ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,347 รายการ
ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 22 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 36(ต่อ)37 และ 38) ชื่อผู้แต่ง -ปีที่พิมพ์ : 2511 สถานที่พิมพ์ : -สำนักพิมพ์ : - จำนวนหน้า : 312 หน้าสาระสังเขป : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 22 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 36(ต่อ)37 และ 38) เล่มนี้ มีเนื้อหาเรื่องจดหมายเหตุของคณะบาทหลวงฝรั่งเศสเนื้อหาต่อจากเล่มที่21 ภาคที่ 36 ภายในเล่มนี้จะเป็นเรื่องจดหมายเหตุของคณะบาทหลวงฝรั่งเศส ตอนแผ่นดินพระเจ้าเสือ และพระเจ้าท้ายสระ ภาคที่ 4
การทำบุญตักบาตรข้าวสารไม่ปรากฏหลักฐานว่าแท้จริงเริ่มขึ้นเมื่อใด ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง การพระราชกุศลตักบาตรน้ำผึ้ง อันเป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นในเดือนสิบ ทรงอธิบายถึงที่มาของการพระราชกุศลตักบาตรน้ำผึ้งว่าน่าจะรับมาจากอินเดีย และเพิ่งจัดการพระราชพิธีในสมัยรัชกาลที่ ๔ เบื้องต้นได้ทรงตั้งปุจฉาข้องกังขาเหตุผลที่มาของประเพณีว่า
“...ข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะนำมูลเหตุตามทางที่เทศนานั้นมากล่าวในที่นี้ พอจะได้รู้เรื่องตลอดว่าเหตุการณ์อย่างไรจึงได้เกิดตักบาตรน้ำผึ้งขึ้น และน้ำผึ้งซึ่งดูก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดนัก สู้ข้าวสารไม่ได้ ทำไมจึงได้ต้องถึงตักบาตรตักพกดูก็น่าจะถามอยู่ แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่านั้น จะไม่เดินเนื้อความแต่ตามที่เทศนาอย่างเดียว จะขอแสดงความเห็น และตามที่ตัวทราบเพิ่มเติมปนลงบ้างตามสมควรแก่ข้อความ...”
จากนั้นทรงอธิบายว่า ในฤดูสารทสมัยพุทธกาล พระสงฆ์เกิดอาการเจ็บป่วยอาพาธกันมาก ด้วยอาการไข้ที่เรียกว่า “สรทิกาพาธ” คือ อาการป่วยในฤดูสารท มีอาการฉันอาหารไม่ได้และอาเจียน อ่อนเพลีย พระพุทธองค์จึงทรงมีพุทธานุญาต ให้พระสงฆ์ฉันอาหารซึ่งไม่ใช่อาหารหยาบ ๕ สิ่งที่จัดว่าเป็นทั้งอาหารและเป็นเภสัช ได้แก่ “คือ เนยใสอย่างหนึ่ง เนยข้นอย่างหนึ่ง น้ำมันอย่างหนึ่ง น้ำผึ้งอย่างหนึ่ง น้ำอ้อยอย่างหนึ่ง” แม้ว่าจะเป็นเวลาในช่วงหลังเที่ยงจนถึงรุ่งสว่างของอีกวันก็ตาม จึงทำให้เกิดความนิยมมีผู้นำมาถวายเป็นจำนวนมาก จนเกิดข้อติเตียนหลายประการ เช่น ติเตียนในการสะสมอาหาร จึงทรงกำหนดให้คิลานะเภสัชทั้ง ๕ สิ่งนี้เป็น “สัตตาหกาลิก” คือ กำหนดให้เก็บไว้ได้เพียง ๗ วันนับแต่วันรับ หากเกินกว่านั้นถือว่าเป็นนิสสัคคีย์ “ของเดน ของบูด” ภิกษุที่ยังครองไว้ถือว่าต้องอาบัติปาจิตตีย์
