ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ


กระทรวงวัฒนธรรมชี้แจงเหตุการณ์ “พระธาตุโนนตาล” พังทลาย - เร่งบูรณะฟื้นฟูคืนคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมอีสาน         กระทรวงวัฒนธรรม โดย นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยถึงกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนเกี่ยวกับเหตุการณ์ พระธาตุโนนตาล โบราณสถานเก่าแก่ในพื้นที่บ้านธาตุ หมู่ 9 ตำบลโนนตาล อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม พังทลายลงทั้งองค์ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 ว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้รับรายงานเบื้องต้นจาก กรมศิลปากร ซึ่งได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที พร้อมประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในขั้นตอนเร่งด่วนทั้งด้านการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ การเก็บรวบรวมวัตถุโบราณ และการวางแนวทางฟื้นฟูบูรณะองค์พระธาตุให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด         นางสาวซาบีดา กล่าวว่า พระธาตุโนนตาลถือเป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่กว่า 121 ปี มีความสำคัญยิ่งต่อชุมชนและชาวจังหวัดนครพนม เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ และเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความศรัทธาและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวอีสาน โดยกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ         ก่อนเกิดเหตุ กรมศิลปากรได้สำรวจพบว่าองค์พระธาตุมีรอยร้าวซึ่งน่าจะมีผลต่อโครงสร้าง จึงได้ดำเนินการเสริมความมั่นคงชั่วคราวไว้ก่อน และในปีงบประมาณนี้ กรมศิลปากรได้รับงบประมาณเพื่อบูรณะซ่อมแซมองค์พระธาตุ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งจัดพิธีบวงสรวงเพื่อเริ่มต้นการดำเนินงานและติดตั้งนั่งร้านเตรียมการบูรณะ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภายในองค์พระธาตุมีความชื้นสะสมและอุ้มน้ำจำนวนมาก จนเกิดการพังทลายลงก่อนที่จะเริ่มกระบวนการบูรณะอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับโบราณสถานเก่าแก่ในหลายพื้นที่เช่นเดียวกัน         ภายหลังเกิดเหตุ กรมศิลปากรได้ประสานให้อำเภอท่าอุเทนและฝ่ายปกครองท้องถิ่นเข้าดำเนินการเบื้องต้นทันที โดยได้ลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจ กั้นพื้นที่บริเวณโดยรอบเพื่อป้องกันอันตรายและมิให้ผู้ใดเข้าไปเคลื่อนย้ายสิ่งของจากซากพระธาตุ พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เวรยามดูแลความเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด จากนั้นในเวลา 16.00 น. สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี ได้จัดประชุมชี้แจงร่วมกับวัดพระธาตุ หน่วยงานท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจและวางแนวทางดำเนินงานร่วมกัน โดยมีการประสานเจ้าหน้าที่จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติร้อยเอ็ด เข้าร่วมสำรวจและเก็บรวบรวมวัตถุโบราณที่อยู่ภายในซากพระธาตุทั้งหมด         นอกจากนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนมได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ร่วมกับอำเภอท่าอุเทน และสำนักศิลปากรที่ 9 เพื่อรายงานผลการดำเนินงานต่อกระทรวงวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กรมศิลปากรได้เริ่มกระบวนการสำรวจความเสียหายโดยละเอียด เพื่อจัดทำแบบแปลนการบูรณะใหม่ตามรูปแบบเดิม โดยมีแนวทางใช้กรอบงบประมาณเดิมที่ได้รับในปีนี้ประกอบกับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในปี 2570 เพื่อดำเนินการบูรณะให้แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์และคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมไว้ครบถ้วน โดยอาศัยแนวทางที่เคยใช้ในการบูรณะพระธาตุพนม         รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นความสูญเสียทางจิตใจของพี่น้องประชาชนชาวนครพนมและชาวไทยทั้งประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์โบราณสถานและมรดกทางวัฒนธรรมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชนทั่วไป กระทรวงวัฒนธรรมจะเร่งดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และเคารพต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้การบูรณะพระธาตุโนนตาลครั้งนี้เป็นแบบอย่างของการฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมที่ยั่งยืน         “ดิฉันขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอยืนยันว่ากระทรวงวัฒนธรรมจะเร่งฟื้นฟูพระธาตุโนนตาลให้กลับมาเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนดังเดิม พร้อมส่งเสริมให้พื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคอีสานต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวในตอนท้าย


***รายการบรรณานุกรม*** หนังสือหายาก กรมศิลปากร.  ละคอน เรื่อง ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา.  พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๔๙๕.


