ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,813 รายการ
สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญเข้าร่วมโครงการเผยแพร่ความรู้ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ฯ ประจำปี 2567 รับฟังการบรรยาย เรื่อง “กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ กับมรดกภูมิปัญญาทางภาษาและวัฒนธรรม” วิทยากรโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ศานติ ภักดีคำ รองเลขาธิการราชบัณฑิตยสภา ในวันพฤหัสบดี ที่ 22 สิงหาคม 2567 เวลา 13.30 - 16.30 น. ณ อาคารดำรงราชานุภาพ 2490 ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ และยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live : National Library of Thailand สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 08 6891 2548, 08 9545 3194
ผู้แต่ง : ฝอยทอง สมวถา (สมบัติ)ปีที่พิมพ์ : 2546 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : นพบุรีการพิมพ์ เล่าขานตำนานเมืองแจ๋ม เรื่องราวจากการบอกเล่าและเรื่องเล่าในท้องถิ่น ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ แม่แจ๋มงดงาม เพราะยังคงความเป็นพื้นบ้านพื้นเมืองไว้ได้มากกว่าเมืองอื่นๆ จากวิถีชีวิตที่งดงาม มีมนต์ขลังรางเมืองลับแลอันลึกลับ และเร้าใจจากสองข้างทางที่ผ่านไปในเมือง แม่แจ๋มมีความดีงาม ความงามอยู่ในตัว ไม่อยากให้สูญเสียความดีงามนี้ไป จงรักษาไว้เถิด เป็นตัวของตัวเอง และถึงแม้จะเป็นเมืองหลังเขาแต่ทรงเสน่ห์เสมอ
กสารองค์ความรู้เกี่ยวกับพระเมรุ ในพิธียกเสาพระเมรุงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ บริเวณท้องสนามหลวงด้านทิศใต้
การก่อสร้างพระเมรุและอาคารประกอบในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
คณะกรรมการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี มอบหมายให้ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบออกแบบก่อสร้างพระเมรุและอาคารประกอบ
กรมศิลปากรได้เชิญพลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรมไทย เป็นผู้ออกแบบ เป็นที่ปรึกษาและควบคุมการก่อสร้างพระเมรุและอาคารประกอบ ตลอดถึงการจัดสร้างพระโกศจันทน์ การบูรณะซ่อมแซมราชรถและพระยานมาศทุกองค์เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีครั้งนี้
ในการนี้ พลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น ได้ศึกษาและร่างแบบพระเมรุทรงปราสาทยอดมณฑป นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รูปแบบพระเมรุแล้ว พระราชทานกำหนดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ในวันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕
กรมศิลปากรดำเนินการเขียนแบบ ขยายแบบพระเมรุและอาคารประกอบ ตามขั้นตอนงานช่างอย่างไทยเริ่มงานปรับพื้นที่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศใต้และเตรียมการเบื้องต้นเพื่อการก่อสร้างอาคารประกอบพระเมรุหลังต่างๆ ที่ใช้ในงานพระราชพิธีดังกล่าวให้เสร็จสมบูรณ์อย่างสมพระเกียรติทันตามกำหนดการพระราชพิธี
และในวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ (ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือนยี่) เวลา ๑๑.๕๙ น. คณะกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุ กำหนดให้มีพิธียกเสาพระเมรุ ทั้งนี้เพื่อเป็นการบวงสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบริเวณสนามหลวง เพื่อทำการขออนุญาตปลูกสร้างพระเมรุ และเพื่อความเป็นสิริมงคลของงานการก่อสร้างพระเมรุ คณะกรรมการฯ คณะทำงานฯ ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง
พระเมรุ
คนไทยมีคติความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์เปรียบเสมือนสมมติเทพ เมื่อเสด็จพระราชสมภพถือว่าเป็นเทพอวตาร เมื่อถึงวาระสุดท้ายของพระชนมชีพ คือการเสด็จกลับสู่เทวพิภพ เรียกว่า สวรรคต มีความหมายว่า เสด็จสู่สวรรคาลัย ณ ยอดเขาพระสุเมรุ และตามโบราณราชประเพณีจึงมีการจัดงานถวาย พระเพลิงพระศพ สืบต่อมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน โดยอัญเชิญพระศพไปถวายพระเพลิงบนพระเมรุ ที่สร้างขึ้น ณ มณฑลพิธี ซึ่งสมมติหมายว่าเป็นพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
พระเมรุสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นอาคารทรงปราสาทยอดมณฑป หลังคาจัตุรมุขซ้อนสองชั้น สร้างขึ้นบนฐานชาลาใหญ่ จากฐานชาลาถึงยอดฉัตรสูง ๓๕.๕๙ เมตร มุขหน้าด้านทิศตะวันตกเป็นทางเสด็จพระราชดำเนิน มุขด้านทิศเหนือมีสะพานเกรินสำหรับอัญเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระจิตกาธานภายในพระเมรุ มุขหลังด้านทิศตะวันออกเป็นพื้นที่วางเตาเผาพระศพ บริเวณฐานชาลาทุกด้านมีบันไดทางขึ้นลง รายล้อมด้วยรั้วราชวัติ ฉัตร โคม และเทวดาอัญเชิญฉัตรประกอบพระอิสริยยศ
เครื่องยอดพระเมรุ เป็นทรงมณฑปมีชั้นเชิงกลอน ๕ ชั้น แต่ละชั้นมีซุ้มบันแถลงซ้อน ๒ ชั้น มุมหลังคา มีนาคปัก ส่วนบนเป็นองค์ระฆังรับบัลลังก์ เหนือบัลลังก์เป็นชุดบัวคลุ่ม ๕ ชั้น ปลียอดแบ่งสองส่วนคั่นด้วยลูกแก้ว บนยอดมีเม็ดน้ำค้าง เหนือสุดปักเบญจปฎลเศวตฉัตร หน้าบันทั้ง ๔ ด้านประดับอักษรพระนาม “พร” โครงสีของพระเมรุโดยรวมเป็นสีทองและสีชมพู ตามสีวันพระราชสมภพ คือวันอังคาร
ภายในพระเมรุตั้งพระจิตกาธาน ประดิษฐานพระโกศไม้จันทน์ ส่วนบนสุดประดับฉัตรผ้า ๕ ชั้น
การตกแต่งพระเมรุ ใช้งานศิลปกรรมแบบซ้อนไม้ทดแทนการแกะสลักไม้จริง เป็นลักษณะพิเศษที่ใช้ในงานพระเมรุ อันถือเป็นงานลำลองสำหรับอาคารใช้งานชั่วคราว งานพระเมรุครั้งนี้ มีแนวคิดที่ลดการใช้ไม้ ซึ่งเป็นวัสดุหายาก จึงเสริมบางส่วนที่เป็นงานซ้อนไม้ด้วยวิธีการปั้นหล่อถอดพิมพ์ไฟเบอร์กลาส การประดับตกแต่งส่วนอื่นๆ ใช้การปิดผ้าทองย่นสาบสีสอดแววแทนการปิดทองประดับกระจก
ซ่าง
ซ่าง คืออาคารที่สร้างบนฐานชาลาพระเมรุทั้ง ๔ มุม เป็นที่สำหรับพระพิธีธรรม ๔ ชุดสลับกันสวดพระอภิธรรม ตั้งแต่เชิญพระโกศพระศพประดิษฐานบนพระจิตกาธานจนเสร็จการพระราชทานเพลิง
หอเปลื้อง
หอเปลื้องเป็นอาคารขนาดเล็กชั้นเดียวหลังคาจั่ว ตกแต่งผนัง ๔ ด้าน เป็นฝาปะกนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระเมรุ เป็นที่เก็บพระโกศและเครื่องประกอบ หลังจากที่เปลื้องออกจากพระลองแล้ว และสำหรับเก็บเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดในช่วงการพระราชทานเพลิงพระศพ
พระที่นั่งทรงธรรม
พระที่นั่งทรงธรรม ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของพระเมรุ สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับขณะบำเพ็ญพระราชกุศล มีบริเวณสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ทูตานุทูต นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับเสด็จ
พระที่นั่งองค์นี้มีลักษณะเป็นอาคารโถง หลังคาจัตุรมุข ยกพื้นสูง หลังคาจั่วมีกันสาดปีกนก ด้านหน้าและด้านข้างต่อเป็นหลังคาปะรำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้สอย มุขด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกหรือมุขหน้าและหลัง เป็นมุขประเจิด
การที่สถาปนิกออกแบบให้พระนั่งทรงธรรมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่พระเมรุ เนื่องจากพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจะเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงค่ำ ร่มเงาของพระที่นั่งทรงธรรม จะทอดสู่ลานและบันไดทางเสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระเมรุ อีกทั้งผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งทรงธรรม จะแลเห็น แสงเงาและสีสันอันงดงามของพระเมรุที่สะท้อนแสงอาทิตย์ในช่วงบ่ายถึงเย็น
พลับพลายกสนามหลวง
พลับพลายกสนามหลวง ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าปริมณฑลท้องสนามหลวงเป็นอาคารโถง สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ประทับขณะประกอบพิธีอัญเชิญพระโกศจากพระเวชยันตราชรถเข้าสู่มณฑลพิธี ผังอาคารเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ส่วนกลางยกฐานสูง หลังคาจั่วตรีมุข มีมุขลดชั้น มุงด้วยเหล็กรีดลอน ปีกซ้ายขวาเป็นหลังคาเต็นท์ผ้าใบกันน้ำสำเร็จรูปทรงจั่ว แบบเดียวกับทิมและทับเกษตร
ศาลาลูกขุน
ศาลาลูกขุนหรือศาลาข้าราชการ ใช้เป็นที่สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าฯรับเสด็จและร่วมพิธี เป็นอาคารโล่งชั้นเดียว ในครั้งนี้มีการปรับประยุกต์ใช้เต็นท์สำเร็จรูปเป็นโครงอาคาร และได้ออกแบบองค์ประกอบและลวดลายทางสถาปัตยกรรมไทย ตกแต่งให้เข้ากับหลังคาเต็นท์โค้ง
