ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 40,643 รายการ

ชื่อเรื่อง : นิทานเทียบสุภาษิต ฉบับ พระสุวรรณรัศมี (ทองคำ สีหอุไร) ภาคที่ 2 และภาคที่ 3 พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ จ.ส.ต. วิชัย เจตสิกทัต ณ เมรุวัดดอนตูม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี วันที่ 18 เมษายน 2508 ชื่อผู้แต่ง : สุวรรณรัศมี ปีที่พิมพ์ : 2508 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ จำนวนหน้า : 70 หน้า สาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเนื่องในงานฌาปนกิจศพ จ.ส.ต.วิชัย เจตสิกทัต หนังสือเรื่องนิทานเทียบสุภาษิตนี้เป็นเรื่องที่มีคุณค่า เป็นแนวทางสอนที่ดีให้ยึดถือปฏิบัติซึ่งพระยาสีหราชฤทธิไกร (ทองคำ สีหอุไร) หรือพระสุวรรณรัศมี ได้รวบรวมแต่งไว้เป็นนิทาน 84 เรื่อง ในเล่มนี้ ประกอบด้วย เรื่องที่ 1-16




พระอังคารพระอิศวรทรงสร้างจากกระบือ ๘ ตัว บดป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีชมพูหม่น พรมด้วยน้ำอมฤตได้บุรุษผิวสีทองแดง ทรงกระบือเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ มีอารมณ์มุทะลุ ตึงตัง ชอบใช้กำลัง ใจร้อน เป็นมิตรกับพระศุกร์ และเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์ สัญลักษณ์เลข ๓ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๘


สุรินทราชา, พระยา.  ความพยาบาท โดย แม่วัน.  พิมพ์ครั้งที่ 7.  พระนคร: ก้าวหน้า, 2491.        ความพยาบาทเป็นนวนิยายแปลเรื่องแรกของไทยโดย “แม่วัน” ซึ่งเป็นนามปากกาของพระยาสุรินทราชา (นกยูง  วิเศษกุล) ผู้แปลและเรียบเรียงมาจากเรื่อง Vendetta ของนักประพันธ์หญิงชาวอังกฤษชื่อ มารี  คอเรลลี่ ( Marie Correlli )


ชื่อเรื่อง                         ธมฺมบทวณฺณนา ธมฺมบทฏฺฐกถา (ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา) อย.บ.                            327/14 หมวดหมู่                       พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                   54 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 53 ซม. หัวเรื่อง                         พระธรรมเทศนา                                                                       บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา


#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ เงินเจียงอาณาจักรล้านนามีการคิดค้นพัฒนาระบบเงินตราขึ้นเป็นของตัวเอง เรียกว่า “เงินเจียง” โดยทำจากเนื้อเงินผสมสูง ทำให้เป็นเงินตราที่มีค่าสูงสุดของอาณาจักร คำว่า เงินเจียง เรียกตามสำเนียงพื้นเมืองทางภาคเหนือ มาจากคำว่า เชียง ซึ่งเป็นคำหน้าชื่อเมือง.ลักษณะเงินเจียงมีรูปทรงคล้ายเกือกม้าสองวงเชื่อมต่อกัน ตรงกลางระหว่างรอยต่อตอกด้วยสิ่วจนเกือบแยกขาดออกจากกัน เพื่อใช้สำหรับหักครึ่งเมื่อต้องมีการทอนค่าเงินลง และมีการประทับตราลงบนเงิน โดยแบ่งออกเป็น 3 ตรา คือ 1. ชื่อเมือง เพื่อระบุแหล่งที่ผลิตขึ้น จะระบุเป็นตัวอักษรย่อ ตัวอย่างเช่น แสน = เชียงแสน / หม = เชียงใหม่ / นาน = น่าน / คอนหรือดอน = ลำปาง / แพร = แพร่ เป็นต้น 2. ตัวเลขที่ใช้บอกน้ำหนักของเงิน โดยเงินเจียงขนาดใหญ่ หนักเท่ากับ 5 บาทของล้านนา เมื่อเทียบกับเงินพดด้วงของสุโขทัยและอยุธยาแล้วจะหนักเท่ากับ 4 บาท หรือ 1 ตำลึง และแบบขนาดเล็ก หนัก 2 บาทครึ่ง 1 บาท กึ่งบาท และอันละเฟื้อง ตามระบบน้ำหนักมาตรฐานของเงินพดด้วง3. ตราจักรประจำเมือง หรือ ตราของผู้ครองเมือง จะเป็นตราดวงกลม.อ้างอิง- นวรัตน์ เลขะกุล. เงินตราล้านนาและผ้าไท. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง, 2543. หน้า 25, 34-35.- ธนาคารแห่งประเทศไทย. “เงินตราสมัยล้านนา”. เข้าถึงเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 จาก https://www.bot.or.th/.../Northern/Pages/T-Lannacoin.aspx


ชื่อเรื่อง                         มหานิปาต(เวสฺสนฺตรชาดก)ชาตกปาลิขุทฺทกนิกาย(คาถาพัน)อย.บ.                            170/2ฆหมวดหมู่                       พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                  76 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                         มหาเวสสันดรชาดก                                                               บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา


          กองโบราณคดี โดยกลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี ร่วมกับมูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา จัดโครงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทย ครั้งที่ 2 หัวข้อ “จากโบราณคดีบนความขัดแย้งสู่องค์ความรู้ก่อนประวัติศาสตร์ไทย” เปิดรับสมัครอาสาผู้มีวิชาชีพครู จำกัดจำนวนเพียง 30 ท่าน เข้าร่วมโครงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทย ระหว่างวันที่ 4-5 พฤศจิกายน 2566 ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และได้รับเกียรติบัตรจากกรมศิลปากร            โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อนำอาสาเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเชิงโบราณคดีแห่งความขัดแย้ง (Conflict Archaeology) จากสงครามโลก ครั้งที่ 2 อันนำมาซึ่งการค้นพบและการศึกษาโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistoric Archaeology) ในประเทศไทย ถ่ายทอดองค์ความรู้โดยคณะวิทยากรจากกรมศิลปากร อาทิ คุณสุภมาศ ดวงสกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี, ดร.ภัทรวรรณ พงศ์ศิลป์ กองโบราณคดี และคุณศุภภัสสร หิรัญเตียรณสกุล สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี           อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเพจเฟสบุ๊ก มูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา (https://www.facebook.com/Suthiratfoundation)


วันปิยมหาราช ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า “พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน” ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็น “วันปิยมหาราช” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 พระนามเดิมว่า “สมเด็จ เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์” เมื่อพระชนม์ 9 พรรษาได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ ต่อมาอีก 4 ปี ได้เลื่อนเป็น “กรมขุนพินิตประชานาถ” เสด็จขึ้นครองราชย์ มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ พระมหาอุปราช เมื่อมีพระชนมายุใกล้บรรลุนิติภาวะได้ทรงผนวชเป็นภิกษุ เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2416 และลาผนวช เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2416 แล้วโปรดให้มีกสารราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2416 เพื่อแสดงให้ประชาชนและชาวต่างชาติทราบว่าพระองค์ทรงรับผิดชอบในการปกครองบ้านเมืองด้วยพระองค์เองแล้ว พระราชกรณียกิจที่สำคัญ ได้แก่ การเลิกทาส การปฏิรูประเบียบบริหารราชการ การศึกษา การศาล การคมนาคม การสุขาภิบาล ฯลฯ การเลิกทาส พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้มีการเลิกทาสให้เป็นไทตั้งแต่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ด้วยทรงไม่ต้องการให้มีการกดขี่เหยียดหยามคนไทยด้วยกันเอง และทรงเห็นว่าการมีทาสเป็นสิ่งที่ล้าสมัย ไม่เหมาะกับประเทศที่เจริญแล้ว พระองค์ได้ทำการปรึกษาราชการแผ่นดินในหลายฝ่ายเพื่อหาวิธีไม่ให้มีเหตุกระทบกระเทือนต่อตัวทาสและเจ้าของทาส ดังนั้นในปี พ.ศ. 2416 พระองค์ได้ทรงตราพระราชบัญญัติทาส ห้ามคนที่เกิดในรัชกาลปัจจุบันเป็นทาส และต่อมาพระองค์ทรงตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2417 ด้วยพระวิริยะอุตสาหะทำให้ทรงประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการปลดปล่อยทาสให้เป็นไทโดยไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว นอกจากนี้ การเสด็จประพาสต้น ก็เป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด ดังนั้น จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการเสด็จพระราชดำเนินเป็นการลับทางรถไฟหรือไม่ก็ทางเรือ ทรงแต่งพระองค์อย่างสามัญชน เพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สิริรวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัตินานถึง 42 ปี นับเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ด้วยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่พระปรีชาสามารถ และเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรไทย สมกับพระราชสมัญญา "พระปิยมหาราช” ซึ่งแปลความหมายว่า "พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน”



