ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,748 รายการ

ชื่อผู้แต่ง                 ดำรงราชนุภาพ , สมเด็จฯกรมพระยา ชื่อเรื่อง                  จดหมายเหตุ เสด็จประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕ ครั้งที่พิมพ์              พิมพ์ครั้งที่ ๒๙ สถานที่พิมพ์            พระนคร สำนักพิมพ์              โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว ปีที่พิมพ์                 ๒๕๓๑ จำนวนหน้า             (๑) -(๘) , ก-ฆ , ๗๙ หน้า , ภาพประกอบ ISBN                     ๙๗๔ - ๗๙๓๖ -๑๙ - ๔  เลขเรียกหนังสือ        ๙๑๕.๙๓   ด ๔๙๕ จฉ เลขทะเบียนหนังสือ    ๐๒๑๙๐๐ หมายเหตุ                พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางฉลวย  ชูทรัพย์ ณ เมรุวัมกุฎกษัตริยาราม วันที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๑                             การเสด็จประพาสต้นที่จริงอาจกล่าวได้ว่าเป็นประโยชน์แก่ราชการบ้านเมืองได้ด้วยอีกสถานหนึ่ง เพราะเสด็จเที่ยวปะปนไปกับหมู่ราษฎร เหตุที่เรียกประพาสต้นเกิดแต่เมื่อเสด็จคราวนี้เรืองลำเดียวไม่พอสำหรับบรรทุกเครื่องครัวจึงซื้อเรือราชบุรีอีก ๑ ลำ โปรดให้เจ้าหมื่นเสมอใจราช(อ้น) เป็นผู้ควบคุมจึงเรียกว่า "เรือตาอ้น" เรียกเร็วๆเสียงเป็น เรือต้นจึงเรียก ประพาสเช่นนั้นว่า "ประพาสต้น"



ได้มาจากวัดบ้านถ้ำ ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2533


            กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “การขุดค้นพบโบราณวัตถุแผ่นทองคำดุนภาพพระพุทธรูปจากโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานพระนอน” วิทยากร พระครูธรรมจักรเสมารักษ์ เจ้าคณะตำบลเสมา เขต ๒ เจ้าอาวาสวัดธรรมจักรเสมาราม จ.นครราชสีมา, นายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา, นายกิตติพงษ์ สนเล็ก ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา และนางสาวอทิตยา ถิระโชติ ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ - ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม https://www.facebook.com/FineArtsDept และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร https://www.facebook.com/prfinearts             รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๑.๐๐ น. ตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๖๗ - กันยายน ๒๕๖๘


               วารสารตรังสัมพันธ์ ฉบับพิเศษ นี้ พิมพ์เพื่อเป็นหนังสือที่ระลึกสำหรับงานฉลองพระชนมพรรษาและงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ภายในเล่มประกอบด้วยกำหนดการงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. ๒๕๑๗กำหนดการงานเฉลิมพระชนมพรรษาและงานประจำปี ๒๕๑๗ จังหวัดตรัง พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผลงานของหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดตรัง บทความเรื่องการวางแผนพัฒนาภาคใต้ จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ พ.ศ. ๒๔๖๐ ฉบับที่ ๓ ของสักขี และเรื่องแหลงเรื่องเมืองตรัง เป็นต้นบรรณานุกรมคณะกรรมการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาและงานประจำปี จังหวัดตรัง.  วารสารตรังสัมพันธ์ ฉบับพิเศษ.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พิฆเณศ, ๒๕๑๗.