ทับเกษตร
ทับเกษตรหรือคด หมายถึงอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงขอบเขตมณฑลพิธี มักสร้างเป็นระเบียงล้อมรอบพระเมรุ ใช้เป็นที่นั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มาร่วมงาน ส่วนกลางทับเกษตรเป็นอาคารยอดมณฑป ชั้นเชิงกลอนประดับด้วยซุ้มบันแถลงและนาคปักที่มุมทั้งสี่ บนหลังคาอาคารส่วนที่เป็นปีกทั้งสองด้านประดับฉัตรผ้าทองแผ่ลวด
ทิม
ทิม คือที่พักของพระสงฆ์ แพทย์หลวง และเจ้าพนักงาน และเป็นที่ประโคมปี่พาทย์ประกอบพิธีสร้างติดแนวรั้วราชวัติ มีลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียว หลังคาใช้เต็นท์ผ้าใบกันน้ำทรงจั่ว ตกแต่งปลายจั่วเป็นหน้าเหรา ยอดเป็นหน้ากาล ซึ่งเป็นแบบลายมาตรฐานในอาคารประกอบพระเมรุ คือพลับพลายกท้องสนามหลวง พลับพลายกหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และทับเกษตร อีกด้วย
รั้วราชวัติและเสาโคม
รั้วราชวัติเป็นแนวกำหนดขอบเขตปริมณฑลพระเมรุ สร้างต่อเนื่องไปกับทิมและทับเกษตร รั้วเป็นเหล็กโปร่ง สูง ๙๐ เซนติเมตร ประดับดอกประจำยามหล่อด้วยไฟเบอร์กลาส ตกแต่งเสารั้วด้วยโคมไฟแก้วใสขนาดเล็ก
เสาโคมส่องสว่าง ตั้งอยู่ที่ทางเข้าทั้งสี่ด้าน และเรียงรายอยู่ใน เขตมณฑลพิธี ยอดเสาเป็นโคมแก้วใสลักษณะเดียวกับที่รั้วราชวัติ แต่มีขนาดใหญ่กว่า ยอดโคมเป็นยอดมงกุฎสีทอง เพื่อแทนความหมายของการเป็นดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พลับพลายก หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พลับพลายก หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตั้งอยู่มุมกำแพงวัด เยื้องกรมการรักษาดินแดน เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ขณะเชิญพระโกศจากพระยานมาศขึ้นสู่ราชรถ เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ส่วนกลางยกฐานสูง หลังคาจัตุรมุข มีมุขลดชั้น มุงด้วยเหล็กรีดลอน ปีกซ้ายขวาเป็นหลังคาเต็นท์ผ้าใบกันน้ำสำเร็จรูปทรงจั่ว
พลับพลายกหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท
พลับพลายกหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท เป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน ขณะทอดพระเนตรกระบวนแห่พระโกศ มีลักษณะเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาทรงปะรำ (หลังคาเรียบ) ประดับตกแต่งด้วยกระจังลายดอกไม้ประดิษฐ์ ลูกฟักผนังอาคารเป็นลายโค้ง มีความนุ่มนวลเหมาะกับการเป็นอาคารที่ประทับของเจ้านายผู้หญิง
เกยลา
เกยลา ตั้งอยู่ด้านนอกประตูกำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง มีลักษณะเป็นแท่นฐานยกพื้นสี่เหลี่ยมย่อมุม มีรางเลื่อนสำหรับเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานบนพระยานมาศ
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารกรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง
เล่มที่
ตอนที่
หน้า
วันที่ประกาศ
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
107
๑๖ ง
789
๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
107
๑๖ ง
790
๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน [โบราณสถานตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร]
107
๑๖ ง
791
๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน [โบราณสถานวัดกันมาตุยาราม]
107
๑๖ ง
792
๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน [โบราณสถานศาลากลางและศาลจังหวัดสิงห์บุรี]
107
๑๖ ง
793
๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
107
๒๗ ง ฉบับพิเศษ
41
๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง แก้ไขประกาศขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ
107
๔๒ ง
2139
๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
107
๔๙ ง
2363
๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน [โรงเรียนฤทธิณรงค์รอน แขวงท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร]
107
๗๐ ง
3285
๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
107
๑๑๓ ง
5064
๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
