ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 37,420 รายการ

การบูชาพระจันทร์เป็นประเพณีสำคัญในท้องถิ่นที่นับถือธรรมชาติ เรามักคุ้นเคยกับประเพณีไหว้พระจันทร์แบบจีนเพราะมีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่มากในประเทศไทย แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านแนบชิดอย่างกัมพูชาก็มีประเพณีไหว้พระจันทร์เช่นกัน   พิธีไหว้พระจันทร์ในกัมพูชา           ในกัมพูชาเรียกพิธีนี้ว่า សំពះព្រះខែសំពះព (Sampeah Preah Khae) หรือพิธีไหว้พระจันทร์ (พระแขหมายถึงพระจันทร์) เป็นส่วนหนึ่งในงานเทศกาล បុណ្យអុំទ (Bon Om Touk)๑ ซึ่งจัดขึ้นทั้งแบบหลวงและแบบชาวบ้านในช่วงเวลาที่พระจันทร์โคจรอยู่เหนือศีรษะในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นประจำทุกปี เพื่อทำนายสภาพฟ้าฝนปีถัดไป ผลทำนายจะทำให้ชาวบ้านรู้ทิศทางเตรียมตัวทำเกษตรกรรม ขณะเดียวกันตำนานมูลเหตุแห่งการจัดพิธียังเชื่อมโยงกับอรรถกถา สสปัณฑิตชาดก๒ สะท้อนถึงคติความเชื่อทางพุทธศาสนาและการกล่อมเกลาผู้คนให้บูชาคุณงามความดีจากการเสียสละ           พิธีไหว้พระจันทร์แบบหลวงจัดเป็นพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง มีการเตรียมกล้วย ข้าวเม่า๓ ข้าวหลาม อาหารและผลไม้อื่นๆ เป็นเครื่องไหว้ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือโครงเทียน โครงเทียนแบบหลวงถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มีเทียนยึดติดกับโครงทั้งหมด ๑๔ เล่ม เป็นสัญลักษณ์แทน ๑๔ จังหวัดในกัมพูชา เมื่อถึงเวลาหลังพราหมณ์หลวงประกาศคำบูชาเทวดาแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงจุดเทียน จากนั้นพราหมณ์หลวงจะหมุนโครงเทียน ๓ รอบ ให้หยดน้ำตาเทียนตกลงบนใบตองที่ปูรองไว้ด้านล่าง เมื่อเทียนละลายหมดและพราหมณ์หลวงประกาศคำทำนายก็เป็นอันจบพระราชพิธี           ส่วนพิธีแบบชาวบ้านมีการเตรียมกล้วย ข้าวเม่า และข้าวหลามเช่นเดียวกัน แต่อาหารและผลไม้เครื่องไหว้อื่นๆ อาจแตกต่างไปตามแต่ละท้องที่ ผู้ประกอบพิธีเป็นพระสงฆ์ทำหน้าที่สวดมนต์บูชาเทวดา และมีการอุปโลกน์ชายผู้เคร่งครัดในศาสนาเป็นพราหมณ์ทำหน้าที่จุดเทียนและหมุนโครงเทียน รวมถึงทำนายฟ้าฝนจากหยดน้ำตาเทียน หลังจากนั้นผู้ร่วมพิธีจะแบ่งปันข้าวเม่าที่ใช้เป็นเครื่องไหว้ และเพ่งจิตไปยังพระจันทร์เพื่ออธิษฐานขอพรก่อนที่จะรับประทานข้าวเม่านั้นลงไป๔   พิธีไหว้พระจันทร์ในสุพรรณบุรี           จังหวัดสุพรรณบุรีมีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งจังหวัด สำหรับกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรจะอาศัยรวมเป็นกลุ่มใหญ่ในเขตตำบลบ้านโพธิ์และตำบลตลิ่งชัน อำเภอเมืองสุพรรณบุรี โดยเฉพาะแถววัดสามทอง วัดสุวรรณนาคี วัดสกุลปักษี และวัดประชุมชน ส่วนใหญ่มีบรรพบุรุษอพยพมาจากกัมพูชาตั้งแต่ช่วงปลายสมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์๕ และปัจจุบันยังคงสืบทอดประเพณีบางอย่างที่บรรพบุรุษเคยถือปฏิบัติไว้ซึ่งรวมถึงพิธีไหว้พระจันทร์ด้วย           พิธีไหว้พระจันทร์หรือไหว้พระแข เป็นพิธีกรรมที่ผสมผสานระหว่างพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์ ถือเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมพิธีและเสริมสร้างความสามัคคีของคนในท้องถิ่น๖ การทำพิธีในสุพรรณบุรีมีเค้าโครงความเชื่อและรูปแบบการทำพิธีความคล้ายคลึงกับในกัมพูชา จะมีที่แตกต่างไปบ้างก็เพื่อปรับให้เหมาะสมกับท้องถิ่น           เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๕ ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปสังเกตการณ์และร่วมพิธีไหว้พระจันทร์ที่วัดสามทอง๗ ตำบลตลิ่งชัน และวัดประชุมชน (หรือวัดบ้านบึง) ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้เห็นการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในชุมชน ความหวังในการพึ่งพิงธรรมชาติของคน รวมถึงการพยายามถ่ายทอดความรู้และคติจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว           การเตรียมพิธี           ก่อนถึงวันงาน พระสงฆ์จะชักชวนชาวบ้านใกล้เคียงให้มาร่วมแรงร่วมใจกันจัดงาน เพียงหนึ่งวันก่อนงานพิธีจะมีการทำประรำพิธีโดยกั้นพื้นที่ลานโล่งของวัดที่สามารถเห็นพระจันทร์ได้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ประดับแตกแต่งด้วยฉัตร สายสิญจน์ ธงและหลอดไฟหลากสี เพื่อสร้างบรรยากาศ ภายในประรำพิธีจัดสรรพื้นที่สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป พื้นที่นั่งของพระสงฆ์และที่นั่งของฆราวาส ส่วนด้านนอกประรำพิธีมีการตั้งโครงเทียนสูงประมาณ ๑.๕๐ – ๒ เมตร ซึ่งอาจกว้างแตกต่างกันตามแต่จำนวนเทียนที่จะประกอบพิธี           ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันประกอบพิธี ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ผู้ที่ได้รับการอุปโลกน์เป็นพราหมณ์ทำหน้าที่ประกอบพิธี๘ จะหล่อเทียนสำหรับใช้เป็นสัญลักษณ์แทนแต่ละฤดูกาลหรือแทนเดือนในรอบปี๙ โดยตัดด้ายสำลีจำนวน ๔๘ เส้น ปั่นเป็นไส้เทียน ยึดปลายไส้เทียนด้านหนึ่งกับก้นกระบอกไม้ไผ่ซึ่งเจาะรูและปิดด้วยก้อนดินหรือดินน้ำมัน จากนั้นนำน้ำตาเทียนและเศษเทียนที่พระสงฆ์ใช้ระหว่างสวดมนต์ช่วงเข้าพรรษา หลอมผสมกับน้ำตาเทียนจากพิธีไหว้พระจันทร์ในปีก่อน เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เทลงในกระบอกไม้ไผ่ ค่อยๆ หล่อน้ำเทียนเพื่อให้เนื้อเทียนแน่นไม่เกิดฟองอากาศ รอจนเทียนขึ้นรูปดีแล้วจะผ่ากระบอกไม้ไผ่เพื่อนำเทียนออกอย่างระมัดระวังโดยไม่ให้เทียนหัก พร้อมทั้งตกแต่งเทียนแต่ละเล่มให้ได้น้ำหนักเท่ากัน๑๐ก่อนที่จะนำไปติดยึดกับโครงเทียน      การเตรียมงานไหว้พระแข ณ วัดสามทอง           การทำพิธี           ตกค่ำในวันงานชาวบ้านจะมาดูงานมหรสพที่ทางวัดจัดไว้หรือมาทำบุญไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมกับจะนำกล้วย ข้าวเม่า และข้าวหลามมาถวายพระสงฆ์ ก่อนถึงเวลาทำพิธีประมาณห้าทุ่ม ชาวบ้านจะรวมตัวกันอยู่ในประรำพิธี พราหมณ์ ๓ คน แต่งกายชุดขาวเริ่มทำพิธีด้วยการนำสวดมนต์บูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จากนั้นพระสงฆ์จะทำการสวดธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร           กระทั่งเมื่อถึงเวลาพระจันทร์ตั้งตรงศีรษะหรือประมาณเที่ยงคืน หลังพระสวดชยันโตเสร็จแล้ว พราหมณ์จะจุดเทียนที่ติดยึดกับโครงเทียน โดยคนนำประกอบพิธีเป็นผู้ทำนายผลจากการสังเกตหยดน้ำตาเทียน หากน้ำตาเทียนค่อยๆ หยดแสดงว่าปีหน้าฝนจะตกน้อย ถ้าน้ำตาเทียนหยดถี่มากแสดงว่าฝนจะตกมาก