ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ

           นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ตามที่นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้มอบนโยบายให้กรมศิลปากรดำเนินโครงการส่งเสริม Soft Power ด้านการท่องเที่ยว ในมิติทางวัฒนธรรม โดยเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวโบราณสถาน ซึ่งกรมศิลปากรได้จัดกิจกรรม “ศิลปากรสัญจร” ครั้งที่ 1  ณ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย จังหวัดนครราชสีมา ได้รับการตอบรับที่ดี จึงจัดกิจกรรมศิลปากรสัญจร ต่อเนื่อง ครั้งที่ 2 “มรดกโลก 2 นครา อยุธยา-ศรีเทพ” เชิญชวนผู้สนใจร่วมทัวร์ไปกับกรมศิลปากรในราคาย่อมเยา โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายนำเข้าสมทบกองทุนโบราณคดีเพื่อบูรณะโบราณสถานและพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ    ศิลปากรสัญจร ครั้งที่ 2 “มรดกโลก 2 นครา อยุธยา-ศรีเทพ” กำหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 10 มีนาคม 2567 เยือนแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม ๒ แห่ง ได้แก่ เมืองโบราณพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เริ่มต้นด้วยการสักการะพระพุทธสิหิงค์ และชมห้องจัดแสดงนิทรรศการศิลปะทวารวดีและศิลปะอยุธยา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จากนั้นเดินทางไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชมนิทรรศการเครื่องทองอยุธยา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ชมวัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และแต่งชุดไทยชมวัดไชยวัฒนารามยามเย็น พร้อมชมการแสดงโขนสุดวิจิตรครั้งประวัติศาสตร์ โขนประกอบแสงสี เรื่องรามเกียรติ์ ชุด สัจจะพาลี โดยศิลปินจากสำนักการสังคีต รุ่งเช้าร่วมกิจกรรมตักบาตร ณ วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร และออกเดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์ ชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของไทย โดยมีวิทยากรมากประสบการณ์ รวมทั้งนักโบราณคดีที่ได้ทำงานในแต่ละพื้นที่เป็นมัคคุเทศก์ร่วมให้ความรู้และความเป็นมาของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของชาติได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ในราคา 5,800 บาท (รวมค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเข้าชม ชุดตักบาตรพระสงฆ์ และค่าบริการชุดไทย) รับจำนวนจำกัด 80 คนเท่านั้น             ผู้สนใจจองเข้าร่วมกิจกรรมศิลปากรสัญจร ครั้งที่ 2 “มรดกโลก 2 นครา อยุธยา-ศรีเทพ” และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณสุภาภรณ์ ปัญญารัมย์ โทร 0 2164 2501 - 2 ต่อ 6008 และ 6010 หรือ โทร. 09 2634 8583 พระพุทธสิหิงค์ ห้องจัดแสดงนิทรรศการศิลปะทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ห้องจัดแสดงนิทรรศการศิลปะอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  นิทรรศการเครื่องทองอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา    วัดมหาธาตุ  วัดราชบูรณะ  วัดไชยวัฒนารามยามเย็น  การแสดงโขนประกอบแสงสี เรื่องรามเกียรติ์ ชุด สัจจะพาลี  วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร  โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ 


             สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญชมการแสดงโครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๗ “เหมันต์สุขศรี สุนทรีย์สังคีต” วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มีนาคม  ๒๕๖๗ เวลา  ๑๗.๓๐  น. ณ  สังคีตศาลา  บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  พระนคร  พบกับรายการแสดงเนื่องในวันปิดโครงการ ฯ ดังต่อไปนี้              ๑. การบรรเลงดนตรีไทย              ๒. การแสดงตำนานเทวะนิยาย เรื่องนารายณ์สิบปาง “อัปสราวตาร”               ๓. ระบำศรีเทพ               ๔. รำฉุยฉายสองนางเชลย               ๕. การแสดงสี่ภาค นำแสดงโดย  ศิลปินสำนักการสังคีต /  กำกับการแสดงโดย  ปกรณ์ พรพิสุทธิ์ / อำนวยการแสดงโดย  ลสิต อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักการสังคีต            บัตรราคา ๒๐ บาท (จำหน่ายบัตรก่อนการแสดง ๑ ชั่วโมง) ณ สังคีตศาลา บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐๒๒๒๑ ๐๑๗๑


