ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,754 รายการ
"คราด" คือ เครื่องมือสำหรับชักหรือลากขี้หญ้าในนา ทำด้วยไม้ มีฟันเป็นซี่ ๆ คล้ายหวี มีด้ามสำหรับถือ หากเป็นคราดขนาดใหญ่ที่ใช้ทำนาต้องใช้วัวหรือควายลาก โดยมีคันชักที่ปลายตัวคราดทั้งสองข้าง ปลายคันชักมีหูเชือกสำหรับคล้องกับแอกหรือคอม คราดมี 2 ชนิด คือ คราดเดี่ยว ใช้วัวหรือควายลากเพียงตัวเดียว คราดอีกชนิดหนึ่ง คือ คราดคู่ ซึ่งใช้วัวหรือควายลากสองตัว มีคันชักเพียงอันเดียวอยู่ระหว่างวัวหรือควาย คราดภาคเหนือ เรยก ขอแหย่ง คราดทำนาเรียก เผือ
ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๓๑
เจ้าอาวาสวัดพลับ ต.พนัสนิคม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๑ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.21/1-6
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
อากาศดำเกิง, หม่อมเจ้า. ครอบจักรวาล. พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา, ๒๕๑๘.
๒๐๕ หน้า. ๒๐๕ หน้า.
เป็นผลงานการประพันธ์เรื่องสั้นของ ม.จ.อากาศดำเกิง รวม ๔ เรื่องด้วยกัน ได้แก่ ๑) “ใช้บาป” ต่อเมื่อคนคนหนึ่งได้คิดและตระหนักดีแล้วว่าเขาคือผู้กระทำผิดไว้กับอีก 2 ชีวิต มันก็คงเพียงพอแล้วที่เขาต้อง “ใช้บาป” ที่ตัวเองได้ก่อไว้ ๒) “รัก” เมื่อชาย-หญิงมีความรักต่อกันก็ธรรมดาโดยทั่วไปที่อยากจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน การเชื่อใจกันและกันจะพาให้ชีวิตคู่ย่อมมีความสุขที่สุด แต่สำหรับเธอต้องยอมเสียสละความสุขที่สุดในชีวิตเพียงเพื่อทำการใหญ่ให้กับประเทศชาติ ๓) “ชีวิตกับความจริง” คนบางคนมีชีวิตอยู่ได้เพราะความฝัน เพราะเชื่อว่านั่นคือความสุข แต่สำหรับบางคนยึดถือเอาความจริงเป็นเรื่องที่สำคัญในชีวิต หากเลือกผิดมันจะนำมาซึ่งความทุกข์ ๔) “ยูเวลลิน คู่รักระหว่าง “โอเรลโด โรลีโอ” กับ “พริสซิลลา” ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงวิ่งตามเสียงไปก็พบว่าบิดานอนบาดเจ็บและได้สั่งให้ลืมเหตุการณ์นี่เสีย แต่เขาไม่อาจทำตามที่บิดาร้องขอไว้ได้ เขาจึงต้อห่างหายจากพริสซิลลาไป ๕ ปี ก็ได้พบกับ “ยูเวลลิน” ซึ่งเป็นผู้หญิงที่และยูเวลลินเป็นคนที่สืบรู้ความจริงในการตายบิดาของโอเรลโดโรลีโอ เขามิอาจจะลืมความเจ็บปวดนั้นได้เลย
แนแซ(ตาหนา)ปูนซีเมนต์ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดสงขลา(จะนะ นาทวี เทพา สะบ้าย้อย)และสตูล
แนแซ-ตาหนา
แนแซ เป็นภาษามลายูท้องถิ่น ตรงกับภาษามลายูกลางว่า Nesan หรือ Nisan แปลว่าหินที่ปักไว้บนหลุมฝังศพ โดยคำว่า “แนแซ” ถูกนำมาใช้เรียกเครื่องหมายสำหรับปักบนหลุมฝังศพที่อยู่ในลักษณะของเครื่องหมายประเภทถาวร โดยเน้นชนิดของวัสดุประเภทหินเป็นหลักจึงปรากฏเป็นคำเรียกในท้องถิ่นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า บาตูแนแซ (Batu Nisan) อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่าแม้ว่าเครื่องหมายที่ปักบนหลุมฝังศพจะมีวัสดุที่เปลี่ยนไปจากเดิมเช่นการนำซีเมนต์ เซรามิกส์ หรือวัสดุอื่นๆที่มีความคงทน มาใช้แทนหิน การเรียกชื่อของเครื่องหมายบนหลุมฝังศพประเภทถาวรนี้ ก็ยังคงเรียกว่า แนแซ อยู่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตามในพื้นที่จังหวัดสตูลและบางส่วนของจังหวัดสงขลานั้นไม่ได้เรียกเครื่องหมายสำหรับปักบนหลุมฝังศพว่า แนแซ ดังที่เรียกกันในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส แต่มีคำเรียกเป็นการเฉพาะว่า “ตาหนา” หรือ “แลสัน”
กำเนิดแนแซปูนซีเมนต์
แนแซที่ทำจากปูนซีเมนต์ เริ่มปรากฎขึ้นในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาจกล่าวได้ว่าแนแซชนิดนี้ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถผลิตขึ้นได้ในหมู่บ้าน โดยในช่วงแรกนั้นการประดับแนแซด้วยลายดอกไม้ได้รับความนิยมมาก ต่อมาจึงเริ่มมีการเขียนคำจารึกอย่างย่อด้วยอักษรยาวี ซึ่งระบุชื่อของผู้ตาย รวมทั้งวันเวลาในการตาย
ในปัจจุบันกูโบร์ทุกแห่งล้วนมีการใช้แนแซที่ทำจากปูนซีเมนต์ โดยสามารถหาซื้อแนแซในกลุ่มนี้ได้จากผู้ผลิตโดยตรง หรืออาจหาได้จากร้านผู้แทนจำหน่ายซึ่งมักเป็นร้านขายวัสดุภัณฑ์
แนแซปูนซีเมนต์รุ่นเก่า
แนแซกลุ่มนี้ผลิตขึ้นจากปูนซีเม็ดผสมกับทรายหยาบ สามารถมองเห็นเม็ดทรายในเนื้อปูนได้ชัดเจน ตรงกลางของแนแซมักมีเหล็กเส้นเป็นแกนกลางหนึ่งเส้น ผิวของแนแซชนิดนี้ไม่พบการตกแต่งด้วยการทาสี แต่จะพบการทำลายดอกไม้ชนิดต่างๆประดับตรงกลางแนแซ โดยลายดอกไม้เหล่านี้เป็นลายที่ทำขึ้นพร้อมบล็อคก่อนจะทำการเทปูนหล่อแนแซ อย่างไรก็ตามจากการสำรวจพบว่าในปัจจุบันมีการผลิตแนแซในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน แต่ลักษณะของการผสมปูนจะต่างกับแนแซในรูปแบบเดิม โดยในปัจจุบันปูนที่ใช้จะผสมกับทรายละเอียดทำให้ได้ผิวแนแซที่เนียนและเรียบขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถจำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ ๒ กลุ่มคือ
กลุ่มA แนแซปูนซีเมนต์รูปทรงแท่ง
กลุ่ม B แนแซปูนซีเมนต์รูปทรงแผ่น
แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่
แนแซกลุ่มนี้ไม่มีหลักฐานว่าเริ่มต้นผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าการผลิตแนแซในกลุ่มนี้มีผล มาจากรูปแบบของปูนซีเมนต์ในท้องตลาดและสัดส่วนการผสมปูนซีเมนต์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีผลให้สามารถหล่อแนแซที่มีผิวเรียบได้มากขึ้น รวมทั้งสามารถตกแต่งลวดลายและทาสีได้สวยงามมากขึ้น ในขณะที่ราคาของ แนแซรุ่นใหม่ก็อยู่ในระดับที่สามารถซื้อหาได้ง่าย จึงอาจเป็นเหตุผลให้แนแซในกลุ่มนี้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แนแซรุ่นเก่าค่อยๆเสื่อมความนิยมไปในที่สุด ทั้งนี้สามารถจำแนกแนแซในกลุ่มนี้ออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่คือ แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่ง และแนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่น
แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่ง
แนแซกลุ่มนี้ถูกผลิตขึ้นสำหรับหลุมฝังศพของเพศชาย ผลิตขึ้นจากปูนซีเมนต์ มีเหล็กเส้นเป็นแกนกลาง ผิวด้านนอกมีการทาสี และตกแต่งลวดลายสวยงาม เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จากการสำรวจสามารถจำแนกลักษณะของแนแซชนิดนี้จากรูปทรงได้ดังนี้
กลุ่มA แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)ทรงกระบอก
กลุ่มB แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)หกเหลี่ยม
กลุ่มC แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)หกเหลี่ยม
มีดาวประดับเหนือยอดโดม
กลุ่มD แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)สี่เหลี่ยม
กลุ่มE แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)สี่เหลี่ยม
มีดาวประดับเหนือยอดโดม
กลุ่มF แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)ทรงกระบอกเซาะร่อง
แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่น
แนแซกลุ่มนี้ถูกผลิตขึ้นสำหรับหลุมฝังศพของเพศหญิง ผลิตขึ้นจากปูนซีเมนต์ มีเหล็กเส้นเป็นแกนกลาง ผิวด้านนอกมีการทาสี และตกแต่งลวดลายรูปมัสยิด ดอกไม้ ใบไม้ และลวดลายอื่นๆ เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จากการสำรวจสามารถจำแนกลักษณะของแนแซชนิดนี้จากรูปทรงได้ดังนี้
