ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,356 รายการ
กฐินานิสํสกถา (อานิสํสกถิน)
ชบ.บ.60/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง มิลินฺทปญฺหาสงฺเขป (มิลินทปัญหา)
สพ.บ. 322/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 52 หน้า กว้าง 4.6 ซม. ยาว 56.7 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.282/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 60 หน้า ; 4 x 52 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 118 (240-247) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : สุจินฺทชาดก(สุจินทชาดก)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
พระราชดำรัสด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ “...ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นพิภพนี้มีอยู่จำกัด ในขณะที่ประชากรของโลกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นมาก รวดเร็ว และคนทั้งหลายก็คิดอยากจะประกอบกิจการต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างเกิดขาดแคลน ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะประเทศนั้น ประเทศนี้ แต่เป็นวิกฤตกาลทั่วโลกที่กำลังเป็นอยู่ ทำให้การดำรงชีวิตยากลำบากขึ้นทุกวัน ภาวะเช่นนี้ก็มิใช่จะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว “... หากแต่จะต้องเป็นไปโดยตลอดและจะทวี ความรุนแรงขึ้นต่อไป...” แต่ถ้าทุกฝ่ายเห็นใจกัน มีความรอบรู้และเข้าใจว่าเวลานี้ทั่วโลกเกิดความยากเข็ญเพราะภาวะการเงินปั่นป่วนสั่นสะเทือน เพราะขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ๆ หลายอย่าง แล้วพยายามที่จะอะลุ้มอล่วยกัน ไม่เห็นแต่ประโยชน์ตัวข้างเดียว ต่างฝ่ายต่างตั้งใจที่จะค้ำจุนซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ พอที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสะดวกสบาย...”พระราชดำรัสในพิธีพระราชทานเข็มที่ระลึกแก่ผู้บริจาคโลหิตให้สภากาชาดไทย ประจำปี ๒๕๑๗ ครั้งที่ ๔ ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๑๘ภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
บ่อเกิดแห่งละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ
"ขุนช้างขุนแผน” เป็นวรรณคดีที่มีเค้าจากเรื่องจริงในสมัยกรุงศรีอยุธยาพัฒนามาจากนิทานประกอบคำกลอนแบบเป็นตอนมาเป็นนิทานคำกลอนที่ใช้การขับเสภา และการขับร้อง มีวิวัฒนาการจากนิทานพื้นบ้านมาเป็นวรรณคดีราชสำนักในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการเผยแพร่การพิมพ์ครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโรงพิมพ์หมอสมิท ต่อมาพุทธศักราช ๒๔๖๐ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงชำระวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งมีการประพันธ์เนื้อเรื่องขึ้นใหม่ และตัดเนื้อหาในบางส่วน รวบรวมจัดพิมพ์ และเผยแพร่ทั้งหมด ๔๓ ตอน ให้เป็นฉบับแบบแผนที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ ด้วยความสำคัญของวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๓ ในสาขาวรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ประเภทนิทานพื้นบ้าน เพื่อให้วรรณคดีเรื่องนี้ได้รับการศึกษาและอนุรักษ์ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติอย่างยั่งยืนสืบไป นอกจากนี้ขุนช้างขุนแผนยังเป็นวรรณคดีที่ได้รับความนิยมเรื่องหนึ่งจึงถูกหยิบยกนำมาจัดการแสดงในรูปแบบภาพยนตร์ ละครเวที ละครโทรทัศน์ และละครเสภาอย่างต่อเนื่อง