      สำริด ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ เทวรูปองค์นี้ถูกเคลื่อนย้ายจากเมืองโบราณสุโขทัย ไปประดิษฐานไว้ ณ เทวสถาน กรุงเทพมหานคร และนำกลับมาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง ในปี พุทธศักราช ๒๕๐๗ พระหริหระ เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ที่เป็นการรวมพระวิษณุ (หริ) และพระศิวะ (หระ) ให้อยู่ในองค์เดียวกัน โดยนำลักษณะเด่นของแต่ละองค์มารวมไว้ด้วยกันอย่างเหมาะสม พระองค์มี ๔ กร พระหัตถ์ขวาบนทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายบนทรงสังข์ พระหัตถ์ซ้ายล่างทรงดอกบัว สัญลักษณ์ของพระวิษณุ พระหัตถ์ขวาล่างแสดงปางกรัณฑมุทรา เครื่องประดับพระเศียรตกแต่งด้วยลายพันธุ์พฤกษา ยอดเป็นทรงกระบอกคอดเว้า คล้ายมุ่นมวยผม ประดับด้วยรูปพระจันทรืเสี้ยว มีพระเนตรที่ ๓ บริเวณกลางพระนลาฏ ทรงสวมสายธุรำรูปนาค ซึ่งเป็นสัญลักษ์ของพระศิวะ ลักษณะของพระพักตรเป็นรูปไข่ พระเนตรยาวรี พระขนงโก่ง พระนาสิกโด่งงุ้ม พระโอษฐ์บางพระหนุเป็นปมตามรูปแบบพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย พระกรรณสวมกุณฑล ทรงกรองศอ พาหุรัดและทองพระกร พระภูษายาวที่เรียกว่า "โธตี" (ผ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าพันรอบตัว) ด้านหน้าจีบเป็นริ้วแฉก คาดปั้นเหน่งชักชายภูษาโค้งลงมาปิดหัวปั้นเหน่งประทับยืนบนฐานบัวคว่ำ - บัวหงาย      การสร้างเทวรูปซึ่งเป็นรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของศาสนาพราหมณ์ที่มีบทบาทในสังคมพุทธศาสนาในสุโขทัย โดยได้สร้างสรรค์รูปแบบงานศิลปกรรมตามคตินิยมและสุนทรียภาพตามแบบศิลปะไทยที่นิยมในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หรือในสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไทซึ่งตามหลักฐานศิลาจารึก วัดป่ามะม่วง พุทธศักราช ๑๙๐๔ ได้ระบุว่าพระมหาธรรมราชาลิไททรงโปรดให้ประดิษฐานเทวรูป พระศิวะและพระวิษณุไว้ที่หอเทวาลัยมหาเกษตรในป่ามะม่วงนอกกำแพงเมืองสุโขทัยทางด้านตะวันตกเพื่อให้พราหมณ์และดาบสได้บูชา โดยเทวรูปพระหริหระนี้อาจเป็นหนึ่งในเทวรูปที่พระองค์ทรงโปรดให้นำไปประดิษฐานในหอเทวาลัยมหาเกษตร



วันจันทร์ ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ นายวุฒิ สุมิตร รองราชเลขาธิการ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงตัดไม้จันทน์หอม เพื่อนำมาจัดสร้างพระบรมโกศจันทน์ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีนายฉัตรชัย ปิ่นเงิน หัวหน้างานโหรพราหมณ์  เป็นผู้อ่านโองการบวงสรวง มีข้าราชการและประชาชนร่วมงานเป็นจำนวนมาก  อนึ่ง ไม้จันทน์หอมนี้ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช ได้คัดเลือกต้นไม้จันทน์หอมที่ยืนต้นตายตามธรรมชาติ จำนวน ๑๒ ต้น โดยจะดำเนินการตัด และแปรรูป พร้อมนำส่งมอบให้แก่สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร เพื่อนำไปจัดสร้างพระบรมโกศจันทน์ เพื่อใช้ในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในลำดับต่อไป





กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร ตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้น   กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้ ๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙   ๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ - โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท - โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน   ๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว   ๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้ ๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน ๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔ ๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา ๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ ๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อน   หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต



วันอาทิตย์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่ ๑ - ๖ โรงเรียนพรานวิบูลวิทยา ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ นักเรียนจำนวน ๓๘ คน คุณครูจำนวน ๖ คน เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยมีนางสาวอภิญญา สุขใหญ่ พนักงานประจำห้อง ให้การต้อนรับและบรรยายนำชม


โครงการความรู้ในการตรวจสอบพิสูจน์พระพุทธรูปศิลปะพม่า   วันอังคาร ที่ 22 กรกฎาคม 2557   ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก จังหวัดปทุมธานี              การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ในวันนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะต่อยอดความรู้จากการอบรมที่ผ่านมา (เมื่อวันที่ 12 - 15 มีนาคม 2557  ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง)  โดยใช้วัตถุโบราณที่ได้รับจากการตรวจยึดอายัดจากด่านศุลกากรและส่งมอบให้จัดเก็บในคลัง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก (คลังกลาง) จังหวัดปทุมธานี เป็นกรณีศึกษาเพื่อนำความรู้ทั้งหมดที่ได้รับมาจัดการให้เป็นระบบสำหรับพิมพ์เป็นคู่มือปฏิบัติงาน ของบุคลากรในกรมศิลปากรต่อไป ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากท่านวิทยากร คุณอู หยุน ฮั่น และคุณไน หมิ่น เวย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ จากประเทศพม่า    




black ribbon.