ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 37,303 รายการ



#พิพิธ(สาระ)ภัณฑ์ ตอน #เครื่องประดับที่โคกพลับเครื่องประดับ คือ วัตถุที่ใช้ตกแต่งร่างกายมนุษย์ เพื่อความสวยงาม เพื่อแสดงรสนิยม และเพื่อแสดงสถานะทางสังคมนอกจากนี้เครื่องประดับยังบ่งบอกถึงความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม โดยแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ประเภทแหล่งฝังศพ ในหลาย ๆ แห่งพบหลักฐานประเภทเครื่องประดับ ซึ่งนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเครื่องประดับเหล่านั้น นอกจากเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันแล้วยังเป็นเครื่องอุทิศให้กับผู้ตาย เป็นการแสดงออกถึงความผูกพัน และการแสดงฐานะทางสังคมอีกด้วยแหล่งโบราณคดีโคกพลับ ตั้งอยู่ที่ตำบลโพหัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี เป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยโลหะที่สำคัญของจังหวัดราชบุรี จากการสำรวจและขุดค้นของนักโบราณคดีพบหลักฐาน ได้แก่ ภาชนะดินเผา โครงกระดูกมนุษย์ เครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับเครื่องประดับที่พบมีลักษณะพิเศษต่างจากที่อื่น อาทิ กำไลหิน กำไลเปลือกหอย กำไลกระดองเต่าทะเล และต่างหูหิน โดยเครื่องประดับต่าง ๆ มีรูปแบบดังนี้1) กำไลหิน มีลักษณะคล้ายจักร ตรงกลางยกขอบสูงเป็นสัน ทุกวงจะทำขึ้นอย่างประณีต มีทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ขนาดใหญ่สุดมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 เซนติเมตร มีทั้งที่สวมอยู่ในข้อมือของโครงกระดูกและวางรวมไว้ในหลุม2) กำไลเปลือกหอย ทำจากเปลือกหอยมือเสือ ลักษณะเป็นรูป 6 แฉก มีมุมมน มีมุมหนึ่งหักหายไป เป็นกำไลที่มีน้ำหนักมาก พบสวมใส่ที่ข้อมือของโครงกระดูก3) กำไลกระดองเต่าทะเล ทำจากส่วนท้องของกระดองเต่าทะเล ฝนขัดเป็นรูปแฉกคล้ายดาวมีลักษณะรูปทรงที่พิเศษ จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบกำไลรูปดาวหกแฉกนี้สวมอยู่ที่ข้อมือของโครงกระดูกมนุษย์เพศชาย ด้วยรูปทรงแล้วไม่เหมาะแก่การสวมใส่ในชีวิตประจำวัน และสันนิษฐานว่าเป็นเครื่องประดับที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในอุทิศให้แก่ผู้ตาย4) ต่างหูหิน ลักษณะเป็นต่างหูทรงรีและทรงกลมแบน เจาะรูตรงกลาง และมีร่องผ่าไปสู่ขอบนอก พบสวมใส่ที่หูทั้งสองของโครงกระดูก ทำจากหินสองประเภทคือ หินเนฟไฟรต์และหินคาร์เนเลียน หินเนฟไฟรต์มีสีเขียวคล้ายหยก และหินคาร์เนเลี่ยนมีสีส้ม ซึ่งไม่พบแหล่งหินเหล่านี้ที่ราชบุรี ทำให้สันนิษฐานได้ว่าชุมชนบริเวณนี้มีการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับดินแดนอื่น ซึ่งได้แก่จีน และอินเดีย โดยรูปแบบของต่างหูนั้นมีความคล้ายคลึงกับต่างหูที่พบในประเทศจีน สมัยราชวงศ์โจวตะวันออกหลักฐานประเภทเครื่องประดับ เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึง ความเชื่อเกี่ยวกับโลกหน้า การติดต่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับชุมชนอื่น รูปแบบของศิลปะ เทคโนโลยีการผลิต รวมถึงบ่งบอกสถานะทางสังคมของโครงกระดูกหรือผู้สวมใส่เรียบเรียงและศิลปกรรม : นางสาวกศิภา สุรินทราบูรณ์ นิสิตฝึกงานจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา


  โบราณสถานวัดแก้ว (วัดรัตนาราม) ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 บ้านวัดแก้ว ถนนสันตินิมิต ตำบลเลม็ด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นวัดโบราณคู่กับวัดหลง มีโบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ทรงปราสาทโครงสร้างก่ออิฐไม่สอปูน อยู่ในผังรูปกากบาทประกอบด้วย เรือนธาตุ และมุขทั้งสี่ด้าน ฐานชั้นล่างสุดเป็นฐานเขียงรูปกากบาท ลักษณะเป็นฐานประทักษิณ มีบันไดทางขึ้นด้านตะวันออก และตะวันตก ผนังด้านนอกอาคารมีการตกแต่งด้วยเสาติดผนัง และเซาะร่องผ่ากลางเสาจากโคนไปถึงยอดเสา            ลักษณะดังกล่าวคล้ายกับจันทิกะลาสันในศิลปะชวาภาคกลาง ประเทศอินโดนีเซีย และปราสาทมิเซน และปราสาทดงเดือง ในศิลปะจาม ประเทศเวียดนาม จึงกำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 14-15           ปัจจุบันอาคารโบราณสถานพังทลายเหลือเพียงส่วนฐานถึงเรือนธาตุ ส่วนเครื่องยอด หรือหลังคาหักพังลงมาหมดแล้ว กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 53 หน้า 1532 วันที่ 27 กันยายน 2497            ใน พ.ศ. 2564 สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช ดำเนินการขุดค้นเจดีย์วัดแก้วบริเวณทิศใต้ติดกับส่วนฐานเจดีย์ ขนาดหลุมกว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร ความลึก 1.20 เมตรจากระดับผิวดิน เพื่อตรวจสอบฐานอาคารโบราณสถานเจดีย์วัดแก้ว ผลจากการขุดค้นพบสิ่งสำคัญ ได้แก่           1. เศษภาชนะดินเผาเนื้อดิน พบในระดับผิวดิน โดยจะพบเป็นเศษภาชนะดินเผาผิวเรียบมี 2 สี ได้แก่ สีเทา และสีส้ม สันนิษฐานว่าผลิตจากแหล่งเตาพื้นเมือง           2. เศษแก้ว และลูกปัดแก้ว พบในระดับผิวดิน เป็นเศษแก้วใสสีฟ้า และลูกปัดแก้วสีเหลือง           3. เศษเครื่องถ้วยจีน พบในระดับลึกลงไปจากระดับผิวดิน พบเครื่องถ้วยจีนเคลือบเขียว เคลือบน้ำตาล และลายคราม บางชิ้นสามารถกำหนดอายุสมัยราชวงศ์หมิง (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21-22) ลักษณะเป็นเครื่องถ้วยจีนลายคราม เขียนลายดอกไม้ และเส้นรอบก้นถ้วย 2 เส้น           4. แนวฐานเจดีย์โบราณสถานวัดแก้ว พบแนวอิฐเรียงตัวในแนวเดียวกัน นับจากระดับผิวดินลงไปได้ 7 ชั้น ซึ่งชั้นล่างสุดของอาคารโบราณสถานมีการนำเศษอิฐมาปรับพื้นที่ให้ได้ระนาบ หรือบดอัดเป็นส่วนฐานรากก่อนการก่อสร้างอาคาร จากการขุดค้นโบราณสถานวัดแก้ว พบโบราณวัตถุประเภทเศษภาชนะดินเผาเนื้อดิน สันนิษฐานว่าเศษภาชนะดินเผาเหล่านี้ผลิตขึ้นจากแหล่งเตาพื้นเมือง และพบเศษเครื่องถ้วยจีน ซึ่งบางชิ้นสามารถบอกอายุสมัยได้ว่าอยู่ช่วงราชวงศ์หมิง (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21-22) แสดงให้เห็นการใช้งานพื้นที่โบราณสถานแห่งนี้ในสมัยอยุธยา           นอกจากนี้ ยังพบว่าส่วนฐานอาคาร มีการนำเศษอิฐมาปรับพื้นที่ให้ได้ระนาบหรือบดอัดเป็นส่วนฐานรากก่อนการก่อสร้างอาคาร และพบร่องรอยการปรับพื้นที่ก่อนการบูรณะอาคารโบราณสถานอีกด้วย ------------------------------------------------------------- เรียบเรียง/กราฟิก : นายณัฐพล พิทักษ์รัตน์ นักวิชาการวัฒนธรรม ตรวจทาน : นายจักรพันธ์ เพ็งประไพ นักโบราณคดีชำนาญการ -------------------------------------------------------------   อ้างอิง 1. กรมศิลปากร. โบราณสถานแหล่งโบราณคดีจังหวัดสุราษฎร์ธานี, 2553. (อัดสำเนา) 2. กรมศิลปากร. รายงานการบรรยาย และเสวนา คาบสมุทรภาคใต้ตอนบนของไทย ข้อมูลใหม่จากหลักฐานโบราณคดี. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์. 2564. 3. เขมชาติ เทพไชย. การสำรวจขุดค้นวัดแก้ว อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี. นิตยสารศิลปากร. 24, 2523. หน้า 13-23. 4. นภัคมน ทองเฝือ. โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนในเขตพื้นที่สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, 2563.   -------------------------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช https://www.facebook.com/100055227468299/posts/pfbid025navCF8gEisfk6FtAk6nxJp8B3aD98pQX4ppaMbai41BhGatDoToVfaF67btkPK4l/?d=n --------------------------------------------------------------- *เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร  