เลขทะเบียน : นพ.บ.612/4   ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า  ; 4.5 x 51 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 199 (33-36) ผูก 4 (2568)หัวเรื่อง : ปัญญาชาดก--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.675/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 20 หน้า ; 4.5 x 58 ซ.ม. : รักทึบ-ลานดิบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 215 (185-195) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : ศัพท์ชัยน้อย--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.745/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า ; 4 x 56  ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 231 (349-354) ผูก 5 (2568)หัวเรื่อง : พระธัมมสังคิณี--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


การปฏิรูประบบเงินตราถือเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่ง คือ การประกาศใช้หน่วยเงินตราใหม่ในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2441 ซึ่งนับเป็นการปรับโครงสร้างระบบเงินตราไทยให้มีมาตรฐานสากล โดยกำหนดให้ “บาท” เป็นหน่วยเงินตราหลักแทนการใช้หน่วยเงินโบราณที่ซับซ้อน ก่อนการกำหนดให้ “บาท” เป็นหน่วยมาตรฐานของเงินตราไทยนั้น ประเทศไทยใช้หน่วยเงินตราหลากหลายรูปแบบ เช่น เบี้ย สตางค์ โสฬส เฟื้อง เสี้ยว อัฐ ซีก ตำลึง ฯลฯ ซึ่งมิได้อิงกับระบบทศนิยม ทำให้การคำนวณ การแลกเปลี่ยน และการค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างยุ่งยาก นอกจากนี้ยังมีการใช้เงินพดด้วงและเงินตราต่างประเทศร่วมด้วย ยังส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจขาดความเป็นเอกภาพ และไม่สอดคล้องกับการค้าโลกที่กำลังขยายตัวในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นถึงความจำเป็นในการปฏิรูประบบเงินตรา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมาตราเงินตราระบบเดิมจากน้ำหนักเป็นระบบทศนิยม โดยกำหนดให้เงิน “1 บาท” มีค่าเท่ากับ “100 สตางค์” และสั่งทำเหรียญกษาปณ์ทองขาวที่เรียกกันว่า เบี้ยสตางค์ทองขาว ซึ่งมีหน่วยเป็นสตางค์ นำออกให้ทดลองใช้เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2441 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของไทยที่ได้ก้าวสู่ระบบเงินตราสมัยใหม่ ต่อมาใน พ.ศ. 2446 จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา รัตนโกสินทร ศก 122 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่เกี่ยวกับหน่วยเงินตราโดยตรงและระบบเงินอย่างเป็นทางการของไทย    เหรียญเบี้ยสตางค์ทองขาว ที่ผลิตขึ้นนำออกใช้เมื่อครั้งเปลี่ยนหน่วยเงินตราใหม่ โดยเหรียญกษาปณ์รุ่นนี้มีอักษรไทยคำว่า “สยามราชอาณาจักร” จึงนิยมเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “เหรียญสยามราชอาณาจักร” ใช้หน่วย “สตางค์” เป็นครั้งแรก หน่วยสตางค์มาจากคำว่า “องค์” หมายถึงภาคหรือส่วน และ คำว่า “สต” ที่แปลว่า 100 คำว่าสตางค์จึงแปลว่า ส่วนของร้อย เมื่อบัญญัติศัพท์นี้ขึ้นแล้ว หน่วยของเงินตราไทยจึงเหลือแต่หน่วย “บาท” และ “สตางค์”           การปฏิรูประบบเงินตราของไทยนั้น มีพัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากต้องใช้เวลาเพื่อให้ประชาชนได้ปรับตัวและมีความเข้าใจในรูปแบบของระบบเงินตราที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้เวลานานถึง 28 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2440 ถึง พ.ศ. 2468 จึงประสบผลสำเร็จ การประกาศใช้หน่วยเงินตราใหม่นี้ส่งผลต่อประเทศไทยในหลายมิติ ในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้การคำนวณและการซื้อขายมีความสะดวก รวดเร็ว และลดความสับสนจากหน่วยเงินที่ซับซ้อน ด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการมีมาตราเงินตราระบบทศนิยมทำให้เอื้อต่อการค้าระหว่างประเทศ สามารถบูรณาการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การใช้เงินตรามาตรฐานเดียวกันยังช่วยสร้างเอกภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นของความทันสมัยทางการเงินอีกด้วย วันที่ 21 สิงหาคม จึงเป็นวันสำคัญที่สะท้อนถึงการเข้าสู่ระบบเงินตราสมัยใหม่ของไทย เป็นวันที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ระบบการเงินแบบใหม่อย่างเป็นสากล “บาท” กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพทางเศรษฐกิจ และยังคงเป็นหน่วยเงินตราที่คนไทยใช้กันมานานกว่าหนึ่งศตวรรษจนถึงทุกวันนี้ แหล่งข้อมูลอ้างอิงและภาพประกอบ นวรัตน์ เลขะกุล.  เบี้ย บาท กษาปณ์ แบงก์.  กรุงเทพฯ: สารคดี, 2542. พระราชบัญญัติเงินตรา รัตนโกสินทร ศก 122.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2568, จาก https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1026197.pdf สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่ม 29.  พิมพ์ครั้งที่ 4.  กรุงเทพฯ: โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, 2550.     เรียบเรียงโดย   นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กรมศิลปากร  



                                            เนื่องในวันที่ ๑๓ ตุลาคม "วันนวมินทรมหาราช" วันคล้ายวันสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปวงชนชาวไทยต่างน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลที่ทรงมีต่อแผ่นดินไทยตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีแห่งการครองสิริราชสมบัติ                                               พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานไว้เปรียบเสมือน "มรดกทางปัญญา" ที่ล้ำค่า เป็นดวงประทีปส่องทางให้พสกนิกรดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือ "คำพ่อสอน: ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสุขในการดำเนินชีวิต" ที่จัดทำขึ้นในโอกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ นั้น ได้รวบรวมหลักคิดสำคัญที่ครอบคลุมทุกมิติแห่งความเป็นมนุษย์ ทั้ง กาย จิต สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิด "สุขภาวะ" ที่แท้จริง"                                               ในวันสำคัญนี้ ขอเชิญชวนชาวไทยทุกคนน้อมนำพระบรมราโชวาททั้ง ๙ ประการนี้ มาสู่การประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง เพื่อนำมาซึ่ง ความสุขที่แท้จริงของชีวิตและความสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างยั่งยืน ตามพระราชปณิธานแห่งองค์พระบรมราชชนกนาถของเรา                                             จากเนื้อหาอันลึกซึ้งในหนังสือเล่มนี้ จึงขออัญเชิญ ๙ คำสอนหลัก ที่เป็นแก่นแห่งความสุขตามแนวพระราชดำริ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและนำทางในการประพฤติปฏิบัติสืบไป ๑. ความสุขด้านกาย: การใช้แรงกายให้พอดี พระองค์ทรงสอนว่า สุขภาพกายเป็นรากฐานของชีวิต การมีสุขภาวะที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลร่างกายอย่างถูกต้องตามธรรมชาติ พระราชดำรัส: "ร่างกายของเรานั้น ธรรมชาติสร้างมาสำหรับให้ออกแรงใช้งาน มิใช่ให้อยู่เฉย ๆ ถ้าใช้แรงให้พอเหมาะพอดีโดยสม่ำเสมอ ร่างกายก็เจริญแข็งแรง คล่องแคล่ว และคงทนยั่งยืน..." (หน้าที่ ๑๐) ๒. ความสุขด้านจิตใจ: การมี "สติ" และความสงบภายใน ความสุขทางใจเกิดขึ้นจากการฝึกฝนจิตให้ตั้งมั่น รู้จักควบคุมความคิดและอารมณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการคิดและการกระทำที่ถูกต้อง พระบรมราโชวาท: "การทำความสงบนั้นต้องเริ่มที่ภายในตัว ในใจก่อน เมื่อภายในสงบ ความคิดใจก็ตั้งมั่นสามารถคิดอ่านด้วยเหตุผล ความละเอียดรอบคอบและสามารถค้นหา จำแนกข้อเท็จจริง ถูกผิด ดีชั่วได้ โดยกระจ่างและถูกต้อง จึงเกื้อกูลให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีที่งามตามแนวทางที่สุจริตเหมาะสมได้" (หน้าที่ ๗๕) ๓. ความสุขของการอยู่ร่วมกัน: รากฐานแห่งความสามัคคี ความสุขที่สมบูรณ์ต้องเป็นความสุขร่วมกันในสังคม ซึ่งเกิดขึ้นได้แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หากตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน พระราชดำรัส: "ความสามัคคีนั้นอาจหมายความถึงเห็นชอบเห็นพ้องกันโดยไม่แย้งกัน ความจริงงานทุกอย่างหรือการอยู่เป็นสังคมย่อมต้องมีความแย้งกัน ความคิดต่างกันซึ่งไม่เสียหาย แต่อยู่ที่จิตใจของเรา ถ้าเราใช้หลักวิชาและความปรองดอง ด้วยการใช้ปัญญา การแย้งต่างๆ ย่อมเป็นประโยชน์" (หน้าที่ ๒๖๑) ๔. คุณธรรม: ความซื่อสัตย์สุจริตและความหนักแน่น ความสุจริตและมั่นคงในจิตใจเป็นรากฐานสำคัญ ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความเจริญและตัดขาดจากความเสื่อมเสียทั้งปวง พระบรมราโชวาท: "รากฐานที่นับว่าสำคัญ คือรากฐานทางจิตใจ อันได้แก่ความหนักแน่นมั่นคงในสุจริตธรรมอย่างหนึ่งในความมุ่งมั่นที่จะประกอบกิจการงานให้ดีจนสำเร็จอีกอย่างหนึ่ง