ขณะที่หากไส้เทียนเผาไหม้ตกลงเป็นประกายไฟหมายถึงจะมีฝนฟ้าคะนองมาก จากนั้นพระสงฆ์จะนำชาวบ้านกล่าวคำอาราธนาศีล แล้วจึงโปรยกล้วยและข้าวเม่าให้ชาวบ้านได้เก็บไว้เพื่อถือเป็นสิริมงคลและเป็นสัญลักษณ์เริ่มต้นปีทำเกษตรกรรมอีกครั้ง           งานไหว้พระแข ณ วัดสามทอง    งานไหว้พระแข ณ วัดประชุมชน ตำบลบ้านบึง อำเภอเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งจัดในวันเดียวกัน           งานไหว้พระจันทร์ในกัมพูชากับในสุพรรณบุรีคล้ายคลึงกันในเรื่องการจุดเทียนเพื่อทำนายฟ้าฝน รวมถึงการใช้กล้วย ข้าวเม่า และข้าวหลามเป็นเครื่องอุทิศถวาย อย่างไรก็ตาม พิธีในสุพรรณบุรีมีนัยของกล้วยและข้าวเม่าดูจะแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะพระสงฆ์และชาวบ้านที่วัดสามทองมองว่าเป็นสัญลักษณ์แทนเมฆและฝน ซึ่งหลังจากที่พระสงฆ์โปรยกล้วยและข้าวเม่าแล้ว ชาวบ้านจะเก็บกล้วยไว้กินและเก็บข้าวเม่าไว้บูชาหรือโปรยในนาที่จะปลูกข้าวเพื่อความเป็นสิริมงคล           ขณะเดียวกัน แม้การทำนายจะคลาดเคลื่อนกันไปตามมุมมอง ทัศนคติและประสบการณ์ของผู้ทำนายแต่ละคน และในปัจจุบันชาวบ้านไม่จำเป็นต้องพึ่งพาฟ้าฝนอย่างเดียวเพราะมีคลองส่งน้ำไปถึงพื้นที่ทำเกษตรกรรมแล้ว แต่เหตุที่คนไทยเชื้อสายเขมรในสุพรรณบุรียังถือปฏิบัติพิธีนี้อยู่เป็นประจำทุกปีนั้น คงเนื่องมาจากแรงศรัทธาต่อผลการทำนายว่าเป็นจริง รวมถึงความต้องการสืบทอดคติความเชื่อดังเดิมของบรรพบุรุษอันแสดงถึงอัตลักษณ์ของชุมชนให้ดำรงสืบต่อไป        เชิงอรรถ           ๑ โปรดดูวารสาร Cambodia – Japan Cooperation Center Newsletter, volume 2, issue 1, January – march 2008, หน้า 6. กล่าวถึงเทศกาล BonOm Toukว่าเป็นงานเฉลิมฉลองประจำปีจัดขึ้นรวม ๓ วัน ระหว่างวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำ ในเดือน ๑๒ ตามปฏิทินจันทรคติ           ๒ อรรถกถา สสปัณฑิตชาดก มีเนื้อหากล่าวถึงเมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ทรงเสวยชาติเป็นกระต่าย ในวันพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง กระต่ายได้อธิฐานต่อพระจันทร์หมายจะสละเนื้อตนเป็นอาหารแก่พราหมณ์เฒ่า จากนั้นจึงกระโดดเข้าสู่กองเพลิง ด้วยผลบุญแห่งการกระทำทำให้ทันใดนั้นพระโพธิสัตว์ลอยขึ้นอยู่เหนืออากาศไปประทับอยู่บนดวงจันทร์           ๓ โปรดดูหนังสือ Traditional Festivals of ASEANโดย ASEAN Committee on Culture and Information, Hanoi : The Committee, 2003, หน้า ๔๔ – ๔๕. ระบุว่าการใช้กล้วยเป็นเครื่องไหว้เนื่องจากเชื่อว่าเป็นอาหารโปรดของกระต่าย และใช้ข้าวเม่าเป็นสัญลักษณ์แทนพืชพันธุ์อาหารและความอุดมสมบูรณ์           ๔ โปรดดูหนังสือ Traditional Festivals of ASEAN 2003หน้า ๔๔– ๔๕ และหน้า ๑๓๐ – ๑๔๐. กล่าวถึงการรับประทานข้าวเม่าหลังไหว้พระจันทร์ และในหนังสือเกร็ดโบราณคดีประเพณีไทย ชุดที่ 2โดยสมบัติ พลายน้อย (ห้างหุ้นส่วนจำกัดรวมสาส์น : ๒๕๑๖) หน้า ๓๖๔ – ๓๖๖. กล่าวถึงประเพณี “ออกอำบก” หรือการรับประทานข้าวเม่า           ๕ คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสุพรรณบุรี. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๔๔. หน้า ๑๕๘ และ ๑๙๐.           ๖ ฐาปนี. พิธีกรรมและความเชื่อท้องถิ่น. กรุงเทพฯ :แสงดาว, ๒๕๔๙. หน้า ๗๖ – ๗๗.           ๗ คุณลุงเกริ่น โกลากุล อายุ ๘๗ ปี ให้ข้อมูลว่า มีคำบอกเล่าต่อกันมาว่างานไหว้พระจันทร์หรือไหว้พระแขที่วัดสามทองจัดขึ้นมาก่อนที่พระอาจารย์เจียเป็นเจ้าอาวาส (พ.ศ.๒๔๓๕)           ๘ พระสงฆ์ที่วัดสามทองให้ข้อมูลว่า ผู้ทำหน้าที่พราหมณ์ประกอบพิธีต้องเป็นบุคคลผู้ถือศีลในช่วงวันเข้าพรรษา ซึ่งปัจจุบันที่วัดสามทองมีผู้ทำหน้าที่พราหมณ์ ๓ คน คือ คุณลุงเกริ่น โกลากุล อายุ ๘๗ ปี คุณลุงโอ แกร่งเชื้อชัย อายุ ๘๕ ปี และคุณลุงบุญช่วย เอี่ยมสะอาด อายุ ๗๕ ปี           ๙ การประกอบพิธีแต่ละแห่งอาจใช้จำนวนเทียนแตกต่างกัน เช่น เทียนเล่มหนึ่งแทน ๒ เดือน หรือแทน ๓ เดือน หรือแทนฤดูกาลใดฤดูกาลหนึ่ง โดยที่วัดสามทองใช้เทียนทำพิธีเพียง ๓ เล่ม วัดประชุมชนใช้เทียน ๖ เล่ม และวัดอินทร์เกษม (วัดหนองหิน) ใช้เทียน ๑๒ เล่ม เป็นต้น           ๑๐ ผู้ประกอบพิธีที่วัดสามทองทั้ง ๓ คน ให้ข้อมูลว่า การหล่อเทียนจะต้องทำในวันประกอบพิธีเท่านั้น จะหล่อเทียนก่อนวันประกอบพิธีไม่ได้ ผู้ทำพิธีจะต้องบอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดก่อนที่จะหล่อเทียน ซึ่งวัดบางแห่งอาจทำเทียนแต่ละเล่มหนักมากถึงครึ่งกิโลกรัม แต่สำหรับวัดสามทองใช้เทียนหนักเล่มละ ๑๒ บาท ตามมาตรการชั่งแบบไทย หรือหนักประมาณ ๒ ขีด 




มาตรการป้องกันเผยแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิค 2019


เชิญร่วมกิจกรรมสันทนาการเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ปี ๒๕๕๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น สถานที่ : เชิญร่วมกิจกรรมสันทนาการเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ปี ๒๕๕๖ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่นติดต่อ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น ไม่เสียค่าใช้จ่าย


  "ร่องรอยสุวรรณภูมิในประเทศไทย บ้านดอนตาเพชร"   10-ร่องรอยสุวรรณภูมิในประเทศไทย บ้านดอนตาเพชร ตอน 1 11-ร่องรอยสุวรรณภูมิในประเทศไทย บ้านดอนตาเพชร ตอน 2




ชื่อวัตถุ รองเท้า ทะเบียน ๒๗/๒/๒๕๓๖ อายุสมัย ศิลปะแบบจีน วัสดุ(ชนิด) หนัง ผ้า และลูกปัดสี ประวัติที่มา นางอ๋องฮวนฮอง วงษ์สุภาพ อายุประมาณ ๖๕ ปี บ้านเลขที่ ๒๕ ถ.วิชิต ต.กระทู้ อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต มอบให้พิพิธภะณฑ์ถลาง เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๓๖ เป็นของที่ใช้ในงานแต่งงาน สถานที่เก็บรักษา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง “รองเท้า” รองเท้ามีลักษณะเป็นร้องเท้าแตะ ส้นเตี้ย ส่วนหัวของรองเท้าปักด้วยลูกปัดสีขาว ส้ม แดง เหลือง และน้ำตาล ร้องเท้ารูปแบบนี้เรียกภาษามลายูว่า Kasutmanikคำว่า manikแปลว่า ลูกปัด รองเท้าปักลูกปัด เป็นรองเท้าที่นิยมในกลุ่มผู้หญิงชาวบาบ๋าคำว่า บาบ๋า เป็นคำที่ชาวภูเก็ตใช้เรียกลูกหลานที่เกิดจากพ่อชาวจีนและแม่ชาวพื้นเมืองว่าโดยเรียกทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่างจากในแถบประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีกลุ่มลูกผสมชาวจีนและชาวพื้นเมืองอยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับในเกาะภูเก็ต แต่ในประเทศเหล่านี้ใช้คำว่า บาบ๋า เรียก ลูกชาย และใช้คำว่า ย่าหยา เรียก ลูกสาว สำหรับรองเท้าปักลูกปัดเป็