ชื่อผู้แต่ง           หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ชื่อเรื่อง           หลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ จารึกพ่อขุนรามคำแหง ครั้งที่พิมพ์        พิมพ์ครั้งที่ ๒ สถานที่พิมพ์      กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์การศาสนา ปีที่พิมพ์          ๒๕๓๓ จำนวนหน้า      ๘๒ หน้า รายละเอียด      กรมศิลปากรเห็นว่า การศึกษาประวัติศาสตร์จากข้อมูลจารึก เป็นสิ่งหนึ่งที่นักวิชาการยังให้ความสำคัญ โดยเฉพาะจารึกพ่อขุนรามคำแหง เป็นจารึกสำคัญของชาติชิ้นหนึ่งที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ อารยาธรรมของคนไทยสมัยสุโขทัย กรมศิลปากร จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่แก้ไขปรับปรุงจากการพิมพ์ครั้งแรก ในปี พ.ศ.๒๕๒๐ โดยนำมาจัดพิมพ์ใหม่ในชื่อเดิม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 145/7เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/4ข เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อผู้แต่ง           มงกุฎเกล้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ชื่อเรื่อง            กฎหมายทะเล เล่ม๑ ครั้งที่พิมพ์        พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์      พระนคร สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์คุรุสภาพระสุเมรุ ปีที่พิมพ์           ๒๕๑๐ จำนวนหน้า       ๒๑๗ หน้า : ภาพประกอบ หมายเหตุ         คำนำเรื่อง “กฎหมายทะเล” นี้ คัดจากต้นฉบับหนังสือที่พิมพ์ชำร่วยในงานศพ ท่านผุ้หญิงเอี่ยม  อภัยราชา   กฎหมายทะเลเป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ อันเนื่องด้วยทะเล แต่เชื่อว่าผู้ศึกษาคงได้รับประโยชน์กว่าที่จะอ่านแต่ตำราหลักกฎหมาย ไม่รู้อรรถาธิบายด้วยก็นับว่าเป็นผู้รู้กฎหมายแท้จริงไม่ได้


ชื่อเรื่อง : ละครพูดเรื่อง กลแตก หมายน้ำบ่อหน้า ชื่อผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2423-2468ปีที่พิมพ์ : 2513 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา จำนวนหน้า : 324 หน้า สาระสังเขป : ละครพูดเรื่องกลแตก เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงใช้นามแฝงว่า "ศรีอยุธยา" เป็นบทละครพูด 4 องก์จบ มีตัวละครหลักคือ พระเทพราชเสวี พระวิสูตร์พานิช หลวงสิทธิ์ศุภการ และคนอื่นๆ มีลำดับฉากดังต่อไปนี้ องก์ที่ 1 เฉลียงในบ้านพระวิสูตร์พานิช กรุงเทพฯ องก์ที่ 2 ร้านของหลวงวิศาลวัฒนากร ที่งานฤดูหนาว องก์ที่ 3 เฉลียงในบ้านหลวงสิทธิ์ศุภการ กรุงเทพฯ องก์ที่ 4 สวนหน้าเรือนนางเกด มิตรจิต กรุงเทพฯ


ชื่อเรื่อง           ประวัติ  อภินิหาร  และพระเครื่อง  หลวงพ่อเงิน (พุทฺธโชติ) วัดบางคลาน ชื่อผู้แต่ง         - พิมพ์ครั้งที่       - สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       บันดาลสาส์น ปีที่พิมพ์          ม.ป.ป จำนวนหน้า      160 หน้า รายละเอียด                     หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับ  ประวัติหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร อภินิหารพระเครื่อง     ชีวิตเยาว์วัย และการฝึกสมาธิแบบที่ 1 – 40 


         50Royalinmemory ๒๐ มีนาคม ๒๒๗๙ (๒๘๖ ปีก่อน) - วันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑)          บุตรของพระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) (ภายหลังสถาปนาเป็น “สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก”) กับพระอัครชายา (หยก) (พระนามเดิม : ทองด้วง) เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๓๒๕ เสด็จดำรงราชสมบัติ ๒๘ ปี มีพระราชโอรส-ธิดา ๔๒ พระองค์ สวรรคตวันที่ ๗ กันยายน ๒๓๕๒ พระชนมพรรษา ๗๓ พรรษา (ดูเพิ่มเติมใน กรมศิลปากร, ราชสกุลวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔), ๒.)          Cigarette Cards ชุดเจ้านายไทย (๑ สำรับ ประกอบด้วย พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปเขียนคล้ายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์บนแผ่นกระดาษ จำนวน ๕๐ รูป) ลำดับที่ ๑ โดยบริษัท ยาสูบซำมุ้ย จำกัด (SUMMUYE & CO) ผลิตราวปี พ.ศ. ๒๔๗๗ (หมายเลขทะเบียน ๒/๒๕๑๖/๑) มีประวัติระบุว่า คุณหลวงฉมาชำนิเขต มอบให้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖             (เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร)


เลขทะเบียน : นพ.บ.527/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 70 หน้า ; 5 x 48 ซ.ม. : รักทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 176  (267-279) ผูก 4 (2566)หัวเรื่อง : ลำสินไชย--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง                              มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทสพร-นครกัณฑ์) อย.บ.                                 423/8ประเภทวัสดุ/มีเดีย          คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                           พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                      22 หน้า : กว้าง 4.5 ซม.  ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                              พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน                                            ชาดกบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน  เส้นจาร ฉบับล่องชาด ทองทึบ รักทึบ ลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี  


องค์ความรู้ เรื่อง “ปัญจอันตรธาน” โดย ดร.วกุล มิตรพระพันธ์ นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์