ละครเสภามีวิวัฒนาการมาจากการขับเสภา ที่นิยมนำเรื่องราวของวรรณคดีต่างๆ มาขับเสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่เดิมการขับเสภาไม่มีดนตรีประกอบ ผู้ขับเป็นผู้ขยับกรับสอดแทรกในทำนองขับเสภาของตนเท่านั้น ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดการขับเสภาเป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบ มีการแทรกเพลงสำหรับร้องส่งให้ปี่พาทย์รับในบทที่สมควรแก่การขับร้อง ส่วนบทที่เห็นว่าเป็นการดำเนินเรื่องก็ให้ใช้ขับเสภา ส่วนตอนใดเป็นบทสู้รบและอื่นๆ ปี่พาทย์ก็จะบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบบทนั้น ๆ เมื่อการขับเสภามีทั้งเพลงร้องและการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เช่นนี้ จึงมีวิวัฒนาการโดยให้ตัวละครมาแสดงตามบทเหมือนกับการแสดงละครนอก เรียกการแสดงเช่นนี้ว่า “ละครเสภา”
พุทธศักราช ๒๔๙๒ นายธนิต อยู่โพธิ์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร ได้เล็งเห็นความสำคัญของละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน โดยปรารภที่จะให้ศิลปินและนักเรียนนาฎศิลป ในกองการสังคีต กรมศิลปากร และโรงเรียนนาฏศิลป ฝึกหัดบทบาทลีลาท่ารำตามแบบละครไทยที่นิยมกันว่างดงาม นอกจากนั้นยังให้ฝึกหัดท่ารำท่าเต้นกระบี่กระบอง อันเป็นศิลปะแบบ War Dance หรือระบำวีรชัย ซึ่งนิยมดัดแปลงให้เข้ากับท่าทางนาฏศิลป์ จากนั้นจึงได้ค้นคว้าบทละครเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ สำนวนของหลวงพัฒนพงศ์ภักดี ที่ท่านเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงสั่งให้ประพันธ์บทละครเพื่อให้คณะละครของท่านแสดง และบทละครสำนวนของนางมัลลี คงประภัศร์ ซึ่งเป็นบทละครที่ปรับปรุงมาจากบทของท่านเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงเช่นกันกัน จากนั้นถวายบทละครให้หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล กับหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ ดิศกุล ทรงนำไปปรับกับบทเสภาขึ้นใหม่ เพื่อให้เหมาะสมแก่การแสดงมากยิ่งขึ้น ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ๒๔๙๒ นายธนิต อยู่โพธิ์ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล หม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ ดิศกุล ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ศิลปินแห่งชาติ นายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ จึงได้ร่วมกันปรับปรุงบทละคร พร้อมทั้งบรรจุเพลงที่บ้านท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี แล้วจึงจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มบทละครสำหรับฝึกซ้อมศิลปินและนักเรียน นาฏศิลป ของกรมศิลปากร
ละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ จัดการแสดงครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๒ ณ โรงละคอนศิลปากร ทุกวันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์ เวลา ๑๔.๐๐ น. และ ๒๐.๐๐ น. ในวันอาทิตย์จะเพิ่มรอบเช้าเวลา ๑๐.๐๐ น. ซึ่งฝึกหัดนาฏศิลปินโดยท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ศิลปินแห่งชาติ และครูนาฏศิลปิน ของกรมศิลปากร ฝึกซ้อมการบรรเลงและขับร้องโดยหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ ดิศกุล และนายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ ออกแบบและสร้างฉากโดยหม่อมเจ้าหญิงพิไลเลขา ดิศกุล และนายโหมด ว่องสวัสดิ์ ศิลปินแห่งชาติ ออกแบบเครื่องแต่งกายโดยหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล และท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี การจัดการแสดงละครในครั้งนี้ได้กำหนดผู้แสดงในบทบาทตัวละครเอกจำนวน ๒ ชุด คือ ชุดศิลปินชาย และชุดศิลปินหญิง ผลัดเปลี่ยนกันแสดงชุดละ ๑ สัปดาห์ อันมีรายนาม ดังนี้
ชุดศิลปินชาย
พระพันวษา นายอร่าม อินทรนัฏ
พระไวย นายอาคม สายาคม
ขุนแผน นายยอแสง ภักดีเทวา
พลายชุมพล (ไทย) นายธีรยุทธ ยวงศรี
พลายชุมพล (มอญ) นายจำนง พรพิสุทธิ์
พระยากลาโหม นายกรี วรศะริน
เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ นายบุญชัย เฉลยทอง
ชุดศิลปินหญิง
พระพันวษา นางส่องชาติ ชื่นศิริ ศิลปินแห่งชาติ
พระไวย นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ
ขุนแผน นางประทิน พวงสำลี
พลายชุมพล (ไทย) นางศิริวัฒน์ ดิษยนันทน์ ศิลปินแห่งชาติ
พลายชุมพล (มอญ) นางสินีนาฏ โพธิเวส
พระยากลาโหม นางวิไล เศษโชติ
เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ นางสาวปราณี สำราญวงศ์
ปัจจุบันสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ยังคงอนุรักษ์ สืบทอดรูปแบบ วิธีการแสดง การกำหนดผู้แสดง และกระบวนท่ารำของตัวละครในการแสดงละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ พร้อมทั้งพัฒนา สร้างสรรค์ ต่อยอดทางด้านองค์ประกอบการแสดงด้วยระบบฉาก แสง เสียง ที่ทันสมัย ก่อให้เกิดอรรถรสในการชมการแสดงมากยิ่งขึ้น
การแสดงละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ ในรอบพิเศษนี้ยังได้การกำหนดผู้แสดงบทบาทตัวละครเอกชุดศิลปินชายและชุดศิลปินหญิงตามรูปแบบการจัดการแสดงในครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๒ ซึ่งจัดการแสดงในวันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๕ (ชุดศิลปินชาย หญิง) และวันอาทิตย์ ๖ มีนาคม ๒๕๖๕ (ชุดศิลปินหญิง) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ โรงละครแห่งชาติ กำกับการแสดงโดย ปกรณ์ พรพิสุทธิ์
บัตรราคา ๒๐๐, ๑๕๐, ๑๐๐ บาท เริ่มจำหน่ายบัตรตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ณ ห้องจำหน่ายบัตร โรงละครแห่งชาติ และจำหน่ายบัตรออนไลน์ที่ https://ntt.finearts.go.th นอกจากนี้ท่านที่ซื้อบัตรชมการแสดงทั้งสองรอบจะได้รับของที่ระลึกสุดพิเศษจากศิลปิน กรมศิลปากร
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ ๐ ๒๒๒๑ ๐๑๗๑
ทั้งนี้การจัดการแสดงอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโรคตามแผนมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและมาตรการที่ทางราชการกำหนด
เรียบเรียงโดยนายรัฐศาสตร์ จั่นเจริญ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต
ข้อมูลอ้างอิง
๑. กรมศิลปากร, สูจิบัตรการแสดงละคอน เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ นำออกแสดงที่โรงละคอนศิลปากร, พ.ศ. ๒๔๙๓.
๒. กรมศิลปากร, บทละคอน เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ จัดพิมพ์ขึ้นไว้สำหรับฝึกซ้อมศิลปินและนักเรียนนาฏศิลป, พ.ศ. ๒๔๙๒.