เหตุใดจึงดึงต้องมีความสุจริตและความมุ่งมั่น ก็เพราะความสุจริตนั้นย่อมกีดกั้น บุคคลออกจากความชั่วและความเสื่อมเสียทั้งหมดได้" (หน้าที่ ๑๖๗) ๕. คุณธรรม: วิริยะอุตสาหะและความกล้าเผชิญตนเอง ความสำเร็จทุกอย่างต้องอาศัยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ และกล้าที่จะเอาชนะความอ่อนแอหรือความขัดแย้งในตนเอง พระราชดำรัส: "ความอุตสาหะหรือความกล้าก็เป็นคำที่สำคัญ ต้องกล้าที่เผชิญตัวเอง เมื่อกล้าเผชิญตัวเอง กล้าที่จะลบล้างความขี้เกียจเกียจคร้านในตัว หันมาพยายามอุตสาหะก็ได้เป็นวิริยะอุตสาหะ" (หน้าที่ ๑๘๗) ๖. คุณธรรม: การมีเหตุผลและความพอประมาณ (รู้จักประมาณตน) การรู้จักประเมินตนเองตามความสามารถที่แท้จริง เป็นหนทางสู่การใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแก่นของความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก พระบรมราโชวาท: "การรู้จักประมาณตน ได้แก่การรู้จักและยอมรับว่าตนเองมีภูมิปัญญาและความสามารถในด้านไหน เพียงใด และควรจะทำงานด้านไหน อย่างไร... ทั้งยังทำให้รู้จักขวนขวายศึกษาหาความรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์อยู่เสมอ" (หน้าที่ ๒๒๑) ๗. สังคม: ไมตรีจิตและการร่วมมือเกื้อกูลกัน สังคมจะมั่นคงและเป็นสุขได้ ต้องอาศัยการยึดมั่นใน ไมตรี หรือความมีเมตตาหวังดีในกันและกัน นำไปสู่การร่วมมือที่สร้างสรรค์ พระราชดำรัส: "คุณธรรมข้อนั้นก็คือไมตรี ความมีเมตตาหวังดีในกันและกัน. คนที่มีไมตรีต่อกัน จะคิดอะไรก็คิดแต่ในทางสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน... จะทำอะไรก็ช่วยเหลือร่วมมือกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน" (หน้าที่ ๒๒๖) ๘. สังคม: ความเข้มแข็งในการยึดมั่นความดี ท่ามกลางปัญหาและความเปลี่ยนแปลงของสังคม มนุษย์ต้องมีสติและปัญญาเป็นเครื่องกำกับ เพื่อไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงผิดไปในทางเสื่อมเสีย พระราชดำรัส: "บุคคลผู้สามารถประคับประคองตนให้อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุขจึงต้องมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ที่จะยึดมั่นปฏิบัติมั่นตามแบบอย่างที่พิจารณารู้ชัดด้วยปัญญาแล้วว่าเป็นทางแห่งความดี ความเจริญไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้มัวเมาหลงผิดไปในทางเสื่อมเสีย" (หน้าที่ ๒๓๗) ๙. สิ่งแวดล้อม: การใช้ทรัพยากรอย่างฉลาด ความสุขของประเทศชาติและความอุดมสมบูรณ์ถาวร ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างรอบคอบ มีเหตุผล และมุ่งถึงประโยชน์ในระยะยาว พระราชดำรัส: "ข้อสำคัญเราจะต้องรู้จักใช้ทรัพยากรทั้งนั้นอย่างฉลาด คือไม่นำมาทุ่มเทใช้ให้สิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หากแต่ระมัดระวังใช้ด้วยความประหยัดรอบคอบ ประกอบด้วยความคิดพิจารณาตามหลักวิชา เหตุผล และความถูกต้องเหมาะสม" (หน้าที่ ๒๔๖)                                               ท่านที่สนใจ สามารถศึกษาค้นคว้าหนังสือ "คำพ่อสอน: ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสุขในการดำเนินชีวิต" (895.915 ภ671ค) เพิ่มเติมได้ที่ห้องหนังสือทั่วไป ชั้น ๑ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ นครราชสีมา   เรียบเรียงข้อมูลและแนะนำโดย: นางแพรว ธนภัทรพรชัย เจ้าพนักงานห้องสมุดชำนาญงาน ออกแบบกราฟิกโดย: นายพีรยุทธ กษิติบดินทร์ชัย บรรณารักษ์ปฏิบัติการ   บรรณานุกรม ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา.  คำพ่อสอน : ประมวลพระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสเกี่ยวกับความสุขในการดำเนินชีวิต.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ, ๒๕๕๙.


