ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ




-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : ระเบิดหินสร้างทางรถไฟ -- ข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุทำให้เราทราบว่า การสร้างโครงข่ายเส้นทางคมนาคมในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างทางรถไฟนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการก่อสร้างที่ต้องบุกเบิกขนอุปกรณ์ก่อสร้างเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่มีเส้นทางคมนาคมประเภทอื่นที่เหมาะสมนอกจากทางน้ำ ดังตัวอย่างการก่อสร้างทางรถไฟสายเหนือที่บริเวณเมืองพิจิตร ที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุชุด กรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงโยธาธิการ ดังนี้. เมื่อเดือนตุลาคม ร.ศ. 122 (พ.ศ. 2446) พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงษ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ (พระยศและตำแหน่งในขณะนั้น – สะกดตามต้นฉบับ) ทรงมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า ทรงได้รับรายงานจากเจ้ากรมรถไฟว่า การก่อสร้างทางรถไฟสายเหนือซึ่งต้องขนส่งเครื่องเหล็กก่อสร้างไปทางเรือนั้นไม่สะดวก เนื่องจากติดแก่งสะพานหิน 2 แห่ง บริเวณใต้เมืองพิจิตรลงมา เจ้ากรมรถไฟเสนอให้ระเบิดศิลาใต้น้ำเป็นช่องเล็กๆ พอให้เรือสามารถแล่นผ่านไปได้ ประมาณการค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งกรมขุนนริศรานุวัดติวงษ์ทรงเห็นว่าการระเบิดศิลานี้จะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการก่อสร้างทางรถไฟเท่านั้น หากจะเป็นประโยชน์ต่อการสัญจรของประชาชนด้วย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น กรมรถไฟจะออกแต่ค่าแรง ส่วนค่าสิ่งของจะขอให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติโอนเงินเหลือจ่ายในกระทรวงโยธาธิการไปจ่าย เนื่องจากการบำรุงรักษาแม่น้ำลำคลองเป็นหน้าที่ของกระทรวงโยธาธิการที่ต้องทำอยู่แล้ว ซึ่งในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบกลับว่า ทรงทราบเรื่องแล้ว และทรงเห็นว่าเป็นการดีควรจะระเบิด. หากพูดถึงการระเบิดหินในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อน อาจมีข้อสงสัยว่าจะระเบิดกันอย่างไร ใช้ระเบิดประเภทไหน แม้ว่าในเอกสารเรื่องนี้จะไม่ได้กล่าวถึงการดำเนินการระเบิดหินหลังจากที่มีพระราชหัตถเลขาแล้ว แต่ในเอกสารเรื่องเดียวกันนี้ได้ปรากฏหลักฐานการขออนุญาตสั่งเครื่องระเบิดของกรมรถไฟเพื่อใช้ในการสร้างรถไฟสายเหนือเมื่อเดือนสิงหาคม ร.ศ. 122 (ก่อนมีลายพระหัตถ์เรื่องขอระเบิดศิลาราว 2 เดือน) เครื่องระเบิดนี้ประกอบด้วย แก๊บดีโตเนเตอร์ (Blasting cap / Detonator) 25 หีบ หีบละ 10,000 ดอก ดินนาไมต์ (Dynamite) 200 หีบ หีบละ 50 ปอนด์ และฝักแค 50 ถัง ถังละ 250 ขด ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่า การขออนุญาตสั่งเครื่องระเบิดจำนวนมากเช่นนี้ นอกเหนือจากการระเบิดหินเพื่อประโยชน์ในการวางรางรถไฟแล้ว เครื่องระเบิดส่วนหนึ่งอาจจะนำมาใช้ระเบิดหินในแม่น้ำด้วยผู้เขียน: นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)เอกสารอ้างอิง:สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารชุดกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงโยธาธิการ ร.5 ยธ. 5.9/17 เรื่อง ระเบิดแก่งสพานหินใต้เมืองพิจิตรเพื่อการรถไฟสายเหนือ [ 5 ส.ค. – 31 ต.ค. 122 ].      #จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ


ปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ ที่จะนำพาทั้ง 2 จักรวาล และ 2 วงโคจร ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน เพื่อสร้าง “บทสนทนาของวงโคจร” ผ่านผลงานของ 2 ศิลปินแห่งชาติที่มีความโดดเด่นในวงการศิลปะไทย . ผลงานของ อินสนธิ์ วงค์สาม ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) พ.ศ. 2542 และทวี รัชนีกร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. 2548 ต่างมีอัตลักษณ์ชัดเจน แต่มีสิ่งหนึ่งที่สอดคล้องกันคือการนำ “รูปทรง” มาสร้างสรรค์และเล่าเรื่องในแบบของตนเอง เพื่อขับเคลื่อนวงการศิลปะไทยสมัยใหม่ . รูปทรงบริสุทธิ์แห่งความนิ่งขรึม สง่างาม มีชีวิตที่เคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาอ้อยอิ่ง และมีความสมบูรณ์แบบ เป็นการถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกของอินสนธิ์ ส่วนทวีมุ่งใช้รูปทรงแห่งการสำแดงพลังอารมณ์ เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง มีอารมณ์ขัน เสียดสีแดกดัน อันมีแรงส่งมาจากสภาพสังคม การบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนนี้เอง แสดงให้เห็นถึงการมีจักรวาลและวงโคจรของตนเอง . นิทรรศการ From orbit to Conversation 90 ปี อินสนธิ์ วงค์สาม และ ทวี รัชนีกร จะเป็นการนำเอาผลงานของทั้งคู่มาเกี่ยวร้อยเชื่อมโยงกัน เปรียบเสมือนบทสนทนาระหว่างเพื่อนที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ซึ่งจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้อยู่ในจักรวาล ท่ามกลางวงโคจรของกลุ่มสี แสง ธาตุ และฝุ่นผง ที่ประกอบร่างเป็นดาวดวงใหญ่เคลื่อนลอยอย่างเป็นระบบในจักรวาล ผ่านผลงานประเภทภาพพิมพ์แกะไม้ ภาพปะติดด้วยสมุดข่อย ประติมากรรมไม้ และภาพจิตรกรรมที่บรรจุสีสัน เปรียบเสมือนแสงดาวระยิบระยับท่ามกลางจักรวาลที่ทั้งสองศิลปินสร้างขึ้น . นิทรรศการเชิดชูเกียรติศิลปินอาวุโส พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป From orbit to Conversation 90 ปี อินสนธิ์ วงค์สาม และ ทวี รัชนีกร จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม  - 30 มิถุนายน 2567 ในวันพุธ - อาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. (ปิดวันจันทร์ – อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท  ชาวต่างชาติ 200 บาท


ชื่อเรื่อง                                ตำนานพระบาทธาตุ (ตำนานพระบาทธาตุ)สพ.บ.                                  473/1ประเภทวัสดุมีเดีย                   คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                              พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                          54 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                พุทธศาสนา                                         บทคัดย่อ/บันทึก           เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ  ได้รับบริจาคมาจากวัดด่านช้าง ต.ด่านช้าง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี


โรงเรียนครบุรี จ.นครราชสีมา  (เวลา 10.30 น.) จำนวน 110 คนวันอังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๐.๓๐ น. คณะข้าราชการครู และนักเรียน พร้อมด้วยบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา จำนวน ๑๑๐ คน เข้าเยี่ยมชม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ โดยมีนายธิริทธิ์ เรืองทวีทรพย์ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ และนางสาวณัฏฐกานต์ มิ่งขวัญ ตำแหน่ง เจ้าพนักงานพิพิธภัณฑ์ชำนาญงาน เป็นวิทยากรนำชมในครั้งนี้








องค์ความรู้ เรื่อง การเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชา ผู้เรียบเรียง : นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ ผู้ออกแบบ : นางสาววารุณี วิริยะชูศรี บรรณารักษ์


เริ่มแล้ว “๔ วัด ๑ วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” ชวนย้อนเวลา ส่องวิถี ปลุกแสงสี พระนครศรีอยุธยา ในวันที่ ๙ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ณ วัดไชยวัฒนาราม วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ วัดพระราม และพระราชวังจันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา               วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗เวลา ๑๙.๐๐ น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดการจัดงาน “๔ วัด ๑ วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” โดยมี  นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร  นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนางสุกัญญา เบาเนิด ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๓ พร้อมด้วยองค์กรภาคีและเครือข่ายทางวัฒนธรรมและสื่อมวลชน ณ วัดพระราม ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา             นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่าจากนโยบาย “วัฒนธรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” โดยใช้ “ทุนทางวัฒนธรรม”  ด้านต่าง ๆ มาผลักดัน Soft Power ของไทยนั้นเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก ที่รัฐบาลและกระทรวงวัฒนธรรมจะขับเคลื่อนผลักดัน คือ การท่องเที่ยวโบราณสถานยามราตรี ซึ่งกรมศิลปากรดำเนินงานมาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๖๖ จนประสบความสำเร็จ นำไปสู่การต่อยอดกิจกรรมในปีนี้ ภายใต้ชื่องาน “๔ วัด ๑ วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ”  ภายในงานจะมีการแสดงและกิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ การแสดงโขน การละเล่นย้อนยุค และการสาธิตช่างฝีมือ การจัดงานครั้งนี้จึงมุ่งหวังที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และกระตุ้นเศรษฐกิจสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น            โดยงาน “๔ วัด ๑ วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ณ วัดไชยวัฒนาราม วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ วัดพระรามและพระราชวังจันทรเกษม ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายใต้แนวคิด “ย้อนเวลา ส่องวิถี ปลุกแสงสีพระนครศรีอยุธยา” ชวนสัมผัสมนต์เสน่ห์วิถีไทย กรุงศรีอยุธยาช่วงต้นในยุคที่รุ่งเรืองทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม และการค้าขาย วิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้นมีความสุข และมีเสน่ห์อย่างไร ผ่านกิจกรรมการแสดง การละเล่น พร้อมทั้งการประดับไฟ Lighting Art Installation และ Projection Mapping โบราณสถานอันทรงคุณค่าให้ประชาชนได้เที่ยวชมความงดงามยามค่ำคืน            ภายในงานพบกับกิจกรรมไฮไลต์ Lighting Art Installation – การประดับตกแต่งไฟให้โบราณสถานสวยงามพร้อมสัมผัสบรรยากาศที่มีมนต์เสน่ห์เมื่อครั้งต้นกรุงฯ ยามค่ำคืน ในวันที่ ๙ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๘.๓๐ น.  เป็นต้นไป Projection Mapping – พบกับการฉายภาพเรื่องราวด้วยแสงสีอันวิจิตรตระการตา ณ วัดพระราม    ในวันที่ ในวันที่ ๙ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๘.๓๐ น. เป็นต้นไป และ วัดไชยวัฒนาราม ในวันที่ ๙ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๙.๐๐ น.  เป็นต้นไป พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ – ณ วิหารหลวง วัดมหาธาตุ ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป การประกวดนางนพมาศ ประจำปี ๒๕๖๗ – ยลโฉมสาวงามนางนพมาศแห่งกรุงฯ ในวันลอยกระทง ณ วัดพระราม ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๙.๐๐ น. เป็นต้นไป             นอกจากนี้ยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมและละเล่นไทยโบราณ เชิญชวนแต่งชุดไทย ชุดสไบ พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสวยงามของสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในยามค่ำคืน พร้อมเชิญชวนชิมอิ่มอร่อยจากการออกบูธอาหารจากทุกภูมิภาคตลอดการจัดงานฯ             ทั้งนี้ ภายหลังการจัดงาน “๔ วัด ๑ วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” กรมศิลปากรยังคงเปิดให้เข้าชมโบราณสถานทั้ง ๕ แห่งในทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ รวมถึงในวันหยุดนักขัตฤกษ์และช่วงเทศกาลสำคัญ ต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี ๒๕๖๘ เพื่อให้ทุกท่านได้ชื่นชมบรรยากาศโบราณสถานยามค่ำคืนในช่วงฤดูหนาว และให้อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา แหล่งมรดกโลกแห่งนี้ เป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวที่ต้องมาเยือน ให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีกับการชมโบราณสถานในเวลาค่ำคืน ซึ่งไม่ได้เปิดให้เข้าชมบ่อยนัก             อย่าพลาดโอกาสสำคัญในครั้งนี้ มาร่วมเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งดื่มด่ำกับบรรยากาศโบราณสถานยามค่ำคืน ได้ที่งาน “๔ วัด ๑ วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ”ในวันที่ ๙ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗  ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่เวลา ๑๗.๐๐ น. เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา Ayutthaya Historical Park และ Ayutthaya Sundown


องค์ความรู้ เรื่อง แหล่งเรียนรู้ศูนย์ราชการกรมศิลปากร จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้เรียบเรียง : นางสาวทิพย์สุดา อาจดี เจ้าพนักงานห้องสมุดปฏิบัติงาน


black ribbon.