         สายลมเย็นเดือนพฤศจิกายน หลังออกพรรษาแอดมินมีโอกาสเดินทางไปวัดหลายพื้นที่และเริ่มสังเกตเห็นการประดับตกแต่งโคมและเครื่องแขวนต่างๆ ทำให้นึกถึงประเพณี “เทศน์มหาชาติ” ซึ่งนิยมจัดในเดือนสิบสอง ตรงกับประเพณี “ตั้งธัมม์หลวง”ของภาคเหนือ นับเป็นพิธีใหญ่คู่กับประเพณีทานสลากภัตต์ และประเพณี “บุญผะเหวด” ตามฮีตสิบสองทางภาคอีสาน           คำว่า “มหาชาติ” หมายถึง พระเวสสันดรชาดก มีความสำคัญด้วยบารมีของพระโพธิสัตว์ครบบริบูรณ์  ๑๐ ประการ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชพิธีเทศน์มหาชาติถือเป็นการบำเพ็ญกุศลครั้งใหญ่ภายในพระบรมมหาราชวัง มีการประดับตกแต่งพรรณไม้ล้อมรอบธรรมมาสน์ และจัดเครื่องบูชาถวายกัณฑ์เทศน์อย่างเอิกเกริก          สมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงเกณฑ์พระบรมวงศานุวงศ์ทำกระจาดใหญ่บูชากัณฑ์เทศนา โปรดฯ ให้นิมนต์พระพิมลธรรม พระธรรมอุดม พระพุทธโฆษาจารย์ มาถวายพระธรรมเทศนาคาถาพัน โดยพระองค์ได้ถวายไตรจีวรและบริขาร พร้อมด้วยเครื่องกัณฑ์เทศน์บรรทุกเรือพระที่นั่งบรรลังก์ประดับโคมแขวนและปักธงมังกรจอดเทียบไว้หน้าพระตำหนักแพ ครั้งจบกัณฑ์ก็มีเรือคู่ชักและเรือพายข้าราชการมาส่งพระภิกษุสงฆ์ถึงพระอาราม           ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวว่า มีเครื่องบูชาถวายกัณฑ์มหาชาติครั้งนี้ ถึง ๑๓ กระจาด ตั้งหน้ากำแพงพระมหาปราสาทมาจนถึงหน้าโรงทองและหอนาฬิกา สำหรับประกวดประชันกัน โดยคุณแว่น (คุณเสือ) พระสนมเอกได้ใส่ทาสเด็กศีรษะจุกแต่งตัวหมดจดถวายพระสงฆ์ไปเป็นสิทธิ์ขาดด้วย          พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน กล่าวถึง พระราชพิธีเดือนอ้าย : พระราชกุศลเทศนามหาชาติ มีการตกแต่งเครื่องบูชาเทศนาภายในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ความว่า          “...หลังพระที่นั่งเศวตฉัตรผูกกิ่งไม้ มีดอกไม้ร้อยห้อยย้อยเป็นพวงพู่ผูกตามกิ่งไม้ทั่วไป ...ตั้งหมากพนมพานทองมหากฐินสองพาน หมากพนมใหญ่พานแว่นฟ้าสองพาน แล้วพานนี้เปลี่ยนเป็นโคมเวียน มีต้นไม้เงินทองตั้งรายสองแถว กระถางต้นไม้ดัดลายคราม โคมพโอมแก้วรายตลอดทั้งสองข้าง หน้าแถวมีกรงนกคิรีบูน ซึ่งติดกับหม้อแก้วเลี้ยงปลาทองตั้งปิดช่องกลาง ปลายแถวตั้งขันเทียนคาถาพัน ตามตะเกียงกิ่งที่เสาแขวนฉากเทศน์ทั้ง ๑๓ กัณฑ์...”          แสดงให้เห็นเครื่องบูชากัณฑ์เรียงรายจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ "โคมเวียน" เป็นโคมชนิดที่มีที่ครอบหมุนได้ บนที่ครอบเขียนรูปภาพลำดับเรื่องในพระพุทธศาสนา เมื่อจุดไฟแล้วที่ครอบจะหมุนไปช้า ๆ ทำให้รูปภาพบนที่ครอบหมุนเวียนตามไปด้วย ใช้เป็นเครื่องตั้งดูเล่นตามงานในเทศกาลต่างๆ  การเทศน์มหาชาติในช่วงต้นรัตนโกสินทร์นั้น จัดบนพระที่นั่งเศวตฉัตร ภายในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยแก่งเดียว เว้นแต่คราวมีพระบรมศพอยู่บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จึงได้ย้ายไปเทศนาบนพระแท่นมุก ภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแทน          ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยจัด ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม แต่การเทศนาฟังไม่ได้ยิน จึงได้ย้ายเข้าไปมีที่พระที่นั่งทรงธรรม โดยมีเฉพาะเจ้านาย เจ้าพนักงานกรมพระตำรวจ และมหาดเล็กเท่านั้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงได้ย้ายกลับมาเทศน์ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยไปตามเดิม เนื่องจากอยู่ใกล้กับที่ประทับ          ทั้งนี้ยังปรากฏธรรมเนียมให้พระราชโอรสฝึกหัดกัณฑ์เทศน์ถวายด้วย ครั้งพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่ ๕) เป็นสามเณรและได้ถวายเทศน์นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้จัดเครื่องบูชากัณฑ์สำหรับเฉพาะพระองค์ อันเป็นกระจาดใหญ่รูปเรือสำเภาบริเวณหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์           สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าไว้ว่า “...พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๔ คราวผนวชเป็นสามเณรได้ถวายกัณฑ์เทศน์แทบทุกองค์ โปรดให้พระราชครูพิราม (ชู) อยู่ในกรมราชบัณฑิตเป็นผู้ฝึกหัด” จากพระราชพิธีพระราชกุศลเทศนามหาชาติภายในพระบรมมหาราชวัง นับเป็นพระราชพิธีบำเพ็ญราชกุศล ซึ่งทำให้เห็นความเลื่อมใสศรัทธาและสถานะองค์ศาสนูปถัมภก ตามเจตนาน้อมในพระบรมพุทธาภิเษกสมบัติ อันได้นำพาสรรพสัตว์เข้าสู่นิพพานอย่างสมบูรณ์     ภาพประกอบ : โคมเวียน สมัยรัชกาลที่ ๒ (พุทธศตวรรษที่ ๒๔) ภายในคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  ประกอบด้วย ตัวโคมและที่ครอบ ทำรูปร่างคล้ายมณฑปทรงแปดเหลี่ยม มีสามชั้น แต่ละชั้นทำมุขโถงยื่นออกมา ๔ ทิศ มีพนักระเบียง ผนังลงรักปิดทองประดับกระจกสี และเจาะเป็นช่องหน้าต่างลายอย่างเทศ เพื่อให้มองเห็นจิตรกรรมเวสสันดรชาดก มีหลังคาทรงกระโจมยอดดอกบัวตูม เมื่อจุดไฟแล้วครอบนั้นหมุนได้ สำหรับใช้ประกอบสถานที่ในพิธีเทศน์มหาชาติ       อ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ" พระราชพิธีสิบสองเดือน". กรุงเทพฯ: บรรณาการ, ไม่ปรากฎปีที่พิมพ์. ธนิต  อยู่โพธิ์.  ตำนานเทศน์มหาชาติ.  กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๔. จารุณี อินเฉิดฉาย และคณะ. คุณธรรม จริยธรรม ตามรอยพระโพธิสัตว์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๕๑ เทศม์หาชาติ อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพนางมรรคาคำณวน ( ละมูล ปิ่นแสง ). กรุงเทพฯ : วรวุฒิการพิมพ์. ๒๕๑๖. ประสงค์ รายณสุข และสมิทธิพล เนตรนิมิตร .ประเพณีการเทศน์มหาชาติ ใน วารสารมจร พุทธศาสตร์ปริทรรศน์. ๒,๒(กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๒)


            วันอังคารที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๘.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๗ และร่วมชมการแสดงนาฏศิลป์และดนตรี โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร  กล่าวรายงาน ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร และประชาชนเข้าร่วมงาน รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ ๒ เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐา  ธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นวันอนุรักษ์มรดกไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีคุณูปการอย่างอเนกอนันต์ และทรงเป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดกิจกรรมเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยเป็นประจำทุกปี เพื่อส่งเสริมให้เยาวชน และประชาชนทั่วไป ได้รับความรู้ ความเข้าใจ ปลุกจิตสำนึกให้หวงแหนรักษาและภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมของชาติ               พุทธศักราช ๒๕๖๗ กรมศิลปากรได้จัดงานสัปดาห์วันอนุรักษ์มรดกไทย ระหว่างวันที่ ๒ – ๘ เมษายน ๒๕๖๗ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย              - การเสวนาทางวิชาการ “สุดยอดการค้นพบใหม่” ในทศวรรษที่ผ่านมาของกรมศิลปากร  ระหว่างวันที่ ๓ – ๘ เมษายน ๒๕๖๗ ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐ – ๑๘.๐๐ น. ณ ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ โดยจัดการเสวนาวันละ ๓ หัวข้อ รวม ๑๘ เรื่อง อาทิ ๑๐ สุดยอดโบราณวัตถุหายากที่สูญหายไปจากความทรงจำ, ผ่าโลกใต้พิภพเกาะกรุงรัตนโกสินทร์, ทศวรรษแห่งการค้นพบเรือโบราณพนมสุรินทร์ : เรือโบราณที่เก่าที่สุดในประเทศไทย, ข้อมูลใหม่จากวรรณกรรมอำพราง, การค้นพบหลักฐานใหม่สมัยทวารวดีในรอบทศวรรษ, ข้อมูลใหม่ด้านโบราณคดีของเมืองโบราณยะรัง เมืองโบราณสำคัญที่ปลายด้ามขวาน สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมการเสวนาล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์กรมศิลปากร หรือรับชมผ่านทาง facebook live: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม              - การแสดงนาฏศิลป์และดนตรี ระหว่างวันที่ ๒ – ๗ เมษายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๘.๐๐ – ๒๐.๐๐ น.  ณ เวทีกลางแจ้ง โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากร มีการแสดงที่น่าสนใจ เช่น การแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์  การแสดงละครนอก เรื่องแก้วหน้าม้า การแสดงละครตำนานพื้นบ้าน เรื่อง สงกรานต์ ละครเรื่อง อานุภาพพ่อขุน รามคำแหง                - การแสดงคอนเสิร์ต “เพชรในเพลง” ในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๗.๓๐ – ๑๙.๓๐ น. ณ เวทีกลางแจ้ง พบกับศิลปินที่ได้รับรางวัลเพชรในเพลง อาทิ รวงทอง ทองลั่นธม หนู มิเตอร์ เปาวลี พรพิมล ธนพร แวกประยูร นัน อนันต์ อาศัยไพรพนา บรรเลงโดยวงดุริยางค์สากล กรมศิลปากร


ชื่อเรื่อง: เที่ยวตามทางรถไฟ ผู้แต่ง: สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปีที่พิมพ์: พ.ศ. ๒๔๙๗ สถานที่พิมพ์: พระนคร สำนักพิมพ์: โรงพิมพ์ไทยเขษม จำนวนหน้า: ๑๔๘ เนื้อหา: “เที่ยวตามทางรถไฟ” แต่งโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นหนังสือที่ถูกจัดทำในงานพระราชทานเพลิงศพ นาย สำรวจ พันธุ์พิริยะ ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ เพื่อเป็นวิทยาทาน ของ นาย สำรวจ พันธุ์พิริยะ ผู้ล่วงลับไป หนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับตำนานของเมืองต่างๆ เช่น บางปะอิน, พระนครศรีอยุธยา, พระพุทธบาท, เมืองลพบุรี, เมืองนครสวรรค์, เมืองพิจิตร, เมืองพิษณุโลก, เมืองอุตรดิตถ์, เมืองสระบุรี และเมืองนครราชสีมา เลขทะเบียนหนังสือหายาก: ๑/๖๗ เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์: E-book ๒๕๖๗_๐๐๐๓ หมายเหตุ: หนังสืออิเล็กทรอนิค(E-book)ของหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ จัดทำโดย: นาย ธนกฤต แสงวิจิตร นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ สาขาสารสนเทศศึกษา คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


           กรมศิลปากร โดยกลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ขอเชิญท่านผู้สนใจและน้องๆ เยาวชน ลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมกิจกรรม "WALK RALLY ร่วมสนุกตามหาเอกสารล้ำค่าจารึกสยาม" กิจกรรมประกอบนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๖๗ "เอกสารล้ำค่า จารึกสยาม (Priceless Document of Siam)" ในวันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๕.๓๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ และพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  สามารถสมัครร่วมกิจกรรมโดยแสกนคิวอาร์โค้ด หรือกดลิ้งนี้ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdNNbY2OPVZ7HIiWdRBz8jsxy-2SXAN2Q-2v-HU5gHn3tSbWg/viewform รีบสมัครด่วน!!! รับจำนวนจำกัด


คณะกองทุนหมู่บ้านพัฒนานิคม จ.ลพบุรี (เวลา 14.00 น.) จำนวน 28 คนวันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๔.๐๐ น. คณะกองทุนหมู่บ้านพัฒนานิคม จ.ลพบุรี จำนวน ๒๘ คน เข้าเยี่ยมชม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์ โดยมีว่าที่ร้อยตรีรุ่งเรือง ชื่นชม ตำแหน่ง พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ เป็นวิทยากรนำชมในครั้งนี้







โบราณสถานหอพระนารายณ์           ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัด นครศรีธรรมราช ตรงข้ามกับหอพระอิศวร เป็นโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย  บูชาพระนารายณ์เป็นใหญ่เหนือเทพองค์อื่น            หอพระนารายณ์สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ต่อมาได้มีการบูรณะหลายครั้ง ครั้งสำคัญบูรณะโดยพระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ (สิน เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช (พ.ศ. 2462 - 2475) ปัจจุบันหอพระนารายณ์เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน  ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาทรงจั่ว โครงหลังคาไม้มุงกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบ ด้านหน้าอาคารหันหน้าไปทางตะวันตก จากการขุดค้นทางโบราณคดีเมื่อพ.ศ. 2558 พบว่าหอพระนารายณ์หลังปัจจุบัน สร้างทับอาคารหลังเก่าที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งอาคารหลังปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่าอาคารหลังเก่า           ภายในหอพระนารายณ์ เดิมเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์สี่กร ทำด้วยหินทราย อายุพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑1 แสดงถึงอิทธิพลอารยธรรมอินเดียในพื้นที่ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันนำมาเก็บรักษาและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ส่วนเทวรูปพระนารายณ์  องค์ปัจจุบันที่ประดิษฐานอยู่ภายในหอพระนารายณ์นั้น กรมศิลปากรจำลองแบบตามภาพถ่ายเก่า ลักษณะเป็นเทวรูปในศิลปะอยุธยา            หอพระนารายณ์ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 53 หน้า 1530 วันที่ 27 กันยายน 2479 และกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๔๐ ตอนพิเศษ ๑๑๖ ง หน้า ๓๖ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ พื้นที่โบราณสถาน ๒ งาน ๓๖.๒๕ ตารางวา Ho Phra Narai (Vishnu Shrine)           Ho Phra Narai or Vishnu Shrine is located on Ratchadamnoen Road, Nai Mueang Sub-district, Mueang Nakhon Si Thammarat District, Nakhon Si Thammarat Province, opposite Ho Phra Isuan (Shiva Shrine). It is Hinduism sanctuary, in Vaishnavism.           Ho Phra Narai was built in Ayutthaya period. Afterwards, it was restored several times, the important restoration took place during Phraya Ratsadanupradit (Sin Devastin na Ayudhaya) was the governor of Nakhon Si Thammarat Province (1919 - 1932). Ho Phra Narai is a rectangular building, made of bricks and lime, has a plain gable. The roof structure made of wood and covered with unglazed terracotta roof tiles. The building faces west. According to archaeological excavation in 2015, the evidence showed that the current building was built on top of the old building which had built since Ayutthaya period and it also showed that the current building is smaller than the old building. Inside the shrine, the Four-Armed Vishnu, made of sandstone, dating between the 4th - 5th century, showing the influence of Indian civilisation in Nakhon Si Thammarat, was enshrined. Currently, it is preserved and displayed at Nakhon Si Thammarat National Museum. The Vishnu Sculpture in Ho Phra Narai is a replica which was built based on old photographs by The Fine Arts Department. It has characteristics of Ayutthaya art.           The Fine Arts Department announced the registration of Ho Phra Narai as a national monument in the Royal Gazette, Volume 53, page 1530, dated 27th September 1936 and announced a national monument area in the Royal Gazette, Volume 140 Special Part 116 ,page 36, dated 19th May 2023.                   



