ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.356/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 44 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 137  (397-401) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : เทวทูตสุตฺต(เทวทูตสูตร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อผู้แต่ง              - ชื่อเรื่อง               มาระธิดาศิลปคำฉันท์ ครั้งที่พิมพ์           - สถานที่พิมพ์         - สำนักพิมพ์           โรงพิมพ์กรมมารบรรณทหารเรือ ปีที่พิมพ์               ๒๕๑๐ จำนวนหน้า           ๑๑๘  หน้า หมายเหตุ             อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เสวกโท จมื่นทรงสุรกิจ (พราว  บุณยรัตพันธ์) และในงานฌาปนกิจศพ คุณเคล้า  บุญยรัตพันธ์                           หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เสวกโท เล่มนี้ ได้นำเรื่อง มาระธิดาศิลปคำฉันท์ ซึ่งท่าน เสวกโท ได้ประพันธ์ไว้ มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับธัมมะของพระพุทธองค์ แสดงออกในลักษณะร้อยกรอง เป็นฉันท์ และกาพย์ ซึ่งเป็นแนวแปลกควรที่จะพิมพ์เผยแพร่ นอกจากนั้นยังได้น้อมนมัสการขอความกรุณาจากท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ ท่านภัททสารี ภิกขุ และท่านอธิปปัตโต ภิกขุ แห่งสำนักวัดมหาธาตุ นำเรื่องบางตอนมาจัดพิมพ์ครั้งนี้ด้วย โดยแนะแนวทางให้ท่านผู้อ่านและเยาวชน เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องบาปบุญคุณโทษและกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนาชัดเจนขึ้น



ชื่อเรื่อง : ความทรงจำ พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ชื่อผู้แต่ง : ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยาปีที่พิมพ์ : 2494 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์เจริญธรรมจำนวนหน้า : 480 หน้า สาระสังเขป : หนังสือความทรงจำ พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เล่มนี้ แบ่ง เป็น 5 ตอน ตอนที่ 1 เป็นการบันทึกพระประวัติ ตอนที่ 2 เรื่องพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อก่อนเสวยราชย์ ตอนที่ 3 เรื่องเมื่อเปลี่ยนรัชกาล ตอนที่ 4 เริ่มเรื่องรัชกาลที่ 5 ตอนที่ 5 เรื่องเสด็จไปต่างประเทศครั้งแรก


          ขอเชิญชมนิทรรศการออนไลน์ หนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติ “เยี่ยมเยือนเมืองสยาม ย้อนเวลาไปกับหนังสือหายาก” สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญชมนิทรรศการหนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติ เรื่อง “เยี่ยมเยือนเมืองสยาม ย้อนเวลาไปกับหนังสือหายาก” ในรูปแบบออนไลน์ ได้ที่ www.nlt.go.th/service/1207           เนื้อหาการจัดแสดงแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ “หนังสือหา (ไม่) ยาก” จัดแสดงเกี่ยวกับข้อมูลหนังสือหายากของหอสมุดแห่งชาติ คุณค่าและความสำคัญ ลักษณะหนังสือหายาก ๑๒ ประเภท พร้อมตัวอย่างหนังสือประกอบ ส่วนที่ ๒“เยี่ยมเยือนเมืองสยาม” เนื้อหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเมืองสยาม ประวัติความเป็นมาของการท่องเที่ยว รูปแบบการเดินทางท่องเที่ยว ประโยชน์ของการเที่ยว การเสด็จประพาสในรัชสมัยต่าง ๆ การท่องเที่ยวทั่วไทยโดยผ่านหนังสือหายาก จัดแสดงหนังสือพร้อมภาพการเดินทางและสถานที่ท่องเที่ยวประกอบ และส่วนที่ ๓ “เพราะหนังสือจึงรังสรรค์” การนำหนังสือหายากมารังสรรค์และต่อยอด โดยนำไปพัฒนาจัดทำเป็นของที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ อาทิ การพิมพ์หนังสือ (Reprint) ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ต้นฉบับและสืบทอดอายุหนังสือให้คงอยู่ต่อไป


องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง "วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ วันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ 6 เมษายน” วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ วันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ หรือ วันจักรี เป็นวันที่ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและมหาจักรีบรมราชวงศ์ ตรงกับวันที่ 6 เมษายน เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหาราช เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย วันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ หรือที่กันโดยย่อว่า วันจักรี นั้น สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชดำริว่าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีทรงหล่อพระบรมรูปลักษณะเหมือนพระองค์จริงฉลองพระองค์แบบไทย ณ โรงหล่อหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (บริเวณศาลาสหทัยสมาคมในปัจจุบัน) เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระปฐมบรมราชบุพการี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เชิญพระบรมรูปทั้ง 4 รัชกาลนั้น ประดิษฐานเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ สำหรับถวายบังคมสักการะในงานพระราชพิธีฉัตรมงคลและพระราชพิธีพระชนมพรรษา ครั้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสืบราชสันติวงศ์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบรมชนกนาถ จากต่างประเทศ แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานร่วมกับพระบรมรูปทั้ง 4 รัชกาลนั้น ต่อมาทรงพระราชดำริว่าพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทยังไม่เหมาะสมที่จะมีงานถวายบังคมสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแปลงพระพุทธปรางค์ปราสาทในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทั้ง 5 รัชกาล พระราชทานนามใหม่ว่า ปราสาทพระเทพบิดร โดยทรงคำนึงถึงอนุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งได้ประดิษฐานพระบรมราชวงศ์จักรี ทรงมีพระเดชพระคุณต่อประเทศ เมื่อมีโอกาสก็ควรแสดงความเชิดชูและระลึกถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีเชิญพระบรมรูปจากพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทมาประดิษฐานที่ปราสาทพระเทพบิดร เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2561 อันเป็นดิถีคล้ายวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จกรีธาทัพถึงพระนคร ได้รับอันเชิญขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุพระกรัณฑ์ทองคำลงยาราชาวดีซึ่งบรรจุพระบรมทนต์(ฟัน) พระสุพรรณบัฏจารึกพระปรมาภิไธย พระดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงบรมราชาภิเษก พระดวงสวรรคต ลง ณ เบื้องสูงของพระเศียรพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล ครั้นถึงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561 (สมัยนั้นขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง ประกาศพระบรมราชโองการให้มีการกราบ ถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเป็นการ ประจำปีกำหนดในวันที่ 6 เมษายน เป็นประเพณีสืบไป ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีทรงหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงหล่อกรมศิลปากร ครั้นตกแต่งพระบรมรูปเรียบร้อยแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีทรงหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงหล่อกรมศิลปากร ครั้นตกแต่งพระบรมรูปเรียบร้อยแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดการพระราชพิธีประดิษฐาน พระบรมรูปที่ปราสาทพระเทพบิดร โดยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงบรรจุพระบรมทนต์พระสุพรรณบัฎจารึกพระปรมาภิไธยและดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงบรมราชาภิเษก พระดวงสวรรคต ในพระกรัณฑ์ทองคำลงยา แล้วทรงบรรจุที่เบื้องสูงของพระเศียรพระบรมรูป เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2470 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภว่า ในปี 2475 อายุพระนครจะบรรจบครบ 150 ปี สมควรมีการสมโภชและสร้างสิ่งสำคัญ เป็นอนุสรณ์ขึ้นไว้ให้ปรากฎแก่อารยชนในนานาประเทศว่าชาวไทยมีความกตัญญูรู้คุณบรรพบุรุษที่ได้สร้างกรุงเทพฯเป็นราชธานี แล้วบำรุงรักษาประเทศ ให้เป็นอิสระสืบมาทรงปรึกษาพระราชปรารภ แก่อภิรัฐมนตรีและเสนาบดี ซึ่งเห็นชอบด้วยพระราชดำริว่า ควรสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์มี ๒ สิ่งประกอบกัน คือ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมกษัตริย์ และสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมพระนครธนบุรี พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ ให้ศาสตรจารย์ศิลป พีระศรี ปั้นหุ่นหล่อ ส่วนสะพานทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยากำแพงเพชรอัครโยธินอำนวยการสร้าง และพระราชทานนามว่า สะพานพระพุทธยอดฟ้า เงินที่ใช้ในการก่อสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว บริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ส่วน 1 รัฐบาลจ่ายเงินแผ่นดินส่วน 1 อีกส่วน 1 ทรงพระราชดำริให้บอกบุญเรี่ยไรชาวไทยทุกคน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ โดยกระบวนพยุหยาตรา เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2475 ซึ่งเป็นวันครบ 150 ปี และมีการพระราชพิธีเฉลิมฉลองกรุงเทพมหานคร ในปีต่อมาทางราชการได้ประกาศให้ถือวันที่ 6 เมษายน เป็นวันที่ระลึกมหาจักรีฯ และเป้นวันสำคัญของชาติวันหนึ่งที่กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการและให้ชักธงชาติ กำหนดให้มีการถวายบังคมพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ปฐมบรมราชานุสรณ์ สำนักพระราชวังได้ออกหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินไปถวายสักการะพระบรมรูปที่ปฐมบรมราชานุสรณ์ และถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร อ้างอิง : ประชิด สกุณะพัฒน์, อุดม เชยกีวงศ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา, 2549. ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี


          พระวินิจฉัยว่าด้วยเรื่องที่มาของ “นาค” และการขานรับ “มนุสฺโสสิ”            จากจดหมายเวรของสองสมเด็จมากล่าวถึง เริ่มต้นที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแสดงพระวินิจฉัยเหตุแห่งการขาน “มนุสฺโสสิ” ต่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ระบุในจดหมายเวร ฉบับลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๔๘๐ ความว่า “...หม่อมฉันได้คิดเห็นมานานแล้วอย่างหนึ่ง เนื่องจากคำถามเจ้านาคเมื่ออุปสมบทว่า มนุสโสสิ ก็เมื่อแลเห็นอยู่แก่ตาโทนโท่ว่าเป็นมนุษย์แล้วต้องถามทำไม ที่อธิบายมูลเหตุว่าเพราะนาคเคยจำแลงตัวมาขอบวช ก็ไม่เห็นสม หม่อมฉันเห็นว่าอมนุษย์นั้นต้องเป็นคนเรานี่เอง ครั้งนั้นเห็นจะถือว่าคนสามัญเป็นมนุษย์ เหมาเอาคนป่าเถื่อนที่เข้ากันไม่ได้ว่า เป็นอมนุษย์เหมือนอย่างผี...จึงไม่ยอมให้บวช มูลแห่งคำถามว่า มนุสโสสิ น่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุนั้น เพราะฉะนั้น จึงนับพวกบริวารของจาตุมหาราชว่าเป็นอมนุษย์ ประหลาดอยู่ที่ยังมีชาวป่าทางอินเดียจำพวกหนึ่งเรียกว่า “นาคะ” Naga อยู่จนทุกวันนี้...”            ส่วนสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ก็ได้ทรงแสดงพระวินิจฉัยว่าด้วยเรื่องการขานนาคไว้ในจดหมายเวร ฉบับลงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๔๘๓ ว่า “...คำถามในการบวชนาคว่า “มนุสฺโสสิ” อันมีคนหัวเราะกันอยู่มากว่าเห็นอยู่แล้วเป็นมนุษย์ถามทำไม ข้อวินัยทำให้แปลความได้ว่า คำที่ท่านเรียกมนุษย์นั้นหมายถึงรู้จักผิดชอบ ไม่ได้หมายถึงรูปร่างอย่างคน...” ซึ่งจากพระวินิจฉัยของสองสมเด็จข้างต้น แม้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจะแสดงพระวินิจฉัยในเชิงมานุษยวิทยา ขณะที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงแสดงพระวินิจฉัยผ่านพระวินัยตามหลักของศาสนา แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองพระองค์ทรงมีร่วมกัน คือ แนวพระวินิจฉัยอย่างมีเหตุมีผล พิสูจน์ได้ คล้ายกับหลักการของพุทธศาสนาที่พิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์           (ภาพประกอบ นาคทัณฑ์ หรือ คันทวยไม้ สลักรูปนาค ๒ ตน คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ / เผยแพร่ข้อมูลโดย นายศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ / ภาพ : ปกรณ์เณศร์ แก้วสมเด็จ)


        เนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๕  กรมดุริยางค์ทหารบก ร่วมกับ บริษัท นาคราพิวัฒน์  จำกัด ได้จัดทำสื่อบันทึกเสียงและภาพประกอบบทเพลง "ด้วยรักและภักดี" เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ            เพลง "ด้วยรักและภักดี" ขับร้องโดย นายสุเมธ องอาจ คำร้องโดย นายนิติพงษ์ ห่อนาค ทำนองและเรียบเรียงโดย พ.อ.ประทีป สุพรรณโรจน์ ทั้งนี้ อนุญาตให้พสกนิกรชาวไทย หน่วยงานเอกชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ อนุญาตให้พสกนิกรชาวไทย หน่วยงานเอกชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ดาวน์โหลดสื่อบันทึกเสียงตามลิงก์ข้างล่างเพื่อร่วมเผยแพร่บทเพลงได้ โดยไม่นำไปแสวงหากำไร หรือนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ได้ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=BT4iPdeufPQ   เนื้อร้องเพลง ด้วยรักและภักดี        แม้คำน้อย มิได้เคยมีปริปาก      เรื่องลำบากขังอยู่ในใจ ทั้งสิ้น      ทรงปิดทองหลังพระ เป็นอาจิณ      มิเคยสิ้นเรี่ยวแรงแห่งศรัทธา        กี่ร้อยเรื่อง ที่ได้เห็นว่าทรงให้      อีกมากมาย ที่มิได้ทรงออกหน้า      นี่ละหรือ ความสุขสบายของพระราชา      ที่สืบสาน รักษา ต่อยอดไทย        ใครจะรู้ ข้างในพระทัยท่าน      ใครจะอ่าน ได้ลึกถึงเพียงไหน      ท่านทรงงาน ได้บรรทมเวลาใด      ไม่มีความทุกข์ใด ไม่ทรงรู้        ขอให้ทรงงาน ไปด้วยพระทัยมั่น      ข้าปวงไทย พร้อมกันจะร่วมสู้      เสด็จทรงสิ่งใด จะคอยเฝ้าดู      และจะอยู่เบื้องหลังพระปฤษฎางค์      และจะพร้อมเคียงข้าง ตลอดไป


โครงกระดูกมนุษย์จากวัดชมชื่น : หลักฐานของคนก่อนสุโขทัยวัดชมชื่น เป็นโบราณสถานตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมในเขตอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ใกล้กับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เชลียง นับเป็น ๑ ใน ๓ โบราณสถานที่ยังปรากฏร่องรอยทางสถาปัตยกรรมที่มีความเก่าแก่กว่าสมัยสุโขทัย ทั้งยังมีการขุดค้นพบหลักฐานบ่งบอกที่มาของผู้คนในเมืองศรีสัชนาลัย เมืองลูกหลวงสำคัญแห่งอาณาจักรสุโขทัยอีกด้วยจากการขุดค้นทางโบราณคดี เราพบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานบริเวณวัดชมชื่นมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย (ราวพุทธศตวรรษที่ ๙) แต่หลักฐานที่พบมีไม่มากนัก หลักฐานมาพบมากขึ้นในสมัยกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ – สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๖) โดยขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ จำนวน ๑๕ โครง ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างมากมาย อาทิ ลักษณะของกระดูกและฟันที่ไม่พบรอยโรคหรือรอยผุ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าชุมชนนี้มีอาหารการกินและสุขภาพค่อนข้างดี ของอุทิศที่แสดงถึงความเชื่อเกี่ยวกับความตาย รวมถึงเป็นหลักฐานแสดงการติดต่อกับชุมชนอื่น เช่น ชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดีและชุมชนริมชายฝั่งทะเล ซึ่งช่วยยืนยันว่าบริเวณดังกล่าวมีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว และพัฒนาขึ้นเป็นเมือง เรียกกันว่า “เชลียง” ที่มีศูนย์กลางอยู่ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เชลียง ก่อนจะย้ายเมืองไปยังบริเวณที่ราบติดเชิงเขาทางเหนือเกิดเป็นเมืองศรีสัชนาลัยขึ้นในเวลาต่อมาจะเห็นได้ว่าวัดชมชื่นเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่งในพื้นที่แถบลุ่มแม่น้ำยม จึงมีการอนุรักษ์หลุมขุดค้นทางโบราณคดีไว้ และเปิดให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจเข้าชมได้ ซึ่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก ได้นำเรื่องราวของวัดชมชื่น รวมถึงหลักฐานบางส่วนที่ได้จากการทำงานโบราณคดีมาจัดนิทรรศการพิเศษเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีเกี่ยวกับชุมชนโบราณที่มีมาก่อนการตั้งเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองสุโขทัยมากขึ้น โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมและเรียนรู้ได้ตลอดเดือนกันยายน – พฤศจิกายน ๒๕๖๕ นี้


พายุไต้ฝุ่นเกย์ที่จังหวัดชุมพร เมื่อ พ.ศ. 2532      จากลักษณะภูมิอากาศของจังหวัดชุมพรที่มีการแปรปรวนของลมในช่วงฤดูฝนเสมอนับแต่อดีต พายุที่เกิดขึ้นนี้ได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนหลายครั้ง  เฉพาะในช่วงระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เกิดพายุในจังหวัดชุมพรถึง 5 ครั้ง ได้แก่ การเกิดพายุใน พ.ศ. 2415 พ.ศ. 2422  พ.ศ.2433  พ.ศ. 2445  และ พ.ศ. 2472  เป็นต้น  ได้มีผู้สันนิษฐานถึงความรุนแรงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ว่า  อาจมีสาเหตุเนื่องมาจากจังหวัดชุมพรตั้งอยู่ตรงส่วนที่แคบของคาบสมุทรภาคใต้      สำหรับพายุไต้ฝุ่นเกย์  เป็นพายุที่หมุนก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำ  กำลังแรงในทะเลจีนใต้ตอนล่าง  เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2532 แล้วเคลื่อนตัวสู่อ่าวไทยตอนล่างขนานกับชายฝั่งภาคใต้ตะวันออกเป็นพายุดีเปรสชั่นมีศูนย์กลางอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดนราธิวาส  ประมาณ 150 กิโลเมตร  เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2532 ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2532  พายุนี้เริ่มมีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน มีทิศทางมุ่งเข้าหาฝั่งเหนือแหลมตะลุมพุก  จังหวัดนครศรีธรรมราช  และเปลี่ยนทิศทางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ  และเหนือ  เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2532  และในวันต่อมา (4 พฤศจิกายน 2532)  พายุนี้ได้เปลี่ยนทิศทางไปทางตะวันตะวันตกเฉียงเหนือเคลื่อนสู่ฝั่งโดยมีศูนย์กลางที่อำเภอปะทิว  และอำเภอท่าแซะ  ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน  มีระดับสูงถึง 1.80 เมตร  ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดชุมพร  สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน  ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน  และทางราชการเขตรอำเภอปะทิว  อำเภอท่าแซะ  และอำเภอเมือง  จังหวัดชุมพรอย่างหนัก  จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2532  ระดับน้ำจึงลดลง  ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวกระทรวงมหาดไทยได้ประเมินความเสียหายว่า  มีผู้เสียชีวิตถึง 529 คน  ทรัพสินเสียหายมูลค่าประมาณ 7,453 ล้านบาท นับเป็นการสูญเสียจากภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย THE TYPHOON AT CHUMPHON DURING 1989 IN THE RAINY SEASON. THE CLIMATE OF CHUMPHON IS ALWAYS CHANGEABLE AND TROPICAL CYCLONES USUALLY HAPPEN DURING THIS TIME. INTHEREIGN OF KING CHULALONGKORN UNTIL THE REIGN OF KING PRACHADHIPOK, CHUMPHON HAD TROPICAL CYCLONES FIVE TIMES,IN 1872 ,1879, 1890,1902 ,AND 1929  A.D. CAUSING DAMAGE TO PROPERTY AND LOSS OF LIVES. ‘GAY’ IS THENAME OF THE RECENT  TROPICAL CYCLONE OCCURING IN 1989 WHICH ORIGINATED FROM THE ACTIVE LOW PRESSURE IN THE LOWER PART OF THE SOUTH CHINA SEA ON 31 OCTOBER 1989. THEN,IT MOVED TO THE LOWER GULF OF THAILAND AND BECAME A TROPICAL CYCLONES MOVED TO THREE DISTRICTS OF CHUMPHON : PATIU DISTRICTS,THASAE DISTRICTS AND MUANG DISTRICTSON 4 NOVEMBER 1989. FROM THIS PHENOMENON,THE MINISTRY OF INTERRIOR ESTIMATED : THE LOSS OF HUMAN LIVES WAS 529 AND DAMAGE TO PROPERTY TO BE 7,453 MILLION BAHT,DIRECTLY ATTRIBUTABLE TO THIS EVENT.


