ผนังลูกกรงช่องแสง วิหารวัดพระนอน เมืองกำแพงเพชร……………………………………………………………..ช่องแสง คือช่องที่เจาะส่วนของผนังอาคารที่ทำหน้าที่เป็นบานหน้าต่าง ให้แสงสว่างสาดส่องถึง และให้อากาศสามารถถ่ายเทเข้ามายังภายในอาคาร รวมทั้งใช้ในการเป็นช่องเพื่อมองดูภายนอกอาคารนั้นได้ โดยในแต่ละช่องแสงนั้น จะคั่นด้วยเสาลูกกรง ก่อด้วยวัสดุต่าง ๆ อาทิ อิฐ หิน ศิลาแลง ส่วนใหญ่มีการฉาบปูนที่ผิว รวมทั้งมีการประดับลวดลายปูนปั้น เช่น วิหารวัดนางพญาแห่งเมืองศรีสัชนาลัย ที่มีการเจาะช่องแสงให้เป็นแนวแทนช่องหน้าต่าง และประดับปูนปั้นลวดลายพรรณพฤกษาและลายประดิษฐ์บนผนัง แบบเดียวกับลายประดับที่พระปรางค์วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก ที่พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ ระบุว่า “...ศักราช ๘๒๖ วอกศก (พ.ศ.๒๐๐๗) สมเด็จพระบรมไตรโลกเจ้า สร้างพระวิหารวัดจุฬามณี...” ซึ่งวิหารดังกล่าวก็มีการเจาะผนังให้เป็นลูกกรงช่องแสงเช่นเดียวกันเมืองกำแพงเพชรได้ปรากฏอาคารที่มีผนังลูกกรงช่องแสงที่วัดพระนอน ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือที่เป็นเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชร ผังวัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของวัดใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง มีเจดีย์ทรงระฆังเป็นเจดีย์ประธานของวัด มีโบสถ์ตั้งอยู่ตอนหน้าสุดทางด้านทิศตะวันออกของวัด ถัดจากโบสถ์ไปทางด้านทิศตะวันตกเป็นวิหาร แผนผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดความกว้างด้านละ ๒๔.๔๐ เมตร ความสูงปัจจุบัน ๔.๔๐ เมตร ก่อเป็นฐานหน้ากระดานและบัวคว่ำ ภายในอาคารมีแท่นอาสนสงฆ์และแท่นฐานชุกชีที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปในอิริยาบถไสยาสน์(นอน) องค์พระพุทธรูปพังทลายคงเหลือแต่ส่วนโกลนของพระบาทที่บริเวณด้านทิศเหนือของแท่นฐานชุกชี ผนังของวิหารก่อเรียงด้วยศิลาแลง และเจาะผนังเป็นลูกกรงช่องแสงทั้ง ๔ ด้าน สูง ๑.๘๐ เมตร โดยผนังด้านทิศเหนือและทิศใต้ มีลูกกรงช่องแสงด้านละ ๖ ช่อง ส่วนผนังด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีลูกกรงช่องแสงด้านละ ๓ ช่อง แต่ละช่องมีเสาลูกกรงก่อด้วยศิลาแลงสอปูนและฉาบปูนที่ผิวด้านนอก โดยลูกกรงช่องแสงด้านทิศเหนือและทิศใต้ มีเสาลูกกรงช่องละ ๔ และ ๕ เสา ส่วนด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีเสาลูกกรงช่องละ ๗ เสา สามารถศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเทียบเคียงได้กับผนังลูกกรงช่องแสงของวิหารวัดนางพญาแห่งเมืองศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย และวิหารวัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก จึงสันนิษฐานได้ว่าวิหารวัดพระนอน มีอายุสมัยในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑การเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง”ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ ได้เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรโบราณในเขตอรัญญิก ในระหว่างวันที่ ๑๕ – ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๐ และได้ทรงมีพระราชนิพนธ์บรรยายเกี่ยวกับวัดพระนอน ดังนี้ “…ที่วัดพระนอนนั้นยังมีชิ้นสำคัญอยู่ คือวิหารพระนอน ซึ่งทำด้วยฝีมือดี การก่อสร้างใช้แลงทั้งนั้น เสาเป็นเสากลมก่อด้วยแลงก้อนใหญ่ ๆ รูปอย่างศิลาโม่ ก้อนใหญ่ ๆ และหนา ๆ มาก ผนังวิหารมีเป็นช่องลูกกรง ลูกกรงทำด้วยแลงแท่งสี่เหลี่ยม สูงราว ๓ ศอก ดูทางข้างนอกงามดีมาก…” เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. นำชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ: บริษัทบางกอกอินเฮ้าส์จำกัด, ๒๕๖๑.กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณ. ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๑. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทย, ๒๔๕๗.ดำรงค์ฤทธิ์ สมบูรณ์ศิริ. “องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมรูปอาคาร ในวัดพระนอน ภายในเขตอรัญญิก อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร” สาระนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๒๕.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. เที่ยวเมืองพระร่วง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๒๖.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๑.