107
๑๑๓ ง
5065
๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
107
๑๑๓ ง
5066
๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
107
๑๑๓ ง
5067
๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
107
๑๒๗ ง
5834
๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
107
๑๒๗ ง
5835
๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง เพิกถอนทะเบียนโบราณสถาน
107
๑๗๖ ง
7635
๑๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ
107
๑๙๒ ง ฉบับพิเศษ
1
๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกระทำการแทน
107
๒๓๙ ง ฉบับพิเศษ
22
๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๓
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ (รวม ๔๓๘ รายการ)
108
๗๐ ง ฉบับพิเศษ
1
๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๔
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน (วัดบ้านตาทอง (ร้าง) ตำบลบางคลาน อำเภอ โพทะเล, วัดโคกโบสถ์ตาลอย (ร้าง ตำบลท่าบัว อำเภอโพทะเล, วัดโคกมะเดื่อ (ร้าง) ตำบลท่าบัว อำเภอโพทะเล เขตท้องที่จังหวัดพิจิตร)
108
๙๖ ง
5096
๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๔
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมความในประกาศขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ
108
๑๑๓ ง
6079
๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๔
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ [รวม ๑๘๔ รายการ]
108
๑๘๘ ง ฉบับพิเศษ
1
๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๔
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ (พระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่อง)
108
๒๓๕ ง ฉบับพิเศษ
1
๒๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๔
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ (เทวรูป ชนิดหิน ศิลปะแบบเขมร (นครวัดตอนปลาย))
108
๒๓๕ ง ฉบับพิเศษ
2
๒๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๔
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน [๑ โบราณสถานวัดท่าแค ๒ โบราณสถานบริเวณที่ดินวังเจ้าเมืองเก่าวังใหม่ ๓ โบราณสถานที่ฝังศพวิลันดา (ฮอลันดา)]
109
๙๐ ง
7812
๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน [โบราณสถานหมายเลข ๐๐๗, ๐๒๔ หมายเลข ๒๓ (๑๓๑) หมายเลข ๑๐๙ บ้านโคกวัด หมายเลข ๐๔๕ บ้านสระมะเขือ จังหวัดปราจีนบุรี ]
109
๙๓ ง
8056
๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดขอบเขตโบราณสถาน [พระนครคีรี]
109
๙๔ ง
8160
๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน [วัดโคกโบสถ์หลวงพ่อโต วัดท่าทังทวย]
109
๙๘ ง
8376
๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน
109
๑๐๙ ง
9452
๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดให้เข้าชมโบราณสถานที่มีเจ้าของ หรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยเรียกเก็บค่าเข้าชมหรือค่าบริการอื่น
109
๑๑๙ ง
10182
๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแสดงโบราณวัตถุ หรือศิลปวัตถุ โดยเรียกเก็บค่าเข้าชมหรือค่าบริการอื่น
109
๑๑๙ ง
10184
๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งปริมาณ รูปพรรณ และสถานที่เก็บรักษาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่มีอายุตั้งแต่สมัยอยุธยาขึ้นไป
109
๑๑๙ ง
10187
๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน
109
๑๑๙ ง
10190
๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ
109
๑๔๗ ง ฉบับพิเศษ
1
๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๕
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง เพิกถอนและแก้ไขขอบเขตโบราณสถาน
110
๑๔ ง
24
๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
110
๑๗๔ ง
26
๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง อัตราค่าธรรมเนียมและวิธีการยื่นคำขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ในเขตโบราณสถาน
110
๑๘๓ ง
5
๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
110
๑๘๖ ง ฉบับพิเศษ
10
๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง แก้ไขขอบเขตที่ดินโบราณสถาน
110
๑๘๖ ง ฉบับพิเศษ
11
๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ
110
๑๙๔ ง ฉบับพิเศษ
1
๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
110
๒๑๗ ง ฉบับพิเศษ
67
๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
110
๒๒๐ ง ฉบับพิเศษ
15
๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
110
๒๒๐ ง ฉบับพิเศษ
18
๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
110
๒๒๐ ง ฉบับพิเศษ
19
๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๖
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน (๑. โบราณสถานเขาภูปลาร้า (เขาปลาร้า) ๒. โบราณสถานวัดเขาหน่อ ๓. โบราณสถานพระตำหนักเขาน้อย ๔. โบราณสถานคูและกำแพงเมืองร้อยเอ็ด)
111
๒๐ ง
21
๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๗
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง กำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
111
๕๒ ง
48
๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๗
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน [ปราสาทบ้านหลุ่งตะเคียน จังหวัดนครราชสีมา]
111
พิเศษ ๕๖ ง
23
๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ [โบราณวัตถุและศิลปวัตถุ ที่มิได้อยู่ในความครอบครองของกรมศิลปากร จำนวน ๒๘๒ รายการ]
111
๖๓ ง
1
๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน
111
๗๑ ง
15
๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๗
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน [พระตำหนักเจ้าปลูก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา]
111
๘๑ ง
11
๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน [แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท จังหวัดนครราชสีมา]
111
๘๕ ง
52
๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗
ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน [โบราณสถานในจังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดอุบลราชธานี]
111
๘๕ ง
53
๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗
นอกจากที่เที่ยวดังๆ ของเมืองกาญจน์อย่าง สะพานข้ามแม่น้ำแคว กาญจนบุรี อนุสรณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา หรือ น้ำตกเอราวัณ แล้ว ที่กาญจนบุรียังมีศิลปะยุคโบราณอย่างปราสาทหินอีกด้วยค่ะ ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีที่นี่ โดยปกติแล้ว เรามักเห็นศิลปะ หรือ สถาปัตยกรรมแบบขอมในแถบจังหวัดทางภาคอีสานของบ้านเราเป็นส่วนใหญ่ แต่น้อยนักที่จะเห็นสถาปัตยกรรมขอมในแถบทางภาคตะวันตก ซึ่ง อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ หรือ ปราสาทเมืองสิงห์ แห่งนี้ก็เป็นโบราณสถานเพียงแห่งเดียวที่เป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบขอม ที่ตั้งอยู่ในเมืองกาญจนบุรี ค่ะ
รู้จักปราสาทเมืองสิงห์
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ นี้ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยใน ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ค่ะ ปราสาทเมืองสิงห์ นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน ซึ่งมีสถาปัตยกรรม และปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์นักสร้างปราสาทแห่งขอม จากการขุดแต่งของกรมศิลปากร พบศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งคือ พระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชาอีกด้วย
จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกโดย พระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จารึกชื่อเมือง 23 เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างไว้ มีเมืองชื่อ ศรีชัยสิงห์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าคือเมือง ปราสาทเมืองสิงห์ นี่เอง