***รายการบรรณานุกรม*** หนังสือหายาก กรมศิลปากร.  ละคอน เรื่อง รถเสน.  พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๕๐๐.


ชื่อเรื่อง : เชื้อสายเจ้าหลวงเมืองแพร่ 4 สมัย (พ.ศ. 2361 - 2445) ผู้แต่ง : บัวผิว วงศ์พระถาง, เจ้าไข่มุกต์ ประชาศรัยสรเดช และดวงแก้ว รัตนวงศ์ ปีที่พิมพ์ : ม.ป.ป. สถานที่พิมพ์ : แพร่ สำนักพิมพ์ : แพร่ไทยอุตสาหกรรมการพิมพ์      เนื่องจากตระกูลเจ้าเมืองแพร่ ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานที่น่าจะค้นคว้าอ้างอิงได้ บรรดาลูกหลานส่วนมากในปัจจุบันต่างไม่ทราบแน่ชัด จึงอยากทราบว่ามีความเป็นมาอย่างไร จึงได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ทั้งที่มีความหนักใจและมีปัญหามากมายเป็นอุปสรรค ความรู้เรื่องราวที่มีอยู่และหลักฐานต่างๆ ที่ได้จดบันทึกมาร่วม 50 ปี อาจจะสูญหายโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าหากไม่นำมาเผยแพร่ให้ลูกหลานได้ทราบถึงบรรพบุรุษ บุพการีของเมืองแพร่ ข้อมูลเหล่านี้อาจจะสาบสูญไปพร้อมกับบรรพบุรุษ จึงได้จัดทำขึ้นเพื่อให้ลูกหลานรุ่นปัจจุบันและอนาคตได้รู้จักบรรพบุรุษ บุพการีและเครือญาติของตนโดยถูกต้อง ทำให้เกิดความรักใคร่ปองดอง สนิทสนมสามัคคีกัน