จากนั้นทรงอธิบายเพิ่มเติมว่าอาหารที่เป็นยาทั้ง ๕ สิ่งที่กล่าวนี้ สำหรับในประเทศไทยแล้ว เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำอ้อย ทางการแพทย์ได้ระบุว่าแสลงโรคทั้งสิ้น “คงใช้ได้บ้างแต่น้ำผึ้ง” แต่ไม่สู้จะใช้ประโยชน์ทางยา คงเอามากวนเป็นตังเมเท่านั้น ไม่รู้สึกว่าเป็นยาอันใดเลย สู้น้ำข้าวต้มซึ่งน่าจะเป็นยาที่เหมาะสำหรับคนไทยพระภิกษุไทยมากกว่าไม่ได้ และหากพระพุทธองค์ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่และทรงทราบ น่าจะทรงอนุญาตให้ถวายน้ำข้าวต้มได้ ทั้งนี้ ในพระราชนิพนธ์เรื่องดังกล่าว มิได้ทรงกล่าวถึงการถวายอาหารเป็นยาของคนไทย และการถวายข้าวสารแต่อย่างใด
เมื่อพิจารณาต่อมาเรื่อง การบิณฑบาตจากพระวินัยซึ่งมีข้อกำหนดที่เกี่ยวเนื่อง ๒ ประการ ได้แก่ ๑. พระสงฆ์ไม่ควรเก็บอาหารไว้ข้ามวัน และ ๒. ห้ามไม่ให้พระสงฆ์ทำอาหาร สำหรับอาหารที่ถวายทำบุญตักบาตร จึงมักเป็นอาหารปรุงสำเร็จพร้อมฉัน และหากฉันไม่หมดภายในเพลวันนั้น ต้องบริจาคเป็นทานต่อไป จะนำกลับมาถวายมื้อต่อต่อไปหรือในวันรุ่งขึ้นอีกไม่ได้ ถือว่าเป็นของเดน ของบูด ส่วนในข้อที่ ไม่อนุญาตให้พระสงฆ์ทำครัวหุงหาอาหารนั้น เนื่องจากบางครั้งวัตถุดิบในการทำอาหาร อาจมีเมล็ดพืช หรือพืชซึ่งที่ยังมีรากติดกับดิน อาจจะยังงอกงามเป็นต้นพืชเป็นชีวิตได้ การทำอาหารจึงอาจทำให้เกิดอาบัติปาจิตตีย์เพราะพรากของสีเขียว คือฆ่าชีวิตของต้นพืช โดยข้อห้ามอันนี้จึงทำให้แต่เดิมหากจะถวายภัตตาหารเป็นพืชหรือผลไม้ที่มีเมล็ดที่อาจให้กำเนิดชีวิตต่อไปได้ จึงต้องเอาเมล็ดออกเสียก่อน รวมทั้งจะไม่ถวายวัตถุดิบในการประกอบอาหารจำพวก ข้าวสาร อาหารแห้ง เนื้อสัตว์ ไข่ ตลอดจนเครื่องปรุงรสต่าง ๆ ด้วย
พระวินัยซึ่งบัญญัติขึ้นนี้ เพื่อให้พระภิกษุละกิเลส ไม่เป็นผู้สะสมอาหาร และสิ่งอื่นใดนอกจากอัฏฐบริขาร ดังนั้นหากมีญาติโยมบริจาคข้าวสารอาหารแห้ง ซึ่งอาจบรรจุไว้ในถังสังฆทาน พระท่านมักให้ลูกศิษย์ญาติโยมสำรวจ และนำข้าวสารอาหารแห้งดังกล่าว ออกจากเครื่องสังฆทานเสียก่อนที่จะถวาย และนำไปมอบให้แก่ญาติโยมที่ดูแลโรงครัว หรือจัดเตรียมสำหรับทำทานต่อไป เพื่อที่มิให้ของเหล่านั้นกลายเป็น “ของเดน ของบูด” มิอาจนำมาถวายเป็นจังหันได้อีกดังกล่าวมาข้างต้น ทว่า ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป แม้ว่าจะมีข้อกำหนดดังกล่าว ประเพณีการทำบุญตักบาตรข้าวสารนั้นกลับเป็นที่นิยมของพุทธศาสนิกชนและปฏิบัติตามกันมา เพราะญาติโยมเห็นว่า “ข้าวสาร”เป็นของที่เก็บรักษาไว้ได้นาน และยังเป็นผลดีต่อวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์ สามเณรที่จำพรรษาอยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก หรือวัดที่มิได้มีพุทธศาสนิกชนมาทำบุญกันเป็นประจำจะได้เป็นคลังอาหารของวัดรวมทั้งพระสงฆ์จะได้บริจาคทานแก่ชาวบ้านต่อไปตามควรเดิมจัดทำบุญตักบาตรข้าวสารในวันพระใหญ่เช่น เทศกาลออกพรรษา ที่เรียกว่าประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะแต่เมื่อพุทธศาสนิกชนเห็นพ้องต้องกันว่าการทำบุญตักบาตรข้าวสารส่งผลดีเช่นนี้ จึงนิยมทำกันอย่างแพร่หลายมิได้จำกัดช่วงเวลา แต่บางท้องถิ่นนิยมทำในช่วงพรรษาระหว่างเดือน ๑๐ ถึงเดือน ๑๒ หรืออาจจัดทำในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การติดกัณฑ์เทศน์ เป็นต้น ในระหว่างพรรษาพุทธศาสนิกชนนิยมทำบุญตักบาตรข้าวสาร การประกอบพิธีกรรมมีลักษณะทั่วไปคล้ายกันโดยการกำหนดวัน เวลาขึ้นอยู่กับความสะดวก มรรคนายกแจกฎีกาให้พุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญทราบทั่วกันเมื่อถึงเวลาให้นำข้าวสาร อาหารแห้งไปวางไว้รวมกันยังสถานที่ที่กำหนดไว้ จากนั้นพระภิกษุสงฆ์ สามเณรมาประชุมพร้อมกัน มรรคนายกนำอาราธนาศีล มีการรับศีลรับพร จากนั้นอาราธนาธรรม เจ้าอาวาสหรือผู้แทน อนุโมทนาทาน มรรคนายกกล่าวนำคำถวายข้าวสาร พุทธศาสนิกชนกล่าวตาม เมื่อกล่าวคำถวายข้าวสารจบ พระภิกษุสงฆ์ สามเณรอนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี ประเพณีไทยทั้งหลายในปัจจุบันพบว่ามีการแก้ไข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับยุคสมัยอยู่เสมอ แต่ยังคงรักษาและคำนึงถึงแก่นสำคัญของประเพณีนั้นไว้ ซึ่งการทำบุญตักบาตรข้าวสารเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีให้เหมาะสมแก่ยุคสมัย
การทำบุญตักบาตรข้าวสาร
น.ส.กมลพรรณ บุญสุทธิ์นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มจารีตประเพณีสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ค้นคว้าเรียบเรียง
เลขทะเบียน : นพ.บ.123/13ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 60 หน้า ; 4.4 x 54 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 70 (232-242) ผูก 13 (2564)หัวเรื่อง : มงฺคลตฺถทีปปี (มงคลทีปนีอรรถกถา)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
"คราด" คือ เครื่องมือสำหรับชักหรือลากขี้หญ้าในนา ทำด้วยไม้ มีฟันเป็นซี่ ๆ คล้ายหวี มีด้ามสำหรับถือ หากเป็นคราดขนาดใหญ่ที่ใช้ทำนาต้องใช้วัวหรือควายลาก โดยมีคันชักที่ปลายตัวคราดทั้งสองข้าง ปลายคันชักมีหูเชือกสำหรับคล้องกับแอกหรือคอม คราดมี 2 ชนิด คือ คราดเดี่ยว ใช้วัวหรือควายลากเพียงตัวเดียว คราดอีกชนิดหนึ่ง คือ คราดคู่ ซึ่งใช้วัวหรือควายลากสองตัว มีคันชักเพียงอันเดียวอยู่ระหว่างวัวหรือควาย คราดภาคเหนือ เรยก ขอแหย่ง คราดทำนาเรียก เผือ
ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๓๑
เจ้าอาวาสวัดพลับ ต.พนัสนิคม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๒๑ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.21/1-6
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
อากาศดำเกิง, หม่อมเจ้า. ครอบจักรวาล. พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา, ๒๕๑๘.
๒๐๕ หน้า. ๒๐๕ หน้า.