กลุ่มA แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่นรูปทรงโครงร่างมัสยิด(หออะซาน)
กลุ่มB แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่นตกแต่งด้วยรูปดอกไม้ใบไม้
กลุ่มC แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่นตกแต่งด้วยลวดลายอื่นๆ
แนแซปูนซีเมนต์แบบสตูล
แนแซกลุ่มนี้ผลิตขึ้นจากปูนซีเมนต์ มีเหล็กเส้นเป็นแกนกลาง ส่วนใหญ่ไม่มีการทาสี จากการสำรวจพบนิยมแพร่หลายเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสตูล สามารถจำแนกลักษณะของแนแซชนิดนี้จากรูปทรงได้ดังนี้
กลุ่มA แนแซปูนซีเมนต์แบบสตูลชนิดแท่ง(สำหรับเพศชาย)
กลุ่มB แนแซปูนซีเมนต์แบบสตูลชนิดแผ่น(สำหรับเพศหญิง)
ข้อมูลจัดทำโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา โดยเรียบเรียงจาก รายงานองค์ความรู้จากหลุมฝังศพ(กูโบร์)ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยดำเนินการขุดค้นขุดแต่งโบราณสถานวัดเกาะไม้แดง เนื่องในโครงการบูรณะและเสริมความมั่นคงโบราณสถานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ เพื่อเก็บข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ ที่อยู่ใต้ดิน ก่อนที่จะดำเนินการบูรณะเสริมความมั่นคงต่อไปในอนาคต วัดเกาะไม้แดงหรือโบราณสถานร้าง ต.อ.๑๕ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร และห่างจากวัดเจดีย์สูงไปทางทิศใต้ประมาณ ๙๐ เมตร หรือสามารถเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของวัดเกาะไม้แดงได้ตามลิ้งก์นี้ >>>https://goo.gl/maps/ARgstrsDtCFd48NM8 สภาพก่อนการขุดค้นทางโบราณคดี ในหนังสือทำเนียบโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ระบุว่าโบราณสถานแห่งนี้เคยมีการขุดแต่งและบูรณะมาแล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ นี้มีคูน้ำล้อมรอบ ๔ ด้าน ภายในประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างหลักเรียงตามแนวแกนทิศตะวันออกไปตะวันตกดังนี้คือ ฐานวิหารก่ออิฐ ขนาด ๕ ห้อง กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๖.๓ เมตร เสาทำด้วยศิลาแลง ด้านหลังวิหารหรือด้านทิศตะวันตกของวิหาร มีมณฑปสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐ ขนาดกว้าง ๗.๕ เมตร ยาว ๙.๗ เมตร ภายในมณฑปเป็นห้องสี่เหลี่ยมใช้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ห่างออกมาด้านทิศตะวันตก ๑๕ เมตร ปรากฏมณฑปสี่เหลี่ยมก่ออิฐ ขนาดกว้างยาวประมาณ ๗ เมตร ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น รอบๆ ฐานมณฑปสี่เหลี่ยมมีการก่อเป็นฐานยื่นออกมาสามด้าน นอกจากนี้ยังมีฐานเจดีย์รายเหลืออยู่ ๒๗ องค์ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วก่ออิฐ ที่ก่อล้อมมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้านและเจดีย์รายไว้ ๓ ด้านคือทางด้านทิศเหนือ ทิศตะวันตกและทิศใต้ การดำเนินงานขุดค้นขุดแต่งโบราณสถานวัดเกาะไม้แดง ในขณะนี้ได้ดำเนินการขุดค้นขุดแต่งไปแล้วบางส่วนเท่านั้นคือบริเวณพื้นที่ภายในกำแพงแก้วที่ล้อมรอบมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้าน และพื้นที่ระหว่างมณฑปทั้ง ๒ หลัง ทำให้ทราบในเบื้องต้นว่าก่อนการสร้างมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้านที่เห็นในปัจจุบันนั้น มีการใช้งานพื้นที่มาก่อน เนื่องจากพบแนวอิฐที่เป็นกำแพงแก้วรอบล้อมกลุ่มฐานของเจดีย์ราย ฐานเจดีย์ราย นอกจากนี้ยังมีการขุดพบฐานวงกลมก่ออิฐฉาบปูนจำนวน ๒ ฐานซึ่งยังไม่ทราบหน้าที่การใช้งานที่ชัดเจน บริเวณใกล้ๆ กับมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้านพบแนวอิฐที่ใช้รองรับโครงสร้างอาคารอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามณฑป สันนิษฐานว่าเป็นแนวอิฐของโครงสร้างอาคารหลังเก่าที่มีมาก่อนที่มีมาการก่อสร้างมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้านซ้อนทับในสมัยหลัง ทั้งนี้การดำเนินงานขุดค้นขุดแต่งยังไม่แล้วเสร็จ หากท่านใดสนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดีที่วัดเกาะไม้แดงได้ตามที่ลิ้งก์แผนที่ที่แนบในย่อหน้าที่สองของบทความ และสามารถติดตามคืบหน้าของการศึกษา วิจัย ทางโบราณคดีของโบราณสถานวัดเกาะไม้แดงได้ในรูปแบบรายงานทางวิชาการที่จะเผยแพร่ผ่านทางหน้าเพจอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยต่อไปในอนาคต หรือสามารถสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้ได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4100167870035690&id=180332008685982&sfnsn=mo --------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย
แนวทางการใช้เทคโนโลยี่ในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยคุณชัยรัตน์ บรรเทาทุกข์ สถาบันไทย เยอรมัน โดยเป็นการบรรยายในหัวข้อ ที่มาของแนวคิด ผลกระทบที่เกิดขึ้น การประเมินสถานะปัจจุบัน แนวทางในการพัฒนาปรับปรุง องค์กร และการออกแบบการพัฒนาองค์กร
พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ รองอำมาตย์โท ขุนเจริญประศาสน์ (สาย วงศ์สายัณห์) ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร ๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๗
กิจการอุตสาหกรรมหล่อปืนในสวีเดนที่มีชื่อมากตั้งอยู่ที่เมือง Finspang มณฑล Ostergotland ลงทุนโดยนักค้าแร่ชาวฮอลันดาชื่อนายหลุยส์ เดอ เกียร์ ที่มองเห็นผลกำไรจากการค้าปืนใหญ่กับบริษัท V.O.C. ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ โรงหล่อปืนแห่งเมืองนี้ดำเนินงานโดยชาวสวีเดนชื่อนายวัลลูน และนายวิลเลียม เดอ เบซ ปืนใหญ่ที่หล่อขึ้นที่ Finspang ถูกนำเข้าประเทศฮอลันดาโดยนายหน้าค้าอาวุธสองคนที่เมือง Amsterdam ชื่อนายอีลาส ทริป ซึ่งเป็นพี่เขยของนายหลุยส์ เดอ เกียร์ และนายควินจัน ไบรอัน โดยขายให้กับหอการค้าของบริษัท V.O.C. (Vereenigde Oostindische Compagnie) เมือง Amsterdam ทั้งนี้ปืนเหล็กที่ส่งมาจำหน่ายที่บริษัท V.O.C. มักพบจารึกรูปตัว F ที่เพลาปืนด้านซ้ายและขวา และเมื่อบริษัท V.O.C. เมือง Amsterdam ได้รับปืนแล้วจะมีการทดสอบการยิง เมื่อปืนกระบอกใดผ่านการยิงทดสอบจะมีการจารึกสัญลักษณ์รูปประภาคารหรือที่เรียกว่า Amsterdam light house เพื่อเป็นการรับรองในการผ่านการทดสอบการยิงของปืนแต่ละกระบอก (proof firing) ส่วนน้ำหนักของปืน มักพบจารึกอยู่บนแหวนเสริมความแข็งแรงของปืนท้ายกระบอกในรูปของตัวเลขอารบิคและตัวอักษร A เช่น 2306A หมายถึงปืนกระบอกนี้หนัก 2610 Amsterdam Pound (1 Amsterdam Pound เท่ากับ 0.49409 กิโลกรัม) ปืนกระบอกนี้จึงหนักราว 1,139.371 กิโลกรัม ปืนใหญ่พบที่เมืองพัทลุงที่เขาชัยบุรี สันนิษฐานว่าทางราชการน่าจะเป็นผู้จัดหามาประจำการที่เมืองแห่งนี้ตั้งแต่สมัยอยุธยาและเรียกชื่อปืนเหล่านี้ว่า ปืนบะเรียม ปืนมะเรียม ปืนเปรียม ปืนเบรียม หรือ ปืนบ้าเหลี่ยม ซึ่งมีความหมายอย่างกว้างสำหรับเรียกปืนใหญ่ที่หล่อด้วยเหล็กหรือสำริด ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศตามแถบยุโรป เมื่อเมืองพัทลุงที่เขาชัยบุรีร้างไปในช่วงหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ปืนเหล่านี้ก็ถูกทิ้งไว้จนกระทั่งพ.