ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,749 รายการ

องค์ความรู้สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่เรื่อง : พัฒนาการ การอนุรักษ์โบราณสถานเมืองเชียงใหม่เรียบเรียงโดย : สายกลาง  จินดาสุ  นักโบราณคดีชำนาญการ          นับตั้งแต่พญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ โบราณสถานแต่ละแห่งของเมืองเชียงใหม่ผ่านการซ่อมสร้าง บูรณะปฏิสังขรณ์มานับครั้งไม่ถ้วน  หากพิจารณาจากเอกสารประวัติศาสตร์ จะเห็นว่าการปรับปรุงซ่อมแซมโบราณสถานในล้านนาเป็นเรื่องปกติที่นิยมทำแม้ไม่มีปัจจัยด้านการชำรุดเสื่อมโทรม ครั้งนี้เราจะมาดูพัฒนาการการอนุรักษ์โบราณสถานเมืองเชียงใหม่ว่ามีความเปลี่ยนแปลงทางแนวคิดและวิธีการอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา มีจุดเปลี่ยนและสาระสำคัญอะไรบ้าง          เมื่อย้อนดูเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ พบว่า มักปรากฏเนื้อความในเอกสารประวัติศาสตร์อยู่บ่อยครั้ง ที่กล่าวถึงกษัตริย์ให้ซ่อมเสริมหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบโบราณสถานไปจากเดิม เช่น การที่พระเจ้าติโลกราช โปรดให้มีการขยายขนาดเจดีย์หลวง ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา และให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบยอดเจดีย์ “ให้ขุดรอบๆพระธาตุเจดีย์หลวงองค์เก่า กว้างประมาณ ๑๐ ศอก ลึกแค่ศรีษะคนเพื่อทำฐานรากเจดีย์ ก่อให้เป็นวัตถุมั่นคงยิ่งขึ้นแล้วให้เอาแผ่นศิลาอันเป็นมงคลปิดทองคำเปลว...พระธาตุเจดีย์หลวงเมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วมีระเบียบกระพุ่มยอดเดียว          จะเห็นได้ว่าแนวคิดด้านการบูรณะโบราณสถานในอดีตมิได้ยึดถือในเรื่องการรักษารูปแบบดั้งเดิม หากแต่การบูรณะปฏิสังขรณ์เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่แห่งองค์พระมหากษัตริย์ เนื่องด้วยสิ่งก่อสร้างในพุทธศาสนา คือ เครื่องมือสะท้อนพระราชอำนาจของกษัตริย์ ในสถานะที่กษัตริย์ล้านนาเป็นองค์อุปถัมป์แห่งพุทธศาสนา ประวัติหรือตำนานบูรพกษัตริย์ในพื้นที่ภาคเหนือมักจะกล่าวถึงการเป็นผู้รับใช้พระศาสนาและได้รับความชอบธรรมให้เป็นกษัตริย์ ดังเรื่องของปู่เจ้าลาวจก ปฐมวงษ์ของพญามังราย ที่มิได้มีเชื้อสายกษัตริย์ แต่เป็นคนพื้นเมืองที่ถวายตนเป็นข้าเฝ้าพระธาตุดอยตุง เมื่อตายผลบุญจากการเป็นข้าเฝ้าพระธาตุเป็นอานิสงให้จุติเป็นเทวดาและสุดท้ายจึงโอปาติกะลงมาเป็นกษัตริย์ครองเมืองหิรัญนครเงินยางในแอ่งที่ราบเชียงแสน ดังนั้นแนวคิดด้านการบูรณะโบราณสถานในอดีตของล้านนาจึงผูกติดกับความเป็น “ธรรมราชา” ของกษัตริย์ผู้ปกครอง          เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งเสริมให้พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์มังรายประสบความสำเร็จในการปกครอง พบว่าจักต้องมีพระราชกรณียกิจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น อาทิ สมัยพระเจ้ากือนา ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ได้อาราธนาพระสุมนเถระ จากสุโขทัยมายังเชียงใหม่เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ในเมืองเชียงใหม่และล้านนา รวมถึงสร้างวัดสวนดอก (บุพพารามมหาวิหาร) และวัดพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  พระเจ้าติโลกราช ให้ทำการบูรณะเจดีย์หลวง ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ รวมถึงสร้างวัดเจ็ดยอด และสังคายนาพระไตรปิฏกที่วัดแห่งนี้  พระเมืองแก้ว บูรณะวัดต่างๆทั่วล้านนา บวชกุลบุตรล้านนาเป็นจำนวนมาก ดังที่ปรากฏหลักฐานการบวชกลางเกาะดอนทรายแม่น้ำโขงที่เมืองเชียงแสน รวมถึงสร้างพระพุทธรูปจำนวนมาก ซึ่งจารึกที่ฐานพระพุทธรูปในล้านนาหลายองค์ระบุถึงศักราชในกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งเป็นช่วงที่พระเมืองแก้วครองราชย์          โบราณสถานในล้านนาได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ระลอกใหญ่อีกครั้งในช่วงกลาง-ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๕ สมัยครูบาศรีวิชัย   งานบูรณะของครูบาศรีวิชัยมีแนวคิดที่คล้ายกับการบูรณะของกษัตริย์ในราชวงศ์มังรายของล้านนา คือ มิได้ยึดถือในเรื่องรูปแบบดั้งเดิมเป็นสาระสำคัญ หากแต่เป็นการบูรณะเพื่อสืบต่อพระศาสนา เป็นการบูรณะเพื่อให้โบราณสถานเหล่านั้นกลับมาใช้งานได้ดังเดิม ภารกิจสำคัญของครูบาศรีวิชัยประการหนึ่ง คือ การบูรณะและฟื้นวัดร้าง รูปแบบวิธีการบูรณะของครูบาศรีวิชัย โดยเฉพาะกับเจดีย์ ใช้วิธีการเดียวกับที่มีมาแต่อดีต คือการก่อครอบ ไม่มีการทำลายเจดีย์องค์เดิมแล้วจึงสร้างเจดีย์องค์ใหม่ ลักษณะเช่นนี้พบได้ในเจดีย์ทั่วล้านนา อาทิ เจดีย์วัดพระบวช เจดีย์วัดอาทิต้นแก้ว เมืองเชียงแสน เจดีย์วัดสะดือเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เจดีย์วัดพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเจดีย์องค์หลังนี้ ครูบาศรีวิชัยได้ก่อครอบไว้ราว พ.ศ.๒๔๗๐ - ๒๔๗๓ ซึ่งการก่อครอบนี้น่าจะเป็นคติของการรักษาพระบรมสารีริกธาตุที่มีมาแต่เดิม          หากจะนับเอาจุดเริ่มต้นการบูรณะโบราณสถานอย่างเป็นสากลในพื้นที่ล้านนา (ภาคเหนือตอนบน) ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกช่วงเวลาใด จำเป็นต้องกล่าวเชิงองค์รวมของการอนุรักษ์ว่าการบูรณะ คือ กระบวนการหนึ่งของการอนุรักษ์ และการอนุรักษ์ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการออกกฎหมาย ไปสู่การกำหนดบทบาทหน้าที่และวิธีดำเนินการ จุดเปลี่ยนของการบูรณะโบราณสถานในล้านนาเกิดขึ้นหลังจากการออกกฎหมายอนุรักษ์โบราณสถานฉบับแรกของสยามที่ชื่อ “พระราชบัญญัติว่าด้วยโบราณสถาน ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ และการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๗๗”  กฎหมายดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงวิธีคิดและระบบการอนุรักษ์โบราณสถานไปจากอดีต เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบในการดูแล รักษา ตรวจสอบตามกฏหมาย ให้เป็นหน้าที่ของกรมศิลปากร  ซึ่งก็คือ กรมศิลปากรได้เข้ามาเป็นตัวแทนของรัฐในการดูแลโบราณสถานตามที่กฏหมายกำหนดหน้าที่เอาไว้ ทั้งนี้ในปี ๒๔๗๘ กรมศิลปากร ได้มีการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเป็นครั้งแรก โดยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มีโบราณสถานที่ประกาศขึ้นทะเบียนในปีดังกล่าว ๑๕ แห่ง ประกอบด้วย พระธาตุจอมทอง ข่วงช้าง ข่วงสิงห์ วัดกู่เต้า วัดเจ็ดยอด กำแพงและคูเมืองเชียงใหม่ วัดการะเกด วัดเจดีย์หลวง วัดเชียงมั่น พระธาตุดอยสุเทพ วิหารเก้าตื้อ (วัดสวนดอก) วัดป่าแดงหลวง วัดร่ำเปิง วัดสวนดอก วัดอุโมงค์(นอก)          การประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในปี ๒๔๗๘ เป็นการประกาศขึ้นทะเบียนโดยกำหนดเพียงชื่อโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนและอาคารที่ขึ้นทะเบียนแต่ละหลัง แต่ยังไม่มีแผนผังการประกาศขึ้นทะเบียนประกอบ (แผนผังแสดงรายละเอียดรายการและขอบเขตพื้นที่โบราณสถานที่ประกาศขึ้นทะเบียน) ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว ข้อมูลการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานแต่ละแห่งไม่มีรายละเอียดขอบเขตพื้นที่ประกาศขึ้นทะเบียน ว่ามีอาณาบริเวณถึงไหน ทำให้ปี ๒๕๒๐ – ๒๕๒๔ มีการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานทั้ง ๑๕ แห่งอีกครั้ง โดยมีแผนผังพื้นที่ประกาศขึ้นทะเบียนประกอบ สอดคล้องกับช่วงระยะเวลาก่อนหน้านี้ ที่มีการออกหลักการการอนุรักษ์อย่างเป็นสากล คือ กฎบัตรเวนิช (Venice Charter) ในปี ๒๕๑๐ ซึ่งเป็นกฎบัตรการอนุรักษ์โบราณสถานที่ยึดถือเป็นหลักทั่วโลกและใช้มายาวนานกว่า ๕๐ ปี และการออกอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติในปี ๒๕๑๕ และกฎบัตรบูรา หรือที่เรียกว่า บูรา ชาเตอร์ (The Burra Charter) ซึ่งจัดทำขึ้น ณ ประเทศออสเตรเลีย ในปี ๒๕๒๒ ทำให้ความตื่นตัวในการอนุรักษ์โบราณสถานอย่างเป็นสากลเกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น  จนกระทั่งปี ๒๕๒๘ การอนุรักษ์โบราณสถานอย่างเป็นสากลจึงได้เกิดขึ้นในประเทศไทยและล้านนาอย่างเต็มเต็มตัว จากการที่กรมศิลปากรได้ออก ระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน ปี ๒๕๒๘ ซึ่งเนื้อหาต่างๆในระเบียบนี้อ้างอิงได้กับ พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปี ๒๕๐๔ และนิยามที่เกี่ยวกับประเภทการอนุรักษ์ที่กล่าวไว้ใน บูรา ชาเตอร์ และ เวนิส ชาเตอร์ ทำให้ห้วงปี ๒๕๒๒ - ๒๕๒๘ งานบูรณะโบราณสถานในเมืองเชียงใหม่ มีการดำเนินการโดยใช้หลักการอนุรักษ์อย่างเป็นสากลเต็มรูปแบบ          โบราณสถานแห่งแรกในเมืองเชียงใหม่ที่ปรากฏหลักฐานว่ามีการอนุรักษ์โดยอ้างอิงหลักการสากล คือ การบูรณะวัดสะดือเมืองและวัดอินทขิล ในปี ๒๕๒๖ การดำเนินการอนุรักษ์ในครั้งนั้นทำตามหลักการสากลที่กฎบัตรเวนิชวางไว้ คือ มีการขุดค้นทางโบราณคดี และการอนุรักษ์ประกอบกัน  โดยมีการขุดตรวจทางโบราณคดีเพื่อพิสูจน์ทราบโครงสร้างของเจดีย์ จากการขุดเปิดชั้นดินและเศษอิฐที่ทับถมส่วนฐานทำให้ทราบว่าเจดีย์วัดสะดือเมือง  เป็นเจดีย์ทรงระฆังแบบล้านนาที่ก่อหุ้มเจดีย์องค์เดิมที่เป็นเจดีย์ทรงปราสาทด้านใน ส่วนวัดอินทขิล ไม่พบการสร้างซ้อนทับ แต่ปรากฏร่องรอยแสดงให้เห็นว่าได้รับการซ่อมแซมบ้างแต่ไม่มากนัก  การดำเนินงานมีการอนุรักษ์โบราณสถานโดยมีข้อมูลจากการขุดค้นทางโบราณคดีเป็นพื้นฐาน การอนุรักษ์เจดีย์สะดือเมืองได้ทำการเสริมความมั่นคงฐานรากด้วยการเทเสาตอม่อและเทคอนกรีตเสริมเหล็กรับที่ส่วนฐาน (footing) และเทคานคอนกรีตเสริมเหล็กที่ส่วนฐานสี่เหลี่ยม ส่วนเจดีย์วัดอินทขิล ได้ดำเนินการเสริมความมั่นคงชั้นฐานด้วยการเทคอนกรีตเชื่อมระหว่างแกนในองค์เจดีย์กับแนวอิฐที่ก่อเสริมใหม่ และเสริมแกนเหล็กไว้ตรงกลางปลียอด ทั้งนี้หากใช้นิยามความหมายการอนุรักษ์ที่ปรากฏในกฏบัตรเวนิช และระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถานปี ๒๕๒๘ การอนุรักษ์โบราณสถานวัดสะดือเมืองและวัดอินทขิลจะจัดอยู่ในประเภท Restoration หรือ การบูรณะ เนื่องจากกฎบัตรเวนิช และระเบียบกรมศิลปากรฯ ให้มีการใช้วัสดุใหม่เข้าไปได้บ้างในกรณีที่มีความจำเป็น และต้องสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างของเก่าและของใหม่จากตัววัสดุแต่ต้องกลมกลืนในภาพรวม          ถ้าการการดำเนินงานทางโบราณคดีและการอนุรักษ์โบราณสถานที่วัดสะดือเมือง/อินทขิล คือจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์อย่างเป็นสากล ปี๒๕๒๗ ก็คือหมุดเริ่มต้นแห่งการอนุรักษ์ที่ใช้หลักการที่นานนาอารยประเทศใช้  หลังจากการดำเนินงานที่วัดสะดือเมือง/อินทขิล  ได้มีการอนุรักษ์โบราณสถานตามหลักสากลอีกหลายแห่งในเมืองเชียงใหม่ อาทิ วัดพระสิงห์ วัดเจดีย์หลวง วัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดเชียงมั่น กำแพงและป้อมมุมเมือง ทั้งนี้มีข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีการบูรณะกำแพงเมืองเชียงใหม่ในปี ๒๕๓๙ คือ อิฐที่เป็นอิฐก้อนใหม่ที่ใช้บูรณะแทนที่อิฐเก่าที่เสื่อมสภาพ มีการประทับปีพุทธศักราชที่อิฐ (ประทับปี ๒๕๓๙) แสดงให้เห็นการนำแนวคิดการอนุรักษ์อย่างเป็นสากลมาใช้ ที่ต้องการรักษาหลักการในการอนุรักษ์ว่า วัสดุที่นำมาเปลี่ยนต้องกลมกลืนแต่ก็ต้องแสดงให้เห็นความต่างระหว่างของเดิมที่มีอยู่และของที่ใส่ลงไปใหม่          โบราณสถานในเมืองเชียงใหม่ที่เป็นโบราณสถานสำคัญ ล้วนมีการบูรณะปฎิสังขรณ์มาโดยตลอด วัดพระสิงห์ เป็นตัวอย่างของวัดที่มีการอนุรักษ์โบราณสถานอย่างต่อเนื่อง มีการบูรณะคันธกุฎี (ท้ายวิหารลายคำ) สมัยเจ้าหลวงเศรษฐีคำฟั่น ใน พ.ศ.๒๓๖๔-๒๓๖๗ ซ่อมแซมและสร้างมุขหน้าวิหารหลวง พ.ศ.๒๔๑๖-๒๔๑๙ สมัยเจ้าอินทวิชยนนท์ และบูรณะวิหารหลวง ในพ.ศ.๒๔๔๔ - ๒๔๕๒ สมัยเจ้าหลวงอินทวโรรสสุริยวงศ์ และบูรณะอุโบสถโดยตัดปลายแปหน้าแหนบและปั้นปูนปั้นปิดโดยครูบาศรีวิชัย          ในราว พ.ศ.๒๕๓๘ – ๒๕๔๒ การดำเนินการอุรักษ์โบราณสถานของกรมศิลปกรที่มีต่อเมืองเชียงใหม่ได้เริ่มเข้าสู่รูปแบบการดำเนินงานแบบองค์รวม คือ วางกรอบทิศทางการดำเนินงานโดยมีเมืองเก่าเชียงใหม่เป็นกรอบหลักที่ครอบคลุมโบราณสถานต่างๆ โดยมีการเริ่มต้นจัดทำแผนแม่บทโครงการบูรณะและอนุรักษ์เมืองประวัติศาสตร์เชียงใหม่ ครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๘ และจัดทำฉบับแก้ไข ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๒  การจัดทำแผนแม่บททั้ง ๒ ครั้ง คือ ก้าวสำคัญของการอนุรักษ์เมืองเก่าเชียงใหม่ภายใต้บริบทของการอนุรักษ์โบราณสถาน  แผนแม่บทดังกล่าวนำไปสู่การวางแผนงานอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานในพื้นที่เมืองเก่าอย่างเป็นระบบ     มีการสำรวจโบราณสถานในเมืองและพื้นที่รอบเมือง และจัดแบ่งโบราณสถานเป็นประเภทต่างๆ (วัดร้างที่ขึ้นทะเบียนฯ / วัดร้างที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนฯ/ วัดที่มีการใช้งานที่ขึ้นทะเบียนฯ / วัดที่มีการใช้งานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนฯ) รวมถึงมีการรวบรวมข้อมูลด้านต่างๆที่มีผลกระทบ และวิเคราะห์ปัจจัยปัญหาที่มีผลต่อเมืองเก่าเชียงใหม่ แผนแม่บทนี้นำไปสู่การจัดตั้งโครงการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองประวัติศาสตร์เชียงใหม่ ทำให้โบราณสถานสำคัญที่ได้รับการอนุรักษ์ตามแผนดังกล่าว ในทศวรรษปัจจุบันนี้ กรมศิลปากรพยายามขยายขอบเขตกระบวนการงานอนุรักษ์ไปสู่การประยุกต์ใช้วิทยาการด้านอื่นๆ เช่น ด้านธรณีวิศวกรรม และฟิสิกส์ประยุกต์ ฯ เพื่อนำองค์ความรู้เฉพาะด้านมาช่วยในการรักษาโบราณสถาน ติดตามประเมินผล คาดการณ์ ประเมินความเสี่ยง  และวิเคราะห์ผลทางวิทยาศาสตร์อย่างแม่นยำ  รวมถึงพยายามแสวงหาพันธมิตรทั้งจากสถาบันการศึกษา และเครือข่ายต่างๆ ในการพัฒนางานและดำเนินงานร่วมกัน เพื่อให้การอนุรักษ์โบราณสถานมีประสิทธิภาพสูงสุดและก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงของเมืองและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว



ข้อมูลจากทะเบียนโบราณวัตถุของคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มีโบราณวัตถุที่ได้จากการดำเนินการขุดค้นกรุพระมหาธาตุ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยหน่วยศิลปากรที่ ๓ สุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลากหลายประเภท อาทิ พระพุทธรูป พระพิมพ์ เครื่องสังคโลก เครื่องทอง เครื่องใช้อันเป็นเครื่องพุทธบูชาต่างๆ . วัตถุที่สำคัญที่ค้นพบในกรุพระมหาธาตุจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ พระพุทธรูปสลักและดุนลายบนแผ่นทอง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็นซุ้มแบบหน้านางที่พบมากในศิลปะสุโขทัย เทียบได้กับพระพิมพ์ที่พบในกรุวัดมหาธาตุและวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ . วัตถุที่พบในกรุแห่งนี้ส่วนมากมีรูปแบบที่จัดอยู่ในศิลปะอยุธยา ถูกบรรจุอยู่ในเจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูมที่นิยมสร้างอยู่ตามกลุ่มเมืองวัฒนธรรมสุโขทัย จึงเป็นหลักฐานอีกประการหนึ่งที่บ่งชี้ว่า เจดีย์พระมหาธาตุเพชรบูรณ์แม้จะมีลักษณะทางศิลปกรรมในศิลปะสุโขทัย แต่ก็ได้รับกระแสอิทธิพลจากศิลปะอยุธยาด้วย ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติดังปรากฏพระพุทธรูปอู่ทองในสุโขทัยก็ดี หรืออาจสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลทางการเมืองของอยุธยาแล้วก็เป็นได้



          วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2567 นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ร่วมตรวจสอบโบราณวัตถุ 2 รายการ จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา หลังผ่านพิธีการศุลกากร และเดินทางมาถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ก่อนจะมีพิธีรับมอบอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ (21 พฤษภาคม 2567)