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเสมือนจริง พระนคร: www.virtualmuseum.finearts.go.th/bangkoknationalmuseums        พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นับเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนแห่งแรกของประเทศไทยซึ่งตั้งขี้นเมื่อ พ.ศ.2402 แต่เดิมเป็น "พระราชวังบวรสถานมงคล" หรือวังหน้าซึ่งประกอบด้วยพระที่นั่งและพระตำหนักอันนับเป็นสถาปัตยกรรมไทย ที่งดงามอีกแห่งหนึ่ง         ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ขึ้นที่ พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ ซึ่งทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ซึ่งเป็นเครื่องราชบรรณาการต่างๆ นับว่าเป็นบ่อเกิดของพิพิธภัณฑ์ในสมัยต่อมา       ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "มิวเซียม" ณ ศาลาสหทัยสมาคม หรือหอคองคอเดียในพระบรมมหาราชวัง เปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรก เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 21 พรรษา เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2417 ครั้งต่อมาเมื่อ พ.ศ.2430 กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ทิวงคต จึงได้มีประกาศยกเลิกตำแหน่งพระอุปราชแล้ว  ทำให้สถานที่ในพระราชวังบวรสถานมงคลว่างลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพิพิธภัณฑสถานจากหอคองคอเดีย ไปตั้งจัดแสดงที่พระราชวังบวรสถานมงคลเฉพาะด้านหน้า 3 องค์ โดยใช้พระที่นั่งด้านหน้าคือ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เรียกว่า "พิพิธภัณฑ์วังหน้า"       ต่อมาในปี พ.ศ.2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรสถานมงคลทั้งหมดให้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับ พระนครขึ้น และได้จัด พระที่นั่งศิวโมกขพิมานให้เป็นสถานที่จัดแสดง ศิลาจารึก  คัมภีร์  ใบลาน สมุดไทย ตำราโบราณ เรียกว่าหอสมุดวชิรญาณ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2469 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ต่อมาประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลได้จัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นเมื่อ พ.ศ.2476 พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร จึงได้เข้าสังกัดกับกรมศิลปากร และได้ประกาศตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ.2477


     สลักจากหินชนวน ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ย้ายมาจากวัดเขาพระบาทน้อย เมืองเก่าสุโขทัย      พระพุทธบาทสี่รอย ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยแสดงเส้นขอบพระบาทซ้อนลดหลั่นกันสี่รอย รอยพระบาทบนสุดมีร่องรอยการจารเป้ฯลวดลาย ปรากฎรูปธรรมจักรบริเวณกลางฝ่าพระบาท อันเป็นพุทธลักษณะหรือมหาบุรุษลักษณะของพระพุทธเจ้า ซึ่งรอยพระบาททั้งสี่รอยหมายถึงรอยพระบาทของอดีตพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระโคตมะ หรือ สมณโคดม      คติการจำลองรอยพระพุทธบาท ประกอบด้วยเครื่องหมายมงคลสำหรับสักการะบูชาในสุโขทัยเริ่มขึ้นเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ โดยรับคตินิยมนี้มาจากลังกา ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่งจากหลักฐานศิลาจารึกเขาสุมนกูฏ กล่าวถึงพระมหาธรรมราชาลิไท โปรดฯให้จำลองรอยพระพุทธบาท ตามแบบรอยพระบาทจากลังกามาประดิษฐานไว้บนภูเขาในเมืองสำคัญ ๔ แห่ง ได้แก่ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย บางพานและพระบาง


black ribbon.