นอกจากนี้ยังมีอีกแนวความคิดเกี่ยวกับที่มาของปราสาทเมืองสิงห์ที่เชื่อว่า น่าจะเป็นการก่อสร้างเลียนแบบปราสาทขอม สมัยหลังรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และไม่น่าจะเกี่ยวข้องอันใดกับชื่อเมืองศรีชัยสิงห์บุรี หรือศรีชัยสิงห์บุรี ในจารึก เนื่องจากเห็นว่า ลักษณะทางสถาปัตยกรรมขาดความสมดุล และความลงตัว อีกทั้งเกิดความคลาดเคลื่อนในการวางตำแหน่งอาคาร ตลอดจนจารึกที่ฐานหินทรายรองรับประติมากรรมเป็นตัวอักษรและภาษาขอมสมัยหลังเมืองพระนคร หรือหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ค่ะ
เดินชิลล์เที่ยวชมสถาปัตยกรรม
เมื่อเราเข้ามาภายในบริเวณปราสาทเมืองสิงห์จะมีป้าย QR Code หลากหลายภาษาทั้ง ไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และจีน อำนวยความสะดวก แนะนำประวัติศาสตร์ และสถานที่สำคัญต่างๆ ของปราสาทเมืองสิงห์ให้กับนักท่องเที่ยวค่ะ
โบราณสถานภายในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์นั้น สามารถแบ่งได้ออกเป็น
โบราณสถานหมายเลข 1 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกลุ่มโบราณสถานค่ะ และประกอบด้วยสิงห์สำคัญคือ ปรางค์ประธาน ระเบียงคด โคปุระ บรรณศาลา และกำแพงแก้ว
โบราณสถานหมายเลข 2 ลักษณะคล้ายคลึงกันกับโบราณสถานหมายเลข 1 ค่ะ มีปรางค์ประธาน โคปุระ 4 ด้าน แต่พังลงมามากบูรณะได้น้อย และเป็นสถานที่ขุดพบเทวรูป
โบราณสถานหมายเลข 1 และโบราณสถานหมายเลข 2 เป็นอาคารที่สันนิษฐานว่า เป็นศาสนสถานที่สำคัญ มีองค์ปรางค์ประธานตั้งอยู่กลางอาคารและเป็นที่ตั้งของรูปเคารพที่สำคัญอีกด้วย การก่อสร้างใช้ศิลาแลงเป็นส่วนวัสดุสำคัญนั่นเอง
โบราณสถานหมายเลข 3 โบราณสถานแห่งนี้อยู่บริเวณนอกกำแพงแก้ว มีลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กสร้างด้วยอิฐและศิลาแลง ซึ่งกรมศิลปากรสันนิษฐานว่า เป็นเจดี 2 องค์
โบราณสถานหมายเลข 4 ตั้งอยู่ใกล้หมายเลข 3 ยังบูรณะอยู่ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า การก่อสร้างอาคารใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุสำคัญ
หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งขุดค้นพบทั้งโครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสำริด ดินเผา เครื่องมือเหล็ก สร้อยคอทำด้วยลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว ซึ่งชี้ชัดว่าชุมชนเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่จะสร้างเมืองสิงห์ เพราะเป็นศพของคนที่ตายมา 2,000 ปีแล้ว สันนิษฐานว่าคงจะยุคเดียวกับคนในชุมชนบ้านเก่าค่ะ
นอกจากนี้ภายในอาคารจัดแสดงวัตถุ ได้มีการจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ขุดค้นพบในบริเวณปราสาทเมืองสิงห์อีกมากมายค่ะ ทั้งศีรษะพระศิวะ แม่พิมพ์พระพุทธรูป ภาชนะดินเผา และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งเป็นรูปจำลอง เพราะกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครค่ะ
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ตั้งอยู่ที่ ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
การเดินทาง ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 เส้นทางสายกาญจนบุรี – ไทรโยค จนถึงกิโลเมตรที่ 15 จะมีทางแยกซ้ายไปปราสาทเมืองสิงห์อีก 7 กิโลเมตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๒เวลา ๐๙.๓๐ น.คณะครูและนักเรียนโรงเรียนพัฒนาเด็กอ.เมือง จ.ขอนแก่นจำนวน ๓๕ คนเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่นโดยมีนางแพรว ธนภัทรพรชัย และนักศึกษาฝึกประสบการณ์ ๓ คน คือ นางสาวรมินทร์กร พูนนาม นายสัมฤทธิ์ ภูดวง และนายวัชรวิทย์ ปัญญะพงษ์ เป็นวิทยากรนำชม
วันที่ ๙ พ.ย. ๒๕๕๘ สำนักช่างสิบหมู่ได้มีโอกาสบันทึกเทปโทรทัศน์ในรายการ "Natcha The Explorer"
พร้อมทำภารกิจกับน้องณัชชา โดยมีนายช่างของเรา เป็นผู้ให้คำแนะนำ
ภารกิจในครั้งนี้คืออะไร? และน้องณัชชาจะผ่านไปได้หรือไม่ รอติดตามชมได้ในรายการ "Natcha The Explorer"
วันที่ ๑-๓ เมษายน ๒๕๖๒ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา ร่วมจัดงานวันอนุรักษ์มรดกไทย ณ ลานอนุเสาวรีย์ท้าวสุรนารี
หนังสือ เรื่องราวของคณะสังฆราชฝรั่งเศสในราชอาณาจักรสยามผู้ประพันธ์ได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 ภาค1. ภาคจากเรื่องราวราชอาณาจักรสยาม2. จากอาณาจักรโคจิจีน3. จากอาณาจักรเขมร4. จากอาณาจักรตังเกี๋ย