เป็นผลงานการประพันธ์เรื่องสั้นของ ม.จ.อากาศดำเกิง รวม ๔ เรื่องด้วยกัน ได้แก่ ๑) “ใช้บาป” ต่อเมื่อคนคนหนึ่งได้คิดและตระหนักดีแล้วว่าเขาคือผู้กระทำผิดไว้กับอีก 2 ชีวิต มันก็คงเพียงพอแล้วที่เขาต้อง “ใช้บาป” ที่ตัวเองได้ก่อไว้ ๒) “รัก” เมื่อชาย-หญิงมีความรักต่อกันก็ธรรมดาโดยทั่วไปที่อยากจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน การเชื่อใจกันและกันจะพาให้ชีวิตคู่ย่อมมีความสุขที่สุด แต่สำหรับเธอต้องยอมเสียสละความสุขที่สุดในชีวิตเพียงเพื่อทำการใหญ่ให้กับประเทศชาติ ๓) “ชีวิตกับความจริง” คนบางคนมีชีวิตอยู่ได้เพราะความฝัน เพราะเชื่อว่านั่นคือความสุข แต่สำหรับบางคนยึดถือเอาความจริงเป็นเรื่องที่สำคัญในชีวิต หากเลือกผิดมันจะนำมาซึ่งความทุกข์ ๔) “ยูเวลลิน คู่รักระหว่าง “โอเรลโด โรลีโอ” กับ “พริสซิลลา” ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงวิ่งตามเสียงไปก็พบว่าบิดานอนบาดเจ็บและได้สั่งให้ลืมเหตุการณ์นี่เสีย แต่เขาไม่อาจทำตามที่บิดาร้องขอไว้ได้ เขาจึงต้อห่างหายจากพริสซิลลาไป ๕ ปี ก็ได้พบกับ “ยูเวลลิน” ซึ่งเป็นผู้หญิงที่และยูเวลลินเป็นคนที่สืบรู้ความจริงในการตายบิดาของโอเรลโดโรลีโอ เขามิอาจจะลืมความเจ็บปวดนั้นได้เลย
แนแซ(ตาหนา)ปูนซีเมนต์ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดสงขลา(จะนะ นาทวี เทพา สะบ้าย้อย)และสตูล
แนแซ-ตาหนา
แนแซ เป็นภาษามลายูท้องถิ่น ตรงกับภาษามลายูกลางว่า Nesan หรือ Nisan แปลว่าหินที่ปักไว้บนหลุมฝังศพ โดยคำว่า “แนแซ” ถูกนำมาใช้เรียกเครื่องหมายสำหรับปักบนหลุมฝังศพที่อยู่ในลักษณะของเครื่องหมายประเภทถาวร โดยเน้นชนิดของวัสดุประเภทหินเป็นหลักจึงปรากฏเป็นคำเรียกในท้องถิ่นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า บาตูแนแซ (Batu Nisan) อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่าแม้ว่าเครื่องหมายที่ปักบนหลุมฝังศพจะมีวัสดุที่เปลี่ยนไปจากเดิมเช่นการนำซีเมนต์ เซรามิกส์ หรือวัสดุอื่นๆที่มีความคงทน มาใช้แทนหิน การเรียกชื่อของเครื่องหมายบนหลุมฝังศพประเภทถาวรนี้ ก็ยังคงเรียกว่า แนแซ อยู่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตามในพื้นที่จังหวัดสตูลและบางส่วนของจังหวัดสงขลานั้นไม่ได้เรียกเครื่องหมายสำหรับปักบนหลุมฝังศพว่า แนแซ ดังที่เรียกกันในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส แต่มีคำเรียกเป็นการเฉพาะว่า “ตาหนา” หรือ “แลสัน”
กำเนิดแนแซปูนซีเมนต์
แนแซที่ทำจากปูนซีเมนต์ เริ่มปรากฎขึ้นในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาจกล่าวได้ว่าแนแซชนิดนี้ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถผลิตขึ้นได้ในหมู่บ้าน โดยในช่วงแรกนั้นการประดับแนแซด้วยลายดอกไม้ได้รับความนิยมมาก ต่อมาจึงเริ่มมีการเขียนคำจารึกอย่างย่อด้วยอักษรยาวี ซึ่งระบุชื่อของผู้ตาย รวมทั้งวันเวลาในการตาย
ในปัจจุบันกูโบร์ทุกแห่งล้วนมีการใช้แนแซที่ทำจากปูนซีเมนต์ โดยสามารถหาซื้อแนแซในกลุ่มนี้ได้จากผู้ผลิตโดยตรง หรืออาจหาได้จากร้านผู้แทนจำหน่ายซึ่งมักเป็นร้านขายวัสดุภัณฑ์
แนแซปูนซีเมนต์รุ่นเก่า
แนแซกลุ่มนี้ผลิตขึ้นจากปูนซีเม็ดผสมกับทรายหยาบ สามารถมองเห็นเม็ดทรายในเนื้อปูนได้ชัดเจน ตรงกลางของแนแซมักมีเหล็กเส้นเป็นแกนกลางหนึ่งเส้น ผิวของแนแซชนิดนี้ไม่พบการตกแต่งด้วยการทาสี แต่จะพบการทำลายดอกไม้ชนิดต่างๆประดับตรงกลางแนแซ โดยลายดอกไม้เหล่านี้เป็นลายที่ทำขึ้นพร้อมบล็อคก่อนจะทำการเทปูนหล่อแนแซ อย่างไรก็ตามจากการสำรวจพบว่าในปัจจุบันมีการผลิตแนแซในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน แต่ลักษณะของการผสมปูนจะต่างกับแนแซในรูปแบบเดิม โดยในปัจจุบันปูนที่ใช้จะผสมกับทรายละเอียดทำให้ได้ผิวแนแซที่เนียนและเรียบขึ้นกว่าเดิม โดยสามารถจำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ ๒ กลุ่มคือ
กลุ่มA แนแซปูนซีเมนต์รูปทรงแท่ง
กลุ่ม B แนแซปูนซีเมนต์รูปทรงแผ่น
แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่
แนแซกลุ่มนี้ไม่มีหลักฐานว่าเริ่มต้นผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าการผลิตแนแซในกลุ่มนี้มีผล มาจากรูปแบบของปูนซีเมนต์ในท้องตลาดและสัดส่วนการผสมปูนซีเมนต์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีผลให้สามารถหล่อแนแซที่มีผิวเรียบได้มากขึ้น รวมทั้งสามารถตกแต่งลวดลายและทาสีได้สวยงามมากขึ้น ในขณะที่ราคาของ แนแซรุ่นใหม่ก็อยู่ในระดับที่สามารถซื้อหาได้ง่าย จึงอาจเป็นเหตุผลให้แนแซในกลุ่มนี้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แนแซรุ่นเก่าค่อยๆเสื่อมความนิยมไปในที่สุด ทั้งนี้สามารถจำแนกแนแซในกลุ่มนี้ออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่คือ แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่ง และแนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่น
แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่ง
แนแซกลุ่มนี้ถูกผลิตขึ้นสำหรับหลุมฝังศพของเพศชาย ผลิตขึ้นจากปูนซีเมนต์ มีเหล็กเส้นเป็นแกนกลาง ผิวด้านนอกมีการทาสี และตกแต่งลวดลายสวยงาม เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จากการสำรวจสามารถจำแนกลักษณะของแนแซชนิดนี้จากรูปทรงได้ดังนี้
กลุ่มA แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)ทรงกระบอก
กลุ่มB แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)หกเหลี่ยม
กลุ่มC แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)หกเหลี่ยม
มีดาวประดับเหนือยอดโดม
กลุ่มD แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)สี่เหลี่ยม
กลุ่มE แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)สี่เหลี่ยม
มีดาวประดับเหนือยอดโดม
กลุ่มF แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแท่งรูปทรงมัสยิด(หออะซาน)ทรงกระบอกเซาะร่อง
แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่น
แนแซกลุ่มนี้ถูกผลิตขึ้นสำหรับหลุมฝังศพของเพศหญิง ผลิตขึ้นจากปูนซีเมนต์ มีเหล็กเส้นเป็นแกนกลาง ผิวด้านนอกมีการทาสี และตกแต่งลวดลายรูปมัสยิด ดอกไม้ ใบไม้ และลวดลายอื่นๆ เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จากการสำรวจสามารถจำแนกลักษณะของแนแซชนิดนี้จากรูปทรงได้ดังนี้
กลุ่มA แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่นรูปทรงโครงร่างมัสยิด(หออะซาน)
กลุ่มB แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่นตกแต่งด้วยรูปดอกไม้ใบไม้
กลุ่มC แนแซปูนซีเมนต์รุ่นใหม่ชนิดแผ่นตกแต่งด้วยลวดลายอื่นๆ
แนแซปูนซีเมนต์แบบสตูล
แนแซกลุ่มนี้ผลิตขึ้นจากปูนซีเมนต์ มีเหล็กเส้นเป็นแกนกลาง ส่วนใหญ่ไม่มีการทาสี จากการสำรวจพบนิยมแพร่หลายเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสตูล สามารถจำแนกลักษณะของแนแซชนิดนี้จากรูปทรงได้ดังนี้
กลุ่มA แนแซปูนซีเมนต์แบบสตูลชนิดแท่ง(สำหรับเพศชาย)
กลุ่มB แนแซปูนซีเมนต์แบบสตูลชนิดแผ่น(สำหรับเพศหญิง)