ชื่อผู้แต่ง                  - ชื่อเรื่อง                    ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่จันทร์ ครั้งที่พิมพ์                - สถานที่พิมพ์             กรุงเทพ ฯ สำนักพิมพ์               โรงพิมพ์บำรุงนุกุลกิจ ปีที่พิมพ์                   ๒๕๒๒ จำนวนหน้า              ๒๗๓ หน้า หมายเหตุ                 จัดพิมพ์ในงานเสด็จพระราชดำเนิน พระราชทานเพลิงศพพระเทพสิทธาจารย์ (เขมิยเถระ จันทร์ สุวรรณมาโจ) รายละเอียด              หนังสือที่ระลึกงานศพท่านเจ้าคุณปู่พระเทพสิทธาจารย์ (เขนิโย จันทร์ สุวรรณมาโจ) วัดศรีเทพประดิษฐาราม จ. นครพนม เนื้อหาสาระของหนังสือเป็นการรวมเรื่องจากหนังสือหลายเรื่อง เช่น ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่บุญญาธิการหลวงปู่ ชีวประวัติย่อ พระธรรมเทพเทศนาสั่งสอนประชนชนหลวงปู่และโอวาท.



ชื่อเรื่อง                    สพ.ส.66 ตำรายาแผนโบราณประเภทวัสดุ/มีเดีย       สมุดไทยดำISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                  เวชศาสตร์ลักษณะวัสดุ              29; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง                    ตำรายาแผนโบราณ                    ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   ประวัติวัดอู่ทอง ต.โคกคราม  อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ 


         สิงห์สำริด          แบบศิลปะ : ทวารวดี          ชนิด : สำริด          ขนาด : กว้าง 5.5 เซนติเมตร สูง 10.5 เซนติเมตร          อายุสมัย : ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 - 14 (หรือราว 1,200 - 1,300 ปีมาแล้ว)          ลักษณะ : สิงโตเป็นสัตว์สำคัญที่ปรากฏในงานศิลปะมาตั้งแต่สมัยทวารวดีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากประเทศอินเดีย เนื่องจากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ปรากฏสัตว์ดังกล่าวอยู่ในธรรมชาติสิงโตสำริดชิ้นนี้เป็นของหาได้ยาก นอกจากจะมีขนาดเล็กและหล่อด้วยโลหะสำริดแล้ว ฝีมือในการปั้นยังแสดงถึงอารมณ์ และลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ถือเป็นโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมอีกชิ้นหนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง          ประวัติ : ขุดพบที่เจดีย์หมายเลข 13 อำเภออู่ทอง             สถานที่จัดแสดง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/uthong/360/model/24/   ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/uthong


Messenger