ศ.๒๔๐๓ พระยาพัทลุง (ทับ ณ พัทลุง) มีบัญชาให้รื้ออิฐกำแพงเมืองชัยบุรี และย้ายปืนประจำเมืองมาไว้ที่เมืองพัทลุง ครั้นถึงพ.ศ.๒๔๗๗ นายถัด พรหมมานพ ครูใหญ่โรงเรียนพัทลุงในขณะนั้น ให้นักเรียนลูกเสือลากปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกนี้มาไว้ที่โรงเรียนพัทลุง และคงตั้งอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบันปืนใหญ่กระบอกที่ ๑ ขนาด ยาว ๒๕๘ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางปากกระบอกปืน ๒๓ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางปากกระบอกปืน(ด้านใน) ๑๑.๕ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๑) ๒๕ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๒) ๓๑ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๓) ๓๕ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๔) ๔๐ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๕ : ท้ายปืน) ๔๓ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางเพลาปืน ๙ เซนติเมตร ความยาวเพลาปืน ๙ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางรูชนวน ๑.๕ เซนติเมตร ตราประทับ Amsterdam light house น้ำหนักปืน 2322 Amsterdam Pound ที่เก็บรักษา หน้าเสาธงโรงเรียนพัทลุง (ฝั่งตะวันตก) อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุงปืนใหญ่กระบอกที่ ๒ ขนาด ยาว ๒๕๘ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางปากกระบอกปืน ๒๓ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางปากกระบอกปืน(ด้านใน) ๑๑.๕ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๑) ๒๕ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๒) ๓๑ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๓) ๓๕ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๔) ๔๐ เซนติเมตรเส้นผ่านศูนย์กลาง(แหวนเสริมความแข็งแรงวงที่๕ : ท้ายปืน) ๔๓ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางเพลาปืน ๙ เซนติเมตร ความยาวเพลาปืน ๙ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางรูชนวน ๑.๕ เซนติเมตร ตราประทับ Amsterdam light house น้ำหนักปืน 2306 Amsterdam Pound ที่เก็บรักษา หน้าเสาธงโรงเรียนพัทลุง (ฝั่งตะวันออก) อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง------------------------------------------------------------------------------------- เรียบเรียงโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ l กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา -------------------------------------------------------------------------------------ขอบคุณข้อมูลจาก ๑.ศิริรัจน์ วังศพ่าห์, ปืนใหญ่โบราณในประวัติศาสตร์ไทย, กรุงเทพฯ : สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, ๒๕๕๐
องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด เรื่อง ข้าวของเครื่องใช้ชาวจีนที่อพยพเข้ามาในจังหวัดร้อยเอ็ด (ฮวยน้า ฉีน้า เสี่ยหนา)
ชื่อเรื่อง มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (หิมพานต์-ฉกษัตริย์)สพ.บ. 417/10ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า : กว้าง 5.2 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดกบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-รักทึบ-ลานดิบ-ลองชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี