ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
ชื่อเรื่อง : " ประเพณีสร้างสรรค์ " ในสังคมไทยร่วมสมัย
ผู้เขียน : ศิราพร ณ ถลาง
สำนักพิมพ์ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิริรธร (องค์การมหาชน)
ปีพิมพ์ : 2558
เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ : 978-616-7154-29-9
เลขเรียกหนังสือ : 390.09593 ศ444ป
ประเภทหนังสือ : หนังสือทั่วไป
ห้องบริการ : ห้องหนังสือทั่วไป 1
สาระสังเขป : "ประเพณีสร้างสรรค์" ในสังคมไทยร่วมสมัย เป็นหนังสือรวมบทความวิจัยจากโครงการวิจัยเรื่อง "คติชนสร้างสรรค์" พลวัตและการนำคติชนไปใช้ในสังคมไทย ร่วมสมัย (2554-2557) เป็นโครงการที่วิจัยโดยใช้ข้อมูลคติชนที่เกี่ยวกับความเชื่อและพิธีกรรมเป็นหลักซึ่งได้นำเสนอทั้งข้อมูลและข้อค้นพบจากงานวิจัยประเพณีสร้างสรรค์ ที่สะท้อนปรากฏการณ์พลวัตของประเพณีพิธีกรรมและปรากฎการณ์การประยุกต์ ประเพณีพิธีกรรมที่สืบทอดมาจากสังคมประเพณีหรือที่มีการสร้างใหม่อย่างสร้างสรรค์ ในบริบทสังคมไทยปัจจุบัน บทความวิจัยทั้ง 6 เรื่อง ประกอบด้วย (1) การสร้างภาพลักษณ์ "หมู่บ้านวัฒนธรรม" จากคติชนบนเวทีการท่องเที่ยวที่บ้านหนองขาว (2) พลวัตพิธี "สืบ ส่ง ถอน" ในสังคมล้านนาปัจจุบัน (3) การสืบทอดและการผลิตซ้ำประเพณี และพิธีกรรมเกี่ยวกับพระอุปคุตในสังคมไทยปัจจุบัน (4) ประเพณีบุญบั้งไฟของชาวญี่ปุ่นและชาวไทย : การศึกษาเปรียบเทียบประเพณับั้งไฟริวเซโยะฌิดะ และประเพณีบุญบั้งไฟบ้านปะอาว (5) พลวัตและการสร้างประเพณัประดิษฐ์ในชุมชนอีสานลุ่มน้ำโขง และ (6) พิธีสวดนพเคราะห์ : พลวัตและพิธีกรรมประดิษฐ์ในสังคมไทยปัจจุบัน นอกจากนี้ยังนำเสนอบทความสังเคราะห์เรื่อง "พลวัตประเพณีพิธีกรรมในสังคมไทยร่วมสมัย" ซึ่งเป็นการสังเคราะห์ข้อค้นพบ วิธีการ และวิธีคิดของคนไทยในการนำเสนอประเพณี พิธีกรรมในปัจจุบัน ตลอดจนอภิปรายบทบาทและลักษณะของประเพณีสร้างสรรค์ในฐานะคติชนสร้างสรรค์ ด้วยความมุ่งหวังให้ผู้อ่านได้เกิดความเข้าใจพลวัตของคติชนและพลวัตของวัฒนธรรมไทยในสังคมปัจจุบันยึ่งขึ้น
หลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในภาคใต้ของประเทศไทยตอน การเข้ามาของชาวอินเดียในภาคใต้ หลักฐานที่แสดงถึงการติดต่อระหว่างอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มปรากฏขึ้นเมื่อชาวอินเดียได้เดินเรือออกไปติดต่อค้าขายทางทิศตะวันออกเพื่อแสวงหาความร่ำรวยยังดินแดนห่างไกลที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi) หรือ สุวรรณทวีป (Suvarnadvipa) สุวรรณภูมิ หรือ สุวัณณภูมิ หรือ สุวรรณทวีป แปลตามรากศัพท์ได้ว่า ดินแดนแห่งทองคำ เชื่อกันว่ามีทองคำมากมาย ซึ่งเป็นที่ต้องการของชาวอินเดีย รวมทั้งยังเป็นแหล่งที่มีทรัพยาการทางธรรมชาติและเครื่องเทศซึ่งเป็นที่ต้องการของชาวตะวันตก สุวรรณภูมิ หรือ สุวรรณทวีป ในปัจจุบันหมายถึง ดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมพื้นที่ - ผืนแผ่นดินใหญ่ (Mainland) คือ พม่า ลาว ไทย เขมร เวียดนาม มาเลเชีย สิงคโปร์ - ผืนแผ่นดินคาบสมุทร (Peninsular) คือ คาบสมุทรพม่า คาบสมุทรมลายู และคาบสมุทรอินโดจีน - ดินแดนที่เป็นเกาะ (Islands) คือ หมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรแปซิฟิก และอินโดนีเชีย บรูไน ฟิลิปปินส์ และติมอตะวันออก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริเวณภาคใต้ของไทยและแหลมมลายูมีการติดต่อกับชาวอินเดียและชาวต่างชาติในสมัยโบราณ คือ ๑. ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คือ ภาคใต้ของไทยตั้งอยู่บนแหลมมลายู ซึ่งมีลักษณะเหมือนแท่งเดือยอยู่ตรงกลางของคาบสมุทร ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการคมนาคม การค้า การทหาร ๒. ตั้งอยู่ในเขตมรสุม คือ ลมมรสุมที่พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างเดือนพฤษภาคม–ตุลาคม) พัดข้ามมหาสมุทรอินเดียจากเส้นศูนย์สูตร และลมมรสุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ระหว่างเดือนพฤศจิกายน–เมษายน) พัดจากตะวันออกจากฝั่งทะเลจีนและข้ามทะเลจีนมาบรรจบกันที่บริเวณปลายแหลมมลายูหรือมาบรรจบกันที่บริเวณช่องแคบมะละกา ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นจุดนัดพบของเรือสินค้าจากซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออก เช่น อินเดีย อาหรับ จีน เวียดนาม เป็นต้น รวมทั้งยังเป็นจุดนัดพบของพ่อค้านักเดินเรือชาวต่างชาติและชาวท้องถิ่นเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันมานานตั้งแต่สมัยโบราณ ๓. มีแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติ คือ มีพืชพันธ์ไม้เศรษฐกิจและผลผลิตจากป่าที่เป็นที่ต้องการในสมัยโบราณ เช่น ไม้เนื้อหอมต่างๆ หนังสัตว์ เขาสัตว์ ผลผลิตจากทะเล เช่น กระดองเต่า ไข่มุก แร่ธาตุ เช่น ดีบุก ตะกั่ว ทองคำ เป็นต้น จากปัจจัยทั้ง ๓ ประการ ส่งผลให้ภาคใต้ของไทยและแหลมมลายูมีพัฒนาการเป็นชุมชนหรือเมืองท่าโบราณที่สำคัญในเวลาต่อมา สันนิษฐานว่าในการเดินเรือเข้ามาติดต่อค้าขาย พ่อค้าชาวอินเดียน่าจะนำเครื่องรางหรือรูปเคารพขนาดเล็กหรืออาจมีนักบวชของแต่ละศาสนาติดตามมาด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการเดินทาง เนื่องจากการเดินทางทางทะเลมักมีอันตรายจากธรรมชาติและโจรสลัด รวมทั้งเพื่อให้ประสบความสำเร็จทางการค้า และอาจด้วยเหตุนี้ที่ทำให้คติความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งอิทธิพลทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ ของอินเดียได้ปรากฏและหยั่งรากลงในดินแดนสุวรรณภูมิหรือพื้นที่บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนในภาคใต้ของไทยในเวลาต่อมา ภาพ : แผนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของปโทเลมี นักเขียนแผนที่ชาวยุโรปในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ที่มา : Wheatley,Paul. The Golden Khersonese. Kuala Lumpur: University of Malay Press, ๑๙๖๑. ภาพ : แผนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ที่มา : อมรา ศรีสุชาติ. ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๕๗. ภาพ : เรือสำเภาและนักเดินทาง บุโรพุทโธ ชวาภาคกลาง เกาะชวา อินโดนีเซีย ที่มา : อมรา ศรีสุชาติ. ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๕๗.-------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : น.ส.สุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช -------------------------------------อ้างอิง : - ผาสุข อินทราวุธ, ศ.ดร. สุวรรณภูมิจากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ: ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๘. - Wheatley,Paul. The Golden Khersonese. Kuala Lumpur: University of Malay Press, ๑๙๖๑.
ชื่อเรื่อง พรหลั่งน้ำ (พอนหลั่งน้ำ)สพ.บ. 222/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 32 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 30ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ศาสนพิธิ
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ภาษาบาลี-ไทยอีสาน ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ลับแลเรื่องอิเหนา (ด้านหลัง)
ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว)
ไม้ลงรักปิดทอง สีฝุ่น
กรมศิลปากรซื้อจากพิพิธภัณฑ์ของหม่อมเจ้าปิยะภักดีนาถ สุประดิษฐ์ เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๗๙
อิเหนาเป็นนิทานของชวา ที่แพร่เข้ามาสู่ราชสำนักตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา สำนวนที่แพร่หลายในปัจจุบันเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ ๒ ลับแลลายกำมะลอด้านหน้าเขียนเรื่องอิเหนาตอนสียะตราเผยม่าน ด้านหลังเขียนตอนบุษบาเล่นธาร ตัดดอกลำเจียกให้นางยุบลค่อม อิเหนาฉายกริช บุษบาเสี่ยงเทียน จนถึงตอนฤาษีสังปะลิเหงะให้พรแก่อิเหนาและบุษบา
เลขทะเบียน : นพ.บ.124/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 62 หน้า ; 4.7 x 58 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 71 (243-247) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : ปพฺพชาขนฺธก (ปัพพชาขันธ์)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
"ข้าว วิถีไทย สายใยวัฒนธรรมแห่งแผ่นดิน" ปฏิทินชาวนา ตอนที่ ๑ เดือนเมษายน
ในช่วงเดือนเมษายนของไทยนั้น จะเป็นช่วงที่ชาวนาคัดเลือกพันธุ์ข้าวเก็บไว้ปลูก หรือแบ่งขาย เก็บไว้กินในครอบครัว และเตรียมทำนาตามฤดูกาลต่อไป เป็นช่วงระยะเวลาที่ชาวนาไทยกำลังรอฝน
นางสาวภัทรา เชาว์ปรัชญากุล ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เผยแพร่
กฏหมายอัยการลักษณะวิวาท ชบ.ส. ๓๙
เจ้าอาวาสวัดบุญญฤทธยาราม ต.บ้านบึง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๒ ก.ค. ๒๕๓๕เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.23/1-2
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ธรรมาสน์ คือ ที่นั่งแสดงธรรมสำหรับพระสงฆ์ ในภาคอีสานสามารถพบเห็นได้ทั้งธรรมาสน์ไม้และธรรมาสน์ปูน ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะธรรมาสน์ไม้อีสาน ที่จำแนกออกได้เป็น ๓ ประเภทหลักๆ ได้แก่ ๑) หอธรรมาสน์ ลักษณะเป็นธรรมาสน์ที่มีฐานสูงและมียอดเป็นชั้น ๒) ธรรมาสน์ตั่ง ลักษณะคล้ายเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยม มีพนักพิงด้านหลัง ไม่มีหลังคา ๓) ธรรมาสน์เตียง ลักษณะคล้ายเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่มีพนักพิง ไม่มีหลังคา ธรรมาสน์เสาเดียว จัดอยู่ในกลุ่มของหอธรรมาสน์ มีลักษณะเด่น คือ ส่วนฐานของธรรมาสน์จะมี เสาเดียว และมีคันทวยหรือแขนนาง รองรับน้ำหนักจากตัวเรือนธรรมาสน์ลงสู่เสา ส่วนตัวเรือนและส่วนยอดของธรรมาสน์ จะมีความคล้ายคลึงกับหอธรรมาสน์ที่พบได้ทั่วไปในภาคอีสาน เช่น ส่วนตัวเรือนมักนิยมสร้างในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส และได้รับการประดับตกแต่งให้สวยงามด้วยการทาสี เขียนภาพจิตรกรรม ที่ส่วนใหญ่สะท้อนความเชื่อทางพุทธศาสนา วิถีชีวิต และนิทานพื้นบ้าน ผสมผสานงานแกะสลักหรืองานฉลุไม้ โดยนิยมสลักรูปดอกไม้ ใบไม้ และลวดลายตามธรรมชาติ นอกจากความสวยงามแล้ว เจตนาก็เพื่อทำช่องให้อากาศถ่ายเท และเป็นการอำพรางอิริยาบทของพระสงฆ์ขณะนั่งเทศน์บนธรรมาสน์ ตัวเรือนมีทั้งแบบผนังโปร่งและผนังทึบ ส่วนยอดพบทั้งหลังคาทรงจั่ว หลังคาทรงจัตุรมุข (ทรงจั่วซ้อนชั้น) และหลังคาทรงมณฑป (ทรงปราสาท) ซึ่งจำนวนชั้นหลังคาที่ซ้อนก็ขึ้นอยู่กับช่างฝีมือผู้สร้าง ธรรมาสน์เสาเดียวถือเป็นเอกลักษณ์ ทางวัฒนธรรมที่พบเฉพาะในกลุ่มผู้ไท เช่นที่วัดโพธิ์ชัย บ้านหนองห้าง วัดศรีภูขันธ์ บ้านโคกโก่ง วัดหอคำ บ้านคำกั้ง วัดจุมจังเหนือ บ้านจุมจัง วัดบ้านหนองบัวทอง บ้านหนองบัวทอง อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และ วัดพิจิตรสังฆาราม อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร การสร้างธรรมาสน์นอกจากความเชื่อทั่วไปเรื่องบุญกุศลที่ทำให้ผู้สร้างได้รับอานิสงส์ เกิดในชาติหน้าจะพบแต่ความสุขความเจริญ เมื่อตายไปก็ได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า ชาวผู้ไทยังมี ความเชื่อเกี่ยวกับอานิสงส์ของการสร้างธรรมาสน์เสาเดียว ว่าจะส่งผลให้ในชาตินี้ผู้คนจะให้ความเคารพนับถือ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่อง “หลักบ้าน” ที่ในภาคอีสานนิยมตั้งไว้กลางหมู่บ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของการยึดเหนียวจิตใจ และทำให้คนในชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตามคติความเชื่อเรื่องการนับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมาสน์เสาเดียวมักสร้างไว้ในหอแจก (ศาลาการเปรียญ) ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับให้คนในชุมชน มารวมตัวเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การฟังเทศน์ในงานบุญเดือนสี่ (บุญผะเหวด หรือ บุญพระเวส) หรือ งานบุญกฐินที่องค์มหากฐินจะถูกตั้งอยู่บนธรรมาสน์ ทำให้ธรรมาสน์กลายเป็นสิ่งที่สื่อถึงการรวมตัวกัน อย่างสงบสุขของคนในชุมชน จากความเลื่อมใสศรัทธาของชาวผู้ไทที่มีต่อพุทธศาสนา ทำให้เกิดการผสมผสานทางคติความเชื่อเรื่องการนับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเรื่อง “หลักบ้าน” ผนวกรวมกับคติความเชื่อทาง พุทธศาสนา ก่อให้เกิดสัญลักษณ์ทางคติความเชื่อเรื่องศูนย์รวมจิตใจ ที่คลี่คลายกลายมาเป็น “ธรรมมาสน์ เสาเดียว” สะท้อนให้เห็นถึงการรวมทั้งพุทธและผีเข้าไว้ด้วยกันของชาวผู้ไท------------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล: นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สํานักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี------------------------------------------------------------อ้างอิงจาก คำพันธ์ ยะปะตัง. ธรรมาสน์เสาเดียว : รูปแบบโครงสร้างและคติความเชื่อของชาวผู้ไท อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยศิลปะและวัฒนธรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๕. ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์, “ธรรมาสน์ไม้อีสาน” ใน เอกสารประกอบการนำเสนอผลงานทางวิชาการของ กรมศิลปากร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ วิจัย วิจักขณ์, วันที่ ๒๒ - ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๒, ณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร, หน้า ๑๗๐ - ๑๗๕.
ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๘ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๗ (ต่อ) –๗๘) ประวัติศาสตร์
ยูนนาน และทางไมตรีกับจีน ปราบเงี้ยว ตอนที่ ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพ ฯ : องค์การ
ค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๓. ๒๖๑ หน้า.
พงศวดารเล่มนี้เริ่มต้นได้กล่าวถึงการชิงราชบัลลังก์ยูนนานที่มีต่อเนื่องอย่างยาวนานต้องสู้รบและสูญเสียผู้นำมากมาย มีรายชื่อแขวงต่าง ๆ ราชวงศ์ตวนเป็นยุคทองของศาสนา เมื่อพระเจ้าตวนเหลียงอี้ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยหยางอิเจงชิงราชบัลลังก์ เกาจิงไต้ยึดกลับคืนได้ก็คือให้ตวนเฉียวหวยครองต่อไป ในราชวงศ์ต้าจุงโกวมีเจ้าชายตนเช็งจุนครองราชย์ ราชวงศ์ตวนได้ราชบัลลังก์อีกครั้งหนึ่งมีการยกเลิกการเกณฑ์แรงงาน กองทัพมองโกลบุกยูนนานพระเจ้าตวนเสียงหิงจึงส่งนายพลเกาโหเป็นไปสมทบกับกองทัพของมูเซอร์ ยูนนานเสียเมืองให้แก่มงโกล ปราบปรามทิเบต วาระสุดท้ายของราชวงศ์ตวน ความยุ่งยากในญวน ผนวกประเทศยูนนานเข้ากับประเทศจีนโดยเด็ดขาด การยึดครองของพวกมงโกล การจัดระเบียบการปรกครองของมณฑล การกบฏเพ่อต่อต้านอำนาจของชาวมงโกล ประเทศยูนนานภายใต้การปกครองของราชวงศ์เหม็ง จีนได้ชัยชนะประเทศยูนนาน ราชวงศ์มงโกลถูกขับไล่ออกจากประเทศยูนนาน อวสานขอตระกูลตวน การกบำต่อการปกครองของจีน การต่อต้านการปกครองของราชวงศ์เหม็งต่อไป ชาวพม่ารับรองอำนาจการปกครองของประเทศจีน ความบาดหมางระหว่างจีนกับพม่า การกบฏต่อการปกครองของราชวงศ์เหม็ง ความพินาศของราชวงศ์เหม็ง หลีสือเจ็ง ชิงราชบัลลังก์จีน ชาวตาดเขายุดราชบัลลังก์จีน การต่อต้านของหลีสือเจ็ง อูชานกวยมาถึงประเทศยูนนาน อูซานกวยสถาปนาความสงบสุขในประเทศยูนนาน การสร้างประเทศยูนนานของอูซานกวย อูซานกวยประกาศเอกราช การยึดครองประเทศยูนนานโดเด็ดขาดของราชวงศ์ตาด ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้พัฒนาและเกิดนโยบายสาธารณะขึ้น
เกิดกบฏ และการตีเมืองแพร่แตกผู้พิพากษาเมืองแพร่หนีมาอยู่เมือง และขอกำลับจากกรุงเทพขึ้นไปเสริมเพราะไม่มีกำลังปราบปรามได้ สุดท้ายก็ปราบได้สำเร็จ
เครื่องประดับกับสตรีผู้งดงาม
ไข่มุก คืออัญมณีประจำราศีเมถุน ชาวยิวสมัยโบราณเชื่อว่า มุกเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ จะนำพาโชคลาภและสิริมงคลมาให้แก่ผู้ที่สวมใส่และครอบครอง ไข่มุกคืออัญมณีที่มีความงดงามเฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างจากอัญมณีชนิดอื่น ๆ ตรงที่สามารถนำไปทำเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ได้โดยไม่ต้องผ่านการเจียระไนก่อน ไข่มุกยังถูกนำไปทำยาตามตำรับจีน มีสรรพคุณในการรักษาผิวหนังไม่ให้เหี่ยวย่น ดังจะเห็นได้จากตำนานพระนางสูสีไทเฮา ซึ่งว่ากันว่าเสวยผงไข่มุกอยู่เป็นประจำ ทำให้คงความงามเป็นอมตะ ปัจจุบันนิยมนำไข่มุกมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล นับว่าไข่มุกเป็นอัญมณีที่แฝงไปด้วยสรรพคุณที่หลากหลายเพราะว่าสามารถที่จะนำมาดัดแปลงและใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้