ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 40,643 รายการ

ฎีกาพาหุ (ฎีกาพาหุ) ชบ.บ 180/1ข เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


สมุดภาพ "แลหลังเมืองตรัง" บันทึกประวัติศาสตร์ เหตุการณ์และวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดตรัง


ชื่อเรื่อง                     โคลงกระทู้สุภาษิต ของหลวงพัฒนพงษ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)ผู้แต่ง                       กรมหลวงวงศาธิราชสนิทประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ประเพณี ขนบธรรมเนียม คติชนวิทยาเลขหมู่                      398.9 พ527คบสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์สหกรณ์ขายส่งแห่งประเทศไทยปีที่พิมพ์                    2507ลักษณะวัสดุ               200 หน้า หัวเรื่อง                     สุภาษิตและคำพังเพยภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกโคลงกระทู้สุภาษิต กล่าวถึงคติธรรมและสารัตก เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนคนอ่านทั่วไปด้วย


ชื่อผู้แต่ง        พุทธทาสภิกขุ ชื่อเรื่อง          ปริศนาธรรม ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์    กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์      ธรรมบูชา ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๙ จำนวนหน้า      ๑๑๗ หน้า หมายเหตุ        -                        หนังสือปริศนาธรรมนี้ ได้รวบรวมนิทานเรื่องสั้นและนิทานบางเรื่องของเซ็น ซึ่งได้ให้ข้อคิดต่างๆ และเป็นเครื่องมือที่ใช้กำจัดสิ่งที่จะเข้ามารบกวนจิต เพื่อให้จิตอยู่ในสภาพสมดุล จะได้ปราศจากทุกข์ทั้งปวง  


ในเทพปกรนัม (คัมภีร์ปุราณะ) กล่าวว่า ยักษ์ถือกำเนิดจาก พระกัศยป (Kaśyapa) และนางขสา(Khasā) ธิดาองค์หนึ่งของพระทักษะ (Dakṣa) เป็นมารดาของเหล่ายักษ์และรากษส หรือกล่าวว่าเป็นบุตรของ ฤๅษีปุลัสตยะ (Pulastya) พระประชาบดี อันเป็น ๑ ใน ๑๐ บุตรที่เกิดจากใจ หรือมนัสของพระพรหม (มานัสบุตร-Mānasaputra) จัดเป็นบริวารของท้าวกุเวร (Kuvera) เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย และเป็นเทพผู้คุ้มครองโลก (โลกบาล-Lokapala) ประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ) ตรงกับท้าวเวสวัณ (Vesavaṇa) หนึ่งในจตุโลกบาล ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และชัมภละ (Jambhala) เทพแห่งความมั่งคั่ง ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ท้าวกุเวร, กุเพร หรือกุเพรัน (Kuvera,Kubera, Kuberan) ในสมัยพระเวทเป็นราชาแห่งจิตวิญญาณชั่วร้ายลักษณะเป็นยักษ์แคระ ถือเป็นเทพแห่งโจรและการลักทรัพย์ อาศัยอยู่ตามป่าเขา ถ้ำลึก คอยเฝ้าอัญมณี และทรัพย์สมบัติ พวกโจรนิยมบูชาท้าวกุเวร เพื่อให้ช่วยเหลือในการปล้น คอยปกป้องคุ้มภัยจากภูตผีปีศาจ และคอยเฝ้าทรัพย์สมบัติ ต่อมาในคัมภีร์ปุราณะและมหากาพย์ มีสถานะเป็นเทพ กล่าวว่าเป็นโอรสของ วิศรว (Viśrava) หลานของฤๅษีปุลัสตยะ (Pulastya) มารดาคือ นางอิลวิลา (Ilavilā) อีกนัยหนึ่งว่าเป็นโอรสของปุลัสตยะ เป็นพี่ชายต่างมารดาของราวณะ (ทศกัณฐ์) มีกำเนิดเป็นยักษ์ พระพรหมประทานชื่อว่า ไวศรวัน (Vaiśravaṇa) หมายถึง เกิดแต่วิศรว เนื่องจากมีร่างกายไม่งดงามจึงมีฉายาว่า “กุเวร” (Kubera) แปลว่า ตัวขี้ริ้ว ได้บำเพ็ญตบะจนเป็นที่โปรดปรานของพระศิวะจึงได้รับพรให้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ทั้งหลาย และได้เป็นเทพโลกบาลประจำทิศเหนือเดิมปกครองกรุงลงกา ต่อมาราวณะได้มาทำสงครามและแย่งเมืองลงกาไป พระศิวะจึงทรงมอบเมืองใหม่ให้ ชื่อว่า อลกา (Alakā) เรียกอีกว่า ประภา (Prabhā) วสุธรา (Vasudharā) หรือ วสุสถลี (Vasusthalī) อยู่บนยอดเขาคันธมัณฑนะ (Gandhamaṇḍana) บางแห่งกล่าวว่าอยู่บนเขาเหมกูฏ (Hemakūṭa) หรืออยู่บนเขาไกลาส (Kailāsa) ซึ่งสัมพันธ์กับการเป็นเทพผู้พิทักษ์ประจำทิศเหนือ รูปเคารพของท้าวกุเวร มักทำเป็นรูปคนแคระ ผิวกายขาว พระอุทรใหญ่ กายประดับด้วยอาภรณ์ต่าง ๆ มุทราประจำพระองค์คือ ปางประทานอภัย (อภยมุทรา-abhayamudrā) และ ปางประทานพร (วรทมุทรา-Varadamudrā) พระหัตถ์ถือคทา ทับทิม ผลมะนาว (ชัมภีระ-Jambīra) หม้อน้ำ (กมัณฑลุ-kamaṇḍalu) ภาชนะใส่ของมีค่า ถุงเงิน และพังพอน แสดงชัยชนะเหนือนาคผู้รักษาทรัพย์ใต้ดิน มักปรากฏอยู่บริเวณทางเข้าศาสนสถาน เป็นการอำนวยพรแก่ศาสนิกชน According to mythology (Purana scriptures), yaksha was born to Kashyapa and Khasa, one of the daughters of Daksha and the mother of yakshas and rakshasas. Also, some said that yaksha was the son of the Rishi Pulastya, Prajapati. Yaksha is one of the ten sons born from the mind or manat of Brahma (Manasaputra). Yaksha is classified as the attendant of Kubera, god of wealth and god who protects the world (Lokapala) in the North, the same as Vessavana, one of Caturlokapala (The Four Great Heavenly Kings) in Theravada Buddhism and Jambhala, the god of wealth in Mahayana Buddhism. Kuvera, Kubera or Kuberan in the Vedic period was the king of evil spirits. His appearance was like a dwarf giant. He was considered as the god of thieves and robbers who lived in forests, deep caves, guarding gems and treasures. Thieves often worshipped Kubera as they believed he would assist them in robberies, protect them from demons and watch over their treatures. Later in the Purana scriptures and Epics, he had divine status as the son of Vishrava and the grandson of Rishi Pulastya. His mother was Ilavila. Some said he was the son of Pulastya and the half-brother of Ravana (Tosakanth). He was born as yaksha. Brahma named him ‘Vaishravana’ which means ‘Born to Vishrava’. Since his figure was unsightly, he was known by the name ‘Kubera’ which means ill-shaped body. He performed asceticism until he was favoured by Shiva. Therefore, he was blessed to be the lord of all wealth and the god of the world (Lokapala) of the North direction. Originally, he ruled the city of Lanka. Later, Ravana made war and occupied that city. Thus, Shiva provided a new city named Alaka for Kubera to rule. This city, also called Prabha, Vasudhara or Vasusthali, located on the top of Mount Gandhamadana. Some said it was on the hill of Hemakuta or on Mount Kailash which either had a location related to his being the guardian deity of the North direction. Kubera is depicted as a dwarf with white body, large belly, adorned with various ornaments. His regular mudras (gestures) are dispelling fear (abhayamudra) and giving blessing (varadamudra). His hands hold a scepter, pomegranate, lemon (jambira), water pot (kamandalu), container of valuables, money bag and mongoose that symbolizes his victory over Naga, the guardian of underground treasures. He often appears at an entrance to religious places so as to give a blessing to religious people. ภาพ: กุเวร ศิลปะอินเดียภาคเหนือพุทธศตวรรษที่ ๑๖ มีรูปเป็นคนแคระ ท้องใหญ่แสดงความอุดมสมบูรณ์ สวมเครื่องประดับเพชรพลอยและไข่มุก มือข้างหนึ่งถือภาชนะ ข้างหนึ่งถือพังพอนมีบริวารสตรีสองข้างถือหม้อบรรจุทรัพย์สินมีค่าและแส้จามร เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์อัลลาฮาบัด รัฐอุตรประเทศ อินเดีย ภาพจาก The Huntington Archive ข้อมูล: สมุดภาพมรดกศิลปวัฒนธรรม เรื่อง ภูมิบริรักษ์ : ครุฑ ยักษ์ นาค