๓. Dhanit Yupho, THE KHON and LAKON by DHANIT YUPHO Dance Dramas Present by THE DEPARTMENT OF FINE ARTS, B.E 2506
ชื่อเรื่อง มอญบางขันหมากผู้แต่ง ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏเทพสตรีประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN -หมวดหมู่ ประเพณี ขนบธรรมเนียมเลขหมู่ 390.09593 ร425มสถานที่พิมพ์ ลพบุรี สำนักพิมพ์ กรุงไทยการพิมพ์ปีที่พิมพ์ 2533ลักษณะวัสดุ 76 หน้า : ภาพประกอบ ; 27 ซม.หัวเรื่อง มอญ -- การละเล่นพื้นบ้าน มอญ -- ความเป็นอยู่และประเพณี มอญ -- รวมเรื่องภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก หนังสือเอกสารเล่มนี้จะเพิ่มความรู้เรื่องมอญบางขันหมากให้กว้างขวางยิ่งขึ้นและคงช่วยส่งเสริมแนวทางการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มอญ ตำบลบางขันหมาก ให้สืบทอดต่อไปยังลูกหลาน และมรดกทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มอญจะคงอยู่คู่เมืองลพบุรีสืบไป
นิทานจากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ตีรณสาร, 2516. เรื่องขุนช้างขุนแผนในหนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพของพระตีรณสารวิศวกรรม นี้ เป็นนิทานจากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน พร้อมทั้งอธิบายแผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งเมืองและสถานที่บางแห่ง และคำอธิบายเรื่องเมืองและสถานที่ตามที่ปรากฏในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน
วัดมโนภิรมย์ หมู่ ๑ บ้านชะโนด ตำบลชะโนด อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร วัดมโนภิรมย์สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ โดยท้าวคำสิงห์และญาติพี่น้องรวมทั้งบริวารที่อพยพเคลื่อนย้ายมาจากฝั่งลาว พร้อมกับการตั้งบ้านชะโนด เดิมชื่อวัดใช้ชื่อเดียวกับชื่อหมู่บ้านและชื่อของลำห้วยที่ไหลผ่านพื้นที่ทางทิศเหนือลงสู่แม่น้ำโขงทางทิศตะวันออก แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดมโนภิรมย์ ส่วนวิหารสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๖ นับเป็นแม่แบบของงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมท้องถิ่นที่สำคัญสำหรับใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ศิลปะท้องถิ่นอีสาน สิ่งสำคัญที่ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ได้แก่ วิหาร
. วิหาร ตามประวัติระบุว่า สร้างขึ้นราว พ.ศ.๒๒๙๖ โดยอาจารย์โชติ อาจารย์ขะ และอาจารย์โมข ช่างจากเวียงจันทร์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๙.๔๕ เมตร ยาว ๑๖.๓๕ เมตร สูงประมาณ ๙.๖๓ เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนฐานเป็นชุดฐานบัวงอนลูกแก้วอกไก่เตี้ย ๆ ตัวอาคารแบ่งออกเป็น ๕ ช่วงเสา โดยช่วงเสาแรกเป็นมุขโถงด้านหน้า มีบันไดทางขึ้น ๓ ด้าน คือ ด้านหน้าและด้านข้าง ๒ ข้าง ราวบันไดประดับปูนปั้นรูปสัตว์ศิลปกรรมท้องถิ่น ห้องวิหารมีขนาด ๔ ช่วงเสา ประตูทางเข้าเป็นบานไม้ เหนือกรอบประตูประดับลายปูนปั้นสวยงาม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นนาคปรกปางมารวิชัยเป็นประธานบนฐานชุกชี
ส่วนภายนอก หน้าบันด้านหน้าประดับไม้สลักลวดลาย เสาวิหารทาสี หัวเสาประดับบัวปูนปั้น ส่วนหลังคาเป็นเครื่องไม้ทรงจั่วมุงกระเบื้องดินเผา กลางสันหลังคาประดับเจดีย์จำลอง มีโหง่ว(ช่อฟ้า)รูปหัวหงส์ ใบระกาและหางหงส์ม้วนงอนประดับ ทุกช่วงเสาทั้ง ๒ ด้าน ประดับคันทวยหูช้างเป็นไม้สลักลายรองรับชายหลังคา ผนังด้านข้างทำช่องแสงลูกมะหวด ๓ ช่วงเสา ส่วนช่วงเสาท้ายวิหารทำเป็นประตูทางเข้า-ออกด้านข้างทั้ง ๒ ด้าน ผนังด้านหลังวิหารก่อปิดทึบ ส่วนหน้าบันด้านหลังทำช่องแสงรูปสี่เหลี่ยมไม่ประดับลวดลายปูนปั้น
. กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี (สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี ในปัจจุบัน) ได้ดำเนินการบูรณะวิหารและศาลาการเปรียญวัดมโนภิรมย์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓-๒๕๔๔ และกรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานวัดมโนภิรมย์ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๙๙ ตอนที่ ๑๓๐ วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๕ ระวางแนวเขตโบราณประมาณ ๑ ไร่ ๓๔ ตารางวา
--------------------------------------------------
++++อ้างอิงจาก++++
. กรมศิลปากร. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดมุกดาหาร. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๔. หน้า ๑๔๓.
. สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี. รายชื่อโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว จังหวัดมุกดาหาร. เอกสารอัดสำเนา
, ๒๕๕๒.
ข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี
ไอเซ็นเฮาวร์, ดไวท์ ดี. รำพึงถึงความหลัง = At Ease : Stories I Tell to Friends. แปลโดยพิจิตร กุลละวณิชย์. พระนคร: สหมิตรการพิมพ์, 2514.
รวบรวมเรื่องราวชีวิตของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งของอเมริกาคือ ดไวท์ ดี. ไอเซ็นเฮาวร์ ตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก การศึกษาที่เวสปอยต์ จนถึงชีวิตทหารที่รุ่งโรจน์ การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัย ชีวิตความเป็นอยู่และครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่สำคัญในชีวิตของดไวท์ ดี. ไอเซ็นเฮาวร์ คือ มารดาและภรรยา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกผ่านมุมมองและการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรจากตัวผู้เขียนเอง
ชื่อเรื่อง สพ.ส.29 ไสยศาสตร์ประเภทวัสดุ/มีเดีย สมุดไทยดำISBN/ISSN -หมวดหมู่ ไสยศาสตร์ลักษณะวัสดุ 20; หน้า : มีภาพประกอบหัวเรื่อง โหราศาสตร์ ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก เนื้อหาว่าด้วยบทไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เรียกว่ามงคล ๑๐๘ เป็นการภาวนาคาถาทางไสยศาสตร์หรือพุทธศาสตร์ที่เชื่อว่าทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ กล่าวถึงการชุมนุมเทพต่างๆ อาทิ พระอินทร์ พระยม ท้าวเวสสุวรรณ เป็นต้น เป็นการตั้งยันต์ ชุมนุมยันต์ คาถา และมีภาพยันต์ ประวัติวัดสามทอง ต.ตลิ่งชัน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 9 ส.ค.2538
องค์ความรู้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านเรื่อง “พุทธรูปเจ้าองค์นี้พ่อเจ้าฟ้าหลวงสร้างไว้...”--- พระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะล้านนา พื้นเมืองน่าน อายุราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๔ทำด้วยไม้ ลงรักปิดทอง ขนาด ตักกว้าง ๒๒ เซนติเมตร สูง ๖๓ เซนติเมตรจากวัดพระธาตุแช่แห้ง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน--- องค์พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบแสดงปางมารวิชัยบนฐานบัวลูกแก้วอกไก่ พระรัศมีเป็นเปลวสูง รองรับด้วยอุษณีษะ พระเศียรเรียบเกลี้ยงไม่มีขมวดพระเกศา พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่งเป็นสัน พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์เรียวบาง พระกรรณยาวทำเป็นแนวเส้นคล้ายลายก้านขดม้วนเข้าทางด้านใน พระศอเป็นปล้อง ครองจีวรห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา ชายจีวรทำเป็นแผ่นใหญ่ปลายตัดตรงยาวลงมาจรดพระนาภี นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเสมอกัน บริเวณขอบฐานด้านล่างมีจารึกอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทย จำนวน ๓ บรรทัด ความว่า “(พระ) พุทธรูปเจ้าองค์นี้ พ่อเจ้าฟ้าหลวง สร้างไว้ หื้อเป็นที่ไหว้สาสักการบูชาแห่งคนแลเทวดาทั้งหลาย ไปนานตราบ ๕๐๐๐ พระวัสสา แล นิพฺพานํ ปจฺจโย โหตุ”--- พระพุทธรูปองค์นี้ จากลักษณะพระพักตร์ แนวชายจีวร และสัดส่วนของฐาน คล้ายคลึงกับพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืน วัดบุญยืน อำเภอเวียงสา สันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นโดยช่างชาวเมืองน่านกลุ่มเดียวกัน--- จากเนื้อความในจารึก แม้ว่าจะไม่ได้ระบุศักราชที่สร้าง แต่ได้มีการจารึกนามผู้สร้างว่า “พ่อเจ้าฟ้าหลวง” สร้างไว้ ซึ่งในที่นี้หมายถึง "เจ้าอัตถวรปัญโญ" เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๕๗ ครองเมืองน่านระหว่าง พุทธศักราช ๒๓๒๙ - ๒๓๕๓ (รวม ๒๕ ปี) ในสมัยของเจ้าอัตถวรปัญโญ เป็นช่วงที่เมืองน่านได้ขึ้นกับกรุงรัตนโกสินทร์ โดยในปีพุทธศักราช ๒๓๓๑ เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ (รัชกาลที่ ๑) ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมา จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอัตถวรปัญโญ เป็น “สมเด็จเจ้าฟ้าเมืองน่าน” กลับขึ้นมาครองเมืองน่าน และต่อมาตำนานเมืองน่าน ได้เรียกพระนามว่า “(สมเด็จ) เจ้าฟ้าหลวง” จึงสันนิษฐานว่าพระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยของเจ้าอัตถวรปัญโญ--- ตามพงศาวดารเมืองน่าน ได้กล่าวว่าในสมัยเจ้าอัตถวรปัญโญ ได้มีการบูรณะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในเมืองน่าน โดยการสร้างและซ่อมแซมวัดวาอารามตลอดจนพระพุทธรูปต่างๆ เช่น พุทธศักราช ๒๓๓๒ บูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระธาตุแช่แห้ง, พุทธศักราช ๒๓๓๖ สร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยสำริด วัดศรีบุญเรือง, พุทธศักราช ๒๓๔๐ สร้างวัดบุญยืน อำเภอเวียงสา,พุทธศักราช ๒๓๕๐ สร้างทิพย์เจดีย์และศาลานางหย้อง วัดพระธาตุช้างค้ำฯ เป็นต้น --- อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาในสมัยของเจ้าอัตถวรปัญโญ เป็นช่วงที่ได้รับการทำนุบำรุงให้มีความรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่งช่วงหนึ่งเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองน่านในชั้นหลังทุกพระองค์ต่างก็ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากหลักฐานที่ปรากฏ อันได้แก่ วัดวาอาราม พระพุทธรูป สิ่งของหรือเครื่องใช้ทางศาสนาต่างๆ เช่น หีบพระธรรม คัมภีร์ใบลาน ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ทั้งในเมืองน่าน และต่างอำเภอ อันเป็นขอบเขตการปกครองนครน่านจากอดีตจนถึงปัจจุบันเอกสารอ้างอิง- สุรศักดิ์ ศรีสำอาง และคณะ. เมืองน่าน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะ. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๓๗. - สำนักศิลปากรที่ ๗ น่าน. พงศาวดารเมืองน่าน ฉบับวัดพระธาตุช้างค้ำ. ๒๕๕๗.- สำนักศิลปากรที่ ๗ น่าน. พงศาวดารเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด. ๒๕๕๗.- ฮันส์ เพนธ์ และคณะ. ประชุมจารึกล้านนา เล่ม ๕ จารึกในพิพิธภัณฑ์ฯ น่าน และจารึกเมืองน่านที่น่าสนใจ. คลังข้อมูลจารึกล้านนา, ๒๕๔๔. (เอกสารอัดสำเนา)