ชื่อเรื่อง : ประมวลพิธีมงคลของไทย หัวเรื่อง : 1.พระราชจันทโมลี(ประเสริฐ วิมโล)                2.วัดบูรพาพิทยาราม                3.พิธีกรรมทางศาสนา                4.พิธีแต่งงาน                5.พิธีสวดมนต์ คำบรรยาย : ที่ระลึกพิธีฉลองสัญญาบัตรพัดยศ พระราชาคณะชั้นราช พระราชจันทโมลี (ประเสริฐ วิมโล) รองเจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี เจ้าอาวาสวัดบูรพาพิทยาราม(พระอารามหลวง)ตำบลเขาวัว อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี 23 พฤษภาคม 2553 แหล่งที่มา :  หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี รูปแบบ : PDF ภาษา : ภาษาไทย รายละเอียด : เริ่มเรื่องเป็นประวัติของพระราชจันทโมลี(ประเสริฐ วิมโล)และต่อด้วย เรื่องประมวลพิธีมงคลไทย ได้แก่ ระเบียบการทำบุญทั่วไป พิธีมงคลทำขวัญวัน -เดือน พิธีมงคลโกนผมไฟ พิธีมงคลการตั้งชื่อ พิธีมงคลโกนจุก พิธีบายศรี พิธีมงคลบรรพชา พิธีมงคลอุปสมบท พิธีเข้าพรรษา พิธีออกพรรษา พิธีทอดกฐิน พิธีกราลกฐินพิธีมาฆบูชา พิธีทอดผ้าป่า พิธีวิสาขบูชา พิธีอาสาฬหบูชา พิธีมงคลแต่งงาน พิธีปลูกบ้าน พิธีตั้งศาลพระภูมิ พิธีทำขวัญขึ้นบ้านใหม่ พิธีการทำบุญบ้าน พิธีทำบุญอายุ พิธีตรุษ พิธีสงกรานต์ พิธีแรกนาขวัญ พิธีพืชมงคล พิธีสารท พิธีลอยกระทง พิธีทำบุญปีใหม่ พิธีสวดมนต์ พิธีทำบุญต่างๆ สิทธิ : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี ประเภท : หนังสือท้องถิ่น เลขทะเบียนหนังสือหายาก(จบ) : น.55บ.67458จบ.(ร) เลขหมู่ : ท 294.3138 ป352


โบราณสถานเขาคูหา           โบราณสถานเขาคูหา ตั้งอยู่ที่ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา  เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ โดยได้รับอิทธิพลจากอินเดียคือ การขุดภูเขาเป็นห้องสี่เหลี่ยมเพดานโค้งที่เรียกว่า “ถ้ำวิหาร” สันนิษฐานว่ามีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔ ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่  ๒๐ จึงถูกทำลายลง  เขาคูหาได้รับการบูรณะปรับปรุงภูมิทัศน์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖             เขาคูหาประกอบด้วย ถ้ำทิศเหนือและถ้ำทิศใต้  ถ้ำทิศเหนือ มีแท่นประดิษฐานรูปเคารพอยู่ภายใน ที่ผนังถ้ำด้านทิศเหนือมีการสกัดร่องออกสู่ภายนอก สันนิษฐานว่าเป็นร่องรองน้ำศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรม  ด้านหน้าถ้ำมีร่องรอยของอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สันนิษฐานว่าเป็นอาคารไม้มุงกระเบื้องดินเผา จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบชิ้นส่วนศิวลึงค์ ฐานรูปเคารพ ชิ้นส่วนพระวิษณุซึ่งถูกทำลายและฝังไว้ ส่วนถ้ำทิศใต้ ที่ผนังด้านในมีภาพเขียนสี เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า “โอม” ที่ย่อมาจาก อะ อุ มะ ซึ่งหมายถึงเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ๓ องค์ คือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานเขาคูหา ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๒ ตอนพิเศษ ๑๗ ง วันที่ ๑๗ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ Khao Khuha Temple           Khao Khuha Temple is located in Chumphon Subdistrict, Sathing Phra District, Songkhla Province. It is one of the earliest Hindu temples in southern Thailand which was influenced by rock-cut temples in India. The temple has a vaulted ceiling. It was assumed to have been dated back in the 7th – 9th centuries before being destroyed in the 15th century in the Ayutthaya period. In the year 2003, the site was given a landscape improvement.            Khao Khuha temple comprises the North Cave and the South Cave. The North Cave houses the pedestal of a stone statue. The water conduit was cut along its northern wall, all the way to the entrance.  In front of the cave, there are the remains of a possibly rectangular-planned wooden structure with a tiled roof. The excavation yielded the part of Shiva Linga (stone phallus), the statue pedestal, and the torso of Vishnu all of which were destroyed and buried. On the wall of the South Cave, there is a symbol “Om,” which is a combination of three Sanskrit letters: aa, au, and ma. It refers to three Hindu gods: Shiva, Vishnu, and Bhrama.            The Fine Arts Department announced the registration of Khao Khuha as a national monument in the Government Gazette, Volume 112, Special Part 17, dated March 17, 1999.   


            กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ แหล่งรวบรวมงานโบราณคดีในเขตภาคเหนือตอนบน” วิทยากร นางสาวฉัตรลดา สินธุสอน ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร             รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๑.๐๐ น. ตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๖๗ - กันยายน ๒๕๖๘


ชื่อเรื่อง : วิธีเขียนภาษาอังกฤษ หัวเรื่อง : ภาษาอังกฤษ -- ไวยกรณ์             ภาษาอังกฤษ -- ตำราสำหรับชนต่างชาติ คำค้น : ภาษาอังกฤษ รายละเอียด : - ผู้แต่ง : ปลั่ง พลอยพรหม แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หน่วยงานที่รับผิดชอบ : โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ ปีที่พิมพ์ : 2509 วันที่เผยแพร่ : 30 มกราคม 2568 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ :  - รูปแบบ : PDF ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา : เป็นคู่มือสำหรับเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เกี่ยวข้องใช้ในการงานและการเรียน สามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการจะประกอบกิจการงาน หรือการเรียนได้ถูกต้อง เช่น ในการเขียนงานโดยใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างทันสมัยและเหมาะสม เลขทะเบียน :  น. 33 บ. 2939 จบ. (ร) เลขหมู่ : 421            ป482ว


ชื่อเรื่อง                     สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน)อย.บ.                       82/1หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               76 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.5 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                    เป็นคัมภีร์ใบลานฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา 




ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533


black ribbon.