          กรมศิลปากร ขอเชิญร่วมกิจกรรมประกอบนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย : สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” เปิดนำชมรอบพิเศษก่อนปิดนิทรรศการฯ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ รับจำนวนจำกัด ๖๐ ท่าน จำนวน ๓ รอบ เวลา ๑๓.๓๐ น. / ๑๔.๐๐ น. / ๑๔.๓๐ น. (รอบละ ๒๐ ท่าน)         ผู้สนใจสามารถสแกนคิวร์อาร์โค้ด หรือ กดลิ้ง ที่นี่ เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มแผนงาน โครงการและวิเทศสัมพันธ์ โทร. ๐ ๒๑๖๔ ๒๕๐๑ - ๒ ต่อ ๔๐๔๘


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           29/3ประเภทวัสดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                               38 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53.7 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


เรื่อง “วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม” วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น "วันพ่อแห่งชาติ" เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทย ที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังบทร้อยกรองเทิดพระเกียรติว่า “ทุกบุปผามาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทบพิตรเป็นนิจสิน พระคือบิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร ลุ 5 ธันวามหาราช “วันพ่อแห่งชาติ” คือองค์อดิศร พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน” วันพ่อแห่งชาติยังเป็นวันที่ได้รับการยกย่องบทบาทของพ่อที่มีความสำคัญต่อสถาบันครอบครัวด้วย ประเทศไทยจัดงานวันพ่อแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้คิดริเริ่ม กำหนดให้ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หลังจากนั้นเป็นต้นมาเป็นที่ทราบกันดีว่า ทุกวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีคือ "วันพ่อแห่งชาติ" เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ 9 รวมถึงเป็นการให้ความสำคัญกับบทบาทของพ่อที่มีต่อสถาบันครอบครัวและสังคมไทย โดยคณะรัฐมนตรีกำหนดวันพ่อแห่งชาติให้เป็นวันหยุดราชการประจำปีในประเทศไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ก็ได้มีการประกาศจากรัฐบาลของประเทศไทยว่า "วันพ่อแห่งชาติ" ของประเทศไทย จะยังคงไว้ ให้เป็นวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีต่อไปตามเดิม ดอกพุทธรักษา ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ เนื่องจากดอกพุทธรักษามีสีเหลืองตรงกับสีวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 9 (วันจันทร์) นอกจากนี้ชาวพุทธยังมีความเชื่อว่าดอกพุทธรักษาคือดอกไม้มงคล หมายถึงพระพุทธเจ้าปกป้องรักษา สอดคล้องกับชื่อของดอกไม้นั่นเอง อ้างอิง : ประชิด สกุณะพัฒน์, อุดม เชยกีวงศ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา, 2549. ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           30/1ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              44 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา




black ribbon.