ชื่อเรื่อง : ประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2511 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2512 หัวเรื่อง : พระบรมราโชวาท              พระราชดำรัส รายละเอียด : - ผู้แต่ง : - แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หน่วยงานที่รับผิดชอบ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร ปีที่พิมพ์ : 2513 วันที่เผยแพร่ : 30 มกราคม 2568 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ :  - รูปแบบ : PDF ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา : รวมพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2511 จนถึงเดือน พฤศจิกายน 2512 เลขทะเบียน : น. 31 บ. 12220 เลขหมู่ : 895.915             ป352


  ขนมปังขิง (Gingerbread) เป็นชื่อของลวดลายไม้ฉลุที่เจาะทะลุปรุโปร่ง มีลวดลายโค้งงอพลิ้วไหว ขดขมวดเกาะเกี่ยวเชื่อมต่อกัน นำมาตกแต่งเป็นส่วนประกอบต่างๆ ของสถาปัตยกรรม โดยลวดลายแบบขนมปังขิงนี้เป็นที่นิยมมากทั่วยุโรปในยุควิคตอเรีย และสยามรับเอาอิทธิพลของศิลปกรรมนี้มาจากชาวตะวันตกที่เข้ามาอาศัยและติดต่อค้าขายในช่วงรัชกาลที่ 5 – 6 ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายเป็นอย่างมาก สามารถพบเห็นลายฉลุนี้ได้ในวังเจ้านาย ศาสนสถาน บ้านพักข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ บ้านคหบดีผู้มีฐานะ และอาคารตึกแถวริมถนนสายสำคัญในอดีต ตำแหน่งของอาคารที่นิยมประดับตกแต่งด้วยลายฉลุไม้แบบขนมปังขิง เช่น บริเวณหน้าจั่วและมุข เชิงชาย คอสอง ฝาผนัง หน้าต่าง ประตู ประตูเตี้ย ลูกกรง ระเบียง ช่องระบายอากาศ ค้ำยันชายคา เป็นต้น ด้วยเป็นลายที่ฉลุทะลุปรุโปร่ง จึงเป็นจุดเด่น สามารถมองเห็นลวดลายได้ชัดเจนจากระยะไกล ทำให้สถาปัตยกรรมที่ตกแต่งด้วยลายขนมปังขิงมีความอ่อนหวาน นุ่มนวล สวยงาม ชวนมอง เปรียบเสมือนเครื่องแต่งกายสตรีที่ตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ที่เป็นที่นิยมกันมากในยุคสมัยของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร   ลักษณะของลวดลายแบบขนมปังขิง ลักษณะของลวดลายแบบขนมปังขิงมีหลายรูปแบบ เช่น เป็นลวดลายที่มีลักษณะเป็นแนวตั้ง ลายในแนวนอน ลายในกรอบวงโค้ง และอาจมีลายในรูปสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมที่นำมาติดตั้งเป็นค้ำยันชายคา การเกิดลวดลายมีทั้งลักษณะของลวดลายที่เกิดจากพื้นไม้ ซึ่งนิยมออกแบบลวดลายในแนวนอน เส้นสายของลวดลายมักจะสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกันลวดลายที่เกิดจากพื้นไม้ก็สามารถทำในแนวตั้ง และในรูปแบบอื่นๆ ได้เช่นกัน          อีกลักษณะคือลวดลายที่เกิดจากช่องว่าง หรือช่องฉลุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลายในแนวตั้งของแผ่นไม้ ซึ่งการฉลุนี้มีการฉลุเป็นช่องปิดในรูปแบบต่างๆ และการฉลุเป็นช่องเปิดที่ต้องนำไม้แผ่นอื่นที่มีลวดลายและแบบเปิดที่สัมพันธ์นำมาประกอบเข้าด้วยกัน จึงจะได้รูปแบบลวดลายที่สมบูรณ์และต่อเนื่องกันไป ซึ่งลวดลายแบบขนมปังขิงในลักษณะเช่นนี้ มีทั้งแบบอย่างที่เป็นไม้ 1 แผ่น ช่องฉลุซ้าย – ขวาเหมือนกัน นำมาเรียงต่อกันไป หรือแบบที่ซ้ายขวาสลับข้างกัน และนำมาเรียงสลับกัน (กล่าวคือมี 2 แบบลาย) และอีกลักษณะหนึ่ง คือ แบบลายในช่องปิด เป็นลวดลายจบในแผ่น แต่นำมาเรียงต่อกัน   รูปแบบของลวดลายขนมปังขิง          1. ลายแนวนอน นิยมทำลวดลายเป็นรูปแบบลายก้านขด เครือเถาพันธุ์พฤกษา แตกลายออกเป็นกิ่งก้านช่อดอก ช่อใบรูปแบบต่างๆ เช่น ใบไม้แหลม ใบไม้หยัก ใบไม้กลีบกลม ดอกไม้กลีบแหลม ฯลฯ นอกจากนี้ยังปรากฏรูปสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับสังคมในช่วงเวลาดังกล่าวแทรกอยู่ในลวดลาย เช่น รูปแบบตัวอักษร ตัวเลข รูปธงชาติ รูปพานรัฐธรรมนูญ เป็นต้น         2. ลายแนวตั้ง รูปแบบของลวดลายเกิดขึ้นจากการเจาะฉลุแผ่นไม้เป็นแบบช่องปิดและช่องเปิด นิยมเจาะช่องฉลุเป็นลวดลายต่างๆ เช่น รูปลูกน้ำ รูปหยดน้ำ ใบไม้ลักษณะต่างๆ ดอกไม้สามกลีบ ดอกไม้สี่กลีบ ดอกหงอนไก่ ดอกจิก รูปหัวใจ รูปเรขาคณิต รูปดอกทิวลิป เป็นต้น   อาคารที่ตกแต่งด้วยลวดลายขนมปังขิงในจังหวัดจันทบุรี          ภรดี พันธุภากร และเสกสรรค์ ตันยาภิรมย์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้ศึกษารวบรวมลวดลายไม้ฉลุแบบขนมปังขิง สกุลช่างจันทบุรี โดยทำการสำรวจอาคารสถาปัตยกรรมที่มีการตกแต่งด้วยลวดลายแบบขนมปังขิงในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 62 หลัง พบว่ามีลวดลายไม้ฉลุ จำนวน 125 แบบลาย และปรากฏอาคารส่วนใหญ่อยู่ในย่านท่าหลวง ซึ่งเป็นย่านธุรกิจการค้าเก่า และศูนย์กลางในเขตอำเภอเมือง พื้นที่ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอท่าใหม่ และอำเภอขลุง กลุ่มรูปแบบอาคารมีทั้งสถานที่ราชการ เรือนเดี่ยวพักอาศัย เรือนแถวร้านค้า และกุฏิของพระภิกษุสงฆ์ อาคารดังกล่าวได้รับอิทธิพลตะวันตกที่แพร่เข้ามาในจันทบุรีระยะเวลาเดียวกับที่แพร่หลายในพระนคร โดยส่วนใหญ่ไม่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับช่าง ทราบเพียงส่วนใหญ่เป็นช่างในท้องถิ่น ช่างจีน และช่างญวณ และบางส่วนเป็นการสั่งซื้อไม้ฉลุลายจากพระนคร   นอกจากข้อมูลองค์ความรู้ที่ได้นำเสนอมาแล้วนั้น เรื่องราวของลวดลายไม้ฉลุแบบขนมปังขิง ยังมีรายละเอียดอีกหลากหลายมิติที่น่าสนใจ ผู้อ่านสามารถค้นคว้าและอ่านเพิ่มเติมได้ที่หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หรืออ่านในระบบออนไลน์โดยการสแกน QR Code   เรียบเรียงโดย   นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ                     หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี  สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กรมศิลปากร   แหล่งข้อมูลเอกสารอ้างอิง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม.  ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตลาดเก่าริมน้ำจันทบูร จังหวัดจันทบุรี.  กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2560. ภรดี พันธุภากร และเสกสรรค์ ตันยาภิรมย์.  การศึกษารวบรวมลวดลายไม้ฉลุแบบขนมปังขิงสกุลช่างจันทบุรี.  ชลบุรี: คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 2547. ภูชัย กวมทรัพย์.  ลายไม้ฉลุแบบขนมปังขิง: สุนทรียภาพแห่งกรุงรัตนโกสินทร์.  กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2560.   


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       83/3หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               34 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 53.7 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลานฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา 


black ribbon.