เลขทะเบียน : นพ.บ.412/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4 x 53 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 147  (71-80) ผูก 4 (2566)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.545/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 26 หน้า ; 4 x 50 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องรัก-รักทึบ-ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 181  (303-310) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : พรหมราชสูตร--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง : ชีวิตมันสมองและการต่อสู้ของหลวงวิจิตรวาทการ ชื่อผู้แต่ง : พิมาน แจ่มจรัส ปีที่พิมพ์ : 2505 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : ผ่านฟ้าพิทยา จำนวนหน้า : 1,012 หน้า สาระสังเขป : ชีวิตมันสมองและการต่อสู้ของหลวงวิจิตรวาทการ เป็นหนังสือชีวประวัติของหลวงวิจิตรวาทการรัฐบุรุษคนสำคัญของประเทศไทย ชื่อหนังสือ มีที่มาจากหนังสือเรื่อง “มรสุมชีวิต” และ “มันสมอง” ของหลวงวิจิตรวาทการ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหา 8 บทประกอบด้วย ความรักอันใด จิตตานุภาพ วิธีทำงานและสร้างอนาคต ทางสู้ในชีวิต มันสมอง กำลังใจ วิชา 8 ประการ และวิชาครองเรือนและครองรัก มีบทเสริม 4 บท ประกอบด้วย เรื่องจิตวิทยาทางการเมือง โลกพูด-วิญญาณฟัง จากชีวิตถึงวิญญาณ และบทส่งท้ายมหาบุรุษ




พระพฤหัสบดีพระอิศวรสร้างจากฤษี ๑๙ ตน บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีส้มแดง พรมน้ำอมฤตได้เป็นพระพฤหัสบดี มีผิวกายสีส้มแดง ทรงกวางเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตก เป็นเทพนพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ มักทำอะไรด้วยความระมัดระวัง สุขุม รอบคอบ เมตตาปรานีต่อผู้อื่น เป็นมิตรกับพระอาทิตย์ และเป็นศัตรูกับพระจันทร์ สัญลักษณ์เลข ๕ มีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๙ เป็นครูของเทพทั้งหลาย จึงนิยมทำพิธีไหว้ครูในวันพฤหัสบดี


พุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระ.  พระราชนิพนธ์บทละคร เรื่อง สังข์ทอง.  พิมพ์ครั้งที่ 1.                 พระนคร: คุรสภา, 2496.         เนื้อเรื่องของบทละครนอกเรื่องสังข์ทอง  ได้เริ่มต้นกล่าวถึงเมืองยศวิมลนคร อันมีท้าวยศวิมลเป็นเจ้าเมือง พระมเหสีจันเทวีได้คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์ จึงถูกพระนางจันทา มเหสีรอง ใส่ร้ายว่าเป็นกาลีบ้านเมือง จนถูกขับออกจากเมืองไปอยู่กระท่อมตายายที่ชายป่า กระทั่งพระสังข์ที่ซ่อนอยู่ในหอย ได้ออกมาพบแม่ สร้างความยินดีกับพระนางจันเทวีมากข่าวล่วงรู้ไปถึงนางจันทา จึงได้ส่งคนมาจับพระสังข์ไปถ่วงน้ำ แต่ท้าวภุชงค์พญานาคราชช่วยเอาไว้ และส่งให้ไปอยู่กับ นางพันธุรัต พระสังข์เมื่อรู้ว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์จึงได้ขโมยรูปเงาะ ไม้เท้า เกือกแก้ว เหาะหนีมาอยู่บนเขา นางพันธุรัตตามมาทันแต่ ไม่สามารถขึ้นไปหาพระสังข์ได้ จึงได้มอบมนต์มหาจินดา เรียกเนื้อเรียกปลาให้แก่พระสังข์ก่อนที่จะอกแตกสิ้นใจตาย  พระสังข์เหาะมาจนถึงเมืองสามล ท้าวสามลและนางมณฑากำลังจัดพิธีเลือกคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด แต่รจนาพระธิดาองค์สุดท้อง ไม่ยอมเลือกใครเป็นคู่ ท้าวสามลจึงให้คนไปตามเจ้าเงาะมาให้เลือก รจนาเห็นรูปทองที่ซ่อนอยู่ในรูปเงาะจึงเสี่ยงมาลัยไปให้ สร้างความพิโรธให้ท้าวสามาลจึงถูกขับไล่ให้ไปอยู่ที่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ  ท้าวสามลหาทางแกล้งเจ้าเงาะ โดยการให้ไปหาเนื้อหาปลาแข่งกับเขยทั้งหก เจ้าเงาะใช้มนต์เรียกเนื้อ เรียกปลาทำให้หกเขยหาปลาไม่ได้ จึงยอมถูกตัดปลายหูและปลายจมูกเพื่อแลกกับเนื้อและปลา ท้าวสามลพิโรธมากจนถึงกับคิดหาทางประหารเจ้าเงาะ  พระอินทร์ต้องหาทางช่วยโดยการลงมาท้าตีคลีชิงเมือง กับท้าวสามล ท้าวสามลส่งหกเขยไปสู้ก็สู้ไม่ได้ จึงยอมให้เจ้าเงาะไปสู้แทน เจ้าเงาะถอดรูปเป็นพระสังข์และสู้กับพระอินทร์ จนชนะ ท้าวสามลจึงยอมรับพระสังข์กลับเข้าเมืองและจัดพิธีอภิเษกให้ พระอินทร์เข้าฝันท้าวยศวิมล ท้าวยศวิมลจึงได้ออกตามหาพระนางจันเทวีจนพบ และได้เดินทางไปเมืองสามลนครเพื่อพบพระสังข์ โดยพระนางจันเทวีได้ปลอมเป็นแม่ครัวในวังและได้แกะสลักเรื่องราวทั้งหมดบนชิ้นฟัก ให้พระสังข์เสวย ทำให้พระสังข์รู้ว่าแม่ครัวคือพระมารดานั่นเอง พระสังข์และรจนาจึงได้เสด็จตามท้าวยศวิมลและพระนางจันเทวีกลับไปครองเมืองยศวิมลสืบต่อไป


ชื่อเรื่อง                         ธมฺมบทวณฺณนา ธมฺมบทฏฺฐกถา (ขุทฺทกนิกายฏฺฐกถา) อย.บ.                            327/12 หมวดหมู่                       พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                  54 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 53 ซม. หัวเรื่อง                         พระธรรมเทศนา                                                                       บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา


โบราณสถานวัดชนะสงคราม          โบราณสถานวัดชนะสงคราม หรือโบราณสถานร้าง ก.7 ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองสุโขทัย ห่างจากวัดมหาธาตุไปทางทิศเหนือประมาณ 150 เมตร จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มโบราณสถานที่อยู่กลางเมืองสุโขทัย ซึ่งวัดนี้ถือว่าเป็นโบราณสถานขนาดกลาง แผนผังของวัดวางตัวตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างภายในวัดคือ          1.เจดีย์ประธานทรงระฆัง ขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐ ลักษณะของเจดีย์เป็นรูปแบบเฉพาะของเจดีย์ทรงระฆังแบบสุโขทัย คือ มีบัวถลา (บัวคว่ำ) 3 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นบัวปากระฆัง องค์ระฆัง บัลลังก์ ก้านฉัตรและปลียอด ทั้งนี้ ในส่วนของฐานบัวที่มีการทำเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่สองเส้น ลักษณะเช่นนี้จะพบอยู่ในศิลปะล้านนา          2.ฐานวิหาร ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกหรือทางด้านหน้าของเจดีย์ประธาน ก่อด้วยอิฐ และมีเสาวิหารกลมก่อด้วยศิลาแลง          3.ฐานโบสถ์ อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ประธาน ก่อด้วยอิฐ เสาศิลาแลง มีเสมาหินล้อมรอบ และอีกหนึ่งฐานอยู่ทางด้านทิศตะวันออกถัดจากวิหาร ซึ่งฐานโบสถ์หลังนี้ตั้งอยู่กลางน้ำ โดยใช้น้ำเป็นอุทกเสมา แสดงเขตศักดิ์สิทธิ์ สันนิษฐานว่าโบสถ์ที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกนั้นตั้งขึ้นภายหลังในช่วงสุโขทัยตอนปลาย เนื่องจากมีฐานที่ค่อนข้างสูง ซึ่งนิยมกันในสมัยอยุธยาและมิได้ตั้งอยู่ตามแนวแกนทิศ ซึ่งเป็นแผนผังการสร้างวัดของสุโขทัย          4.ฐานเจดีย์ราย จำนวน 11 ฐาน ตั้งอยู่รายรอบเจดีย์ประธาน ซึ่งมีเจดีย์รายทรงวิมาน 2 องค์ ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของเจดีย์ประธาน ถือว่าเป็นเจดีย์รายรูปแบบพิเศษ เนื่องจากพบเพียงไม่กี่องค์          5.กำแพงแก้ว ล้อมรอบวิหารและเจดีย์ประธาน ในปัจจุบันเหลือเพียงด้านทิศตะวันออกและทิศใต้บางส่วนเท่านั้น          วัดชนะสงครามนี้ไม่ปรากฏหลักฐานชื่อวัดในศิลาจารึก แต่ปรากฏชื่อวัดในพระราชนิพนธ์เที่ยวเมืองพระร่วง ของพระบาททสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวถึงวัดชนะสงครามว่า “...แต่ทางทิศเหนือวัดมหาธาตุ ริมวัดที่เรียกกันว่าวัดชนะสงครามนั้น...” .          เอกสารอ้างอิง1.อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กรมศิลปากร. ทำเนียบโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561. พิมพ์ครั้งที่ 2. สุโขทัย : อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย กรมศิลปากร, 2561.2.ศ.เกียรติคุณ สุรพล ดำริห์กุล. ประวัติศาสตร์และศิลปะสุโขทัย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, 2562. 3.ศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปกรรมโบราณในอาณาจักรสุโขทัย ประมวลศิลปกรรมโบราณเมืองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : มิวเซียมเพรส, 2561.4.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, เที่ยวเมืองพระร่วง, กรุงเทพฯ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ มล.ซ้ง สนิทวงศ์, 2520.


           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป กรมศิลปากร ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย จัดนิทรรศการ “Blossoming Curiosity: Indonesia – Thailand Collaborative Painting Exhibition” ระหว่างวันที่ 4 – 29 ตุลาคม 2566 ณ อาคารนิทรรศการ 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป             “Blossoming Curiosity: Indonesia – Thailand Collaborative Painting Exhibition” เป็นนิทรรศการแสดงผลงานจิตรกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสาธารณรัฐอินโดนีเซียและประเทศไทย ครั้งที่ 2 โดยในปีนี้มีศิลปินชาวอินโดนีเซีย 10 คน นำภาพเขียนหลากหลายเทคนิคมาร่วมแสดงผลงานกับศิลปินไทยอีก 10 คน เช่น ธงชัย รักปทุม ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ประจำปี 2553 และสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ประจำปี 2560 นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายรัคมัต บูดีมัน (H.E. Mr. Rachmat Budiman) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เป็นศิลปินรับเชิญร่วมแสดงผลงานอีกด้วย              โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายรัคมัต บูดีมัน (H.E. Mr. Rachmat Budiman) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการเมื่อวันวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566             นิทรรศการ “Blossoming Curiosity: Indonesia – Thailand Collaborative Painting Exhibition” จัดแสดงตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ณ อาคารนิทรรศการ 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป  เปิดให้เข้าชมวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 9.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท (* นักเรียน นักศึกษา ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และนักบวชทุกศาสนา เข้าชมฟรี )


Messenger