 หรือประมาณ 900 ปีมาแล้ว โดยในภาพสลักเป็นภาพบุคคลกำลังกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์และถวายเครื่องบรวงสรวงบูชาแก่พระพุทธรูปนาคปรก เป็นไปได้ว่าผู้ที่กำลังบูชาพระพุทธรูปนาคปรกนั้น คือ กมรเตงอัญศรีวิเรนทราธิบดีวรมะเมืองโฉกวะกุล กำลังถวายเครื่องบูชาแก่กมรเตงชคตเสนาบดีไตรโลกยวิชัยซึ่งเป็นเสนาบดีแห่งกมรเตงชคตวิมาย ตามที่ปรากฏในจารึกปราสาทหินพิมาย 3 สำหรับในประเทศกัมพูชา เราพบภาพสลักการกราบแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์" ในปราสาทที่สร้างในรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (สมัยบายน)ซึ่งนับถือพุทธศาสนาลัทธิวัชรยาน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 หรือประมาณ 800 ปีมาแล้ว เช่น ปราสาทบันทายฉมาร์ ปราสาทตาพรหม ปราสาทบันทายกุฎี ปราสาทบายน อย่างไรก็ตามใน Angkor National Museum ได้จัดแสดงประติมากรรมรูปบุคคลกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ในสมัยบายนและระบุว่าเป็นสุเมธดาบส  สุเมธดาบส เป็นอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระชาติที่ได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้าทีปังกร ว่าสุเมธดาบสผู้นี้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เรื่องราวของสุเมธดาบสมีอยู่ว่า พระพุทธเจ้าทีปังกรได้เสด็จมายังเมืองอมราวดี ซึ่งมีพื้นที่ช่วงหนึ่งขรุขระมีน้ำขัง ผู้มีศรัทธาจึงได้ช่วยกันถากถางทางและปรับพื้นที่เพื่อให้พระทีปังกรเสด็จดำเนินได้โดยสะดวก เมื่อสุเมธดาบผ่านมาเห็นก็ขอร่วมในการปรับถนนด้วย แต่ยังไม่ทันเสร็จดี พระพุทธเจ้าทีปังกร พร้อมพระสาวก ก็เสด็จดำเนินมา สุเมธดาบสเห็นไม่ทันการณ์ เพราะยังมีบ่อที่น้ำท่วมขังอยู่ช่วงตัวหนึ่ง จึงตัดสินใจทอดตัวลงนอนปิดทับแอ่งน้ำนั้น ตั้งใจถวายชีวิตให้พระทีปังกรและพระสาวกเดินไปบนแผ่นหลังของตน และในครานั้นสุเมธดาบสได้ตั้งความปรารถนาไว้ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์ท่าน เมื่อพระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จมาทอดพระเนตรเห็นก็รู้ด้วยญาณว่าสุเมธดาบสผู้นี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้า จึงแสดงพุทธทำนายแก่สุเมธดาบส ว่า สุเมธดาบสผู้นี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า พระนามว่า พระโคตมพุทธเจ้า


          เจดีย์จำลอง           เลขทะเบียน                 ๓๙๘ / ๒๕๑๖            แบบศิลปะ / สมัย         ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒            วัสดุ (ชนิด)                 สำริด           ขนาด                 ฐานกว้าง ๔.๖ เซนติเมตร สูง ๑๗ เซนติเมตร             ประวัติความเป็นมา พุทธสถานจังหวัดเชียงใหม่ มอบให้            ความสำคัญ ลักษณะและสภาพของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ            เจดีย์จำลอง ส่วนฐานล่างเป็นทรงกลมคล้ายหม้อดอก หรือหม้อบูรณฆฏะ ซึ่งชาวล้านนาเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์หรือความเจริญรุ่งเรือง ส่วนฝาทำเป็นเจดีย์ทรงกลม ตั้งบนฐานปัทม์ซ้อนกันสามชั้น รองรับองค์ระฆังกลม ส่วนยอดทำเป็นทรงกรวยแหลม บนสุดทำเป็นหัวเม็ดทรงมัณฑ์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ   


เรื่อง เครื่องหอมไทย ผู้เรียบเรียง  : นางสาวลักษมณ ประจวบมูล บรรณารักษ์ปฏิบัติการ


สามารถรับชมคลิปวิดีโอ ขั้นตอนการทำลายหนังสือราชการ ตามลิงก์ดังแนบhttps://www.facebook.com/SupanburiNationalArchive/videos/3124127631187892/?locale=th_TH https://www.youtube.com/watch?v=PxoYBSimhFwหรือติดต่องานบริหารเอกสาร โทร. 035 535 501 ต่อ 101 (ในวันและเวลาราชการ)


ชื่อโบราณวัตถุ : ภาชนะดินเผาเขียนสีรูปสัตว์แบบศิลปะ : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชนิด : ดินเผาขนาด : สูง 22.8 เซนติเมตร  ปากกว้าง 14.2 เซนติเมตรอายุสมัย : วัฒนธรรมบ้านเชียงสมัยปลาย 2,300 - 1,800 ปีมาแล้วลักษณะ : ภาชนะดินเผาก้นกลม มีเชิง เขียนสีแดงเป็นลายรูปสัตว์สภาพ : ...ประวัติ : ...สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีแสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่  http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang/360/model/03/ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang


ชื่อโบราณวัตถุ : ตุ๊กตารูปสัตว์แบบศิลปะ : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชนิด : ดินเผาขนาด : สูง 7.4 เซนติเมตร ยาว 15 เซนติเมตรกว้าง 13.3 เซนติเมตรอายุสมัย : วัฒนธรรมบ้านเชียงลักษณะ : ตุ๊กตาดินเผา รูปสัตว์ประเภทโค หรือกระบือ มีการปั้นขาหน้า และขาหลังรวมกับเป็น 2 ขา มีเขายาวสภาพ : ...ประวัติ : ได้จากการขุดค้น บ้านนาดี ตำบลพังงู  อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานีสถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีแสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่  http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang/360/model/24/ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/banchiang


ชื่อเรื่อง                     ความสุขของฉันการศึกษาและประเพณีไหว้ครูผู้แต่ง                       กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   นาฏศิลป์ไทย การรำไทยเลขหมู่                      793.31907 ศ528คสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพรปีที่พิมพ์                    2505ลักษณะวัสดุ               42 หน้า หัวเรื่อง                     การศึกษาภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกหนังสือเล่มกล่าวถึงประวัติการตั้งโรงเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์ โดยพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งเป็นอธิบดีคนแรกของกรมศิลปากร โรงเรียนนี้มีพิธีพิเศษที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำอยู่อย่างหนึ่ง คือ พิธีไหว้ครูนาฏศิลปะและดุริยางคศิลป์ พิธีไหว้ครูประจำปีนี้เป็นพิธีที่ศิลปินทางโขนละคอนและดนตรีได้ปฏิบัติสืบต่อเป็นประเพณีกันมาแต่โบราณ


ชื่อเรื่อง                     ไตรวุฒิเจริญ 3 ประการ กับความชนะในพระพุทธศาสนาผู้แต่ง                       สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฎฐายี)  พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ)ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ศาสนาเลขหมู่                      294.3138 ส247ตวสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 การพิมพ์ปีที่พิมพ์                    2501ลักษณะวัสดุ               180 หน้า หัวเรื่อง                     ธรรมะกับชีวิตประจำวัน                              พิธีกรรมภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก“ไตรวุฒิเจริญ 3 ประการ” กับ “ความชนะในพระพุทธศาสนา” เป็นเรื่องเหมาะสมกับกาลสมัย เป็นเรื่องที่อ่านง่าย และปฏิบัติตามได้ง่าย  


วันเสาร์ ที่ 9 ธันวาคม 2566 นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ พร้อมเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมกิจกรรมบรรยายและเสวนาทางวิชาการเรื่อง “จดหมายเหตุพระปาเลไลย ในโครงการ “การศึกษาเอกสารโบราณสมัยรัชกาลที่ 4 เรื่องการบูรณะวัดป่าเลไลยก์ โดยมีพระศรีธวัชเมธี รองเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์เป็นประธานโครงการ ท่านพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากรเป็นประธานในพิธีเปิด และนางทัศนีย์ เทพไชย อดีตผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ตัวแทนคณะกรรมการโครงการกล่าวรายงาน และภายในงานมีนิทรรศการ “วัดป่าเลไลยก์ในหนังสือสมุดไทยโบราณ” โดยหอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรีเฉลิมพระเกียรติ ร่วมกับชมรมนักโบราณคดี(สมัครเล่น)เมืองสุพรรณ , บริการแสกนภาพถ่าย/เอกสารเก่า โดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี และบริการผูกดวงลัคนาราศีเกิด โดยชมรมโหรขรัวตาจู ขอบคุณภาพ : คุณชนินทร์ อรุโณทัย ชมรมนักโบราณคดี(สมัครเล่น)เมืองสุพรรณ


black ribbon.