ข้อมูลจัดทำโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา โดยเรียบเรียงจาก รายงานองค์ความรู้จากหลุมฝังศพ(กูโบร์)ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยดำเนินการขุดค้นขุดแต่งโบราณสถานวัดเกาะไม้แดง เนื่องในโครงการบูรณะและเสริมความมั่นคงโบราณสถานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ เพื่อเก็บข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ ที่อยู่ใต้ดิน ก่อนที่จะดำเนินการบูรณะเสริมความมั่นคงต่อไปในอนาคต วัดเกาะไม้แดงหรือโบราณสถานร้าง ต.อ.๑๕ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก โดยอยู่ห่างจากประตูกำแพงหักไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร และห่างจากวัดเจดีย์สูงไปทางทิศใต้ประมาณ ๙๐ เมตร หรือสามารถเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของวัดเกาะไม้แดงได้ตามลิ้งก์นี้ >>>https://goo.gl/maps/ARgstrsDtCFd48NM8 สภาพก่อนการขุดค้นทางโบราณคดี ในหนังสือทำเนียบโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ระบุว่าโบราณสถานแห่งนี้เคยมีการขุดแต่งและบูรณะมาแล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ นี้มีคูน้ำล้อมรอบ ๔ ด้าน ภายในประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างหลักเรียงตามแนวแกนทิศตะวันออกไปตะวันตกดังนี้คือ ฐานวิหารก่ออิฐ ขนาด ๕ ห้อง กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๖.๓ เมตร เสาทำด้วยศิลาแลง ด้านหลังวิหารหรือด้านทิศตะวันตกของวิหาร มีมณฑปสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐ ขนาดกว้าง ๗.๕ เมตร ยาว ๙.๗ เมตร ภายในมณฑปเป็นห้องสี่เหลี่ยมใช้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ห่างออกมาด้านทิศตะวันตก ๑๕ เมตร ปรากฏมณฑปสี่เหลี่ยมก่ออิฐ ขนาดกว้างยาวประมาณ ๗ เมตร ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น รอบๆ ฐานมณฑปสี่เหลี่ยมมีการก่อเป็นฐานยื่นออกมาสามด้าน นอกจากนี้ยังมีฐานเจดีย์รายเหลืออยู่ ๒๗ องค์ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วก่ออิฐ ที่ก่อล้อมมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้านและเจดีย์รายไว้ ๓ ด้านคือทางด้านทิศเหนือ ทิศตะวันตกและทิศใต้ การดำเนินงานขุดค้นขุดแต่งโบราณสถานวัดเกาะไม้แดง ในขณะนี้ได้ดำเนินการขุดค้นขุดแต่งไปแล้วบางส่วนเท่านั้นคือบริเวณพื้นที่ภายในกำแพงแก้วที่ล้อมรอบมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้าน และพื้นที่ระหว่างมณฑปทั้ง ๒ หลัง ทำให้ทราบในเบื้องต้นว่าก่อนการสร้างมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้านที่เห็นในปัจจุบันนั้น มีการใช้งานพื้นที่มาก่อน เนื่องจากพบแนวอิฐที่เป็นกำแพงแก้วรอบล้อมกลุ่มฐานของเจดีย์ราย ฐานเจดีย์ราย นอกจากนี้ยังมีการขุดพบฐานวงกลมก่ออิฐฉาบปูนจำนวน ๒ ฐานซึ่งยังไม่ทราบหน้าที่การใช้งานที่ชัดเจน บริเวณใกล้ๆ กับมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้านพบแนวอิฐที่ใช้รองรับโครงสร้างอาคารอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามณฑป สันนิษฐานว่าเป็นแนวอิฐของโครงสร้างอาคารหลังเก่าที่มีมาก่อนที่มีมาการก่อสร้างมณฑปสี่เหลี่ยมมีฐานสามด้านซ้อนทับในสมัยหลัง ทั้งนี้การดำเนินงานขุดค้นขุดแต่งยังไม่แล้วเสร็จ หากท่านใดสนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดีที่วัดเกาะไม้แดงได้ตามที่ลิ้งก์แผนที่ที่แนบในย่อหน้าที่สองของบทความ และสามารถติดตามคืบหน้าของการศึกษา วิจัย ทางโบราณคดีของโบราณสถานวัดเกาะไม้แดงได้ในรูปแบบรายงานทางวิชาการที่จะเผยแพร่ผ่านทางหน้าเพจอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยต่อไปในอนาคต หรือสามารถสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้ได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4100167870035690&id=180332008685982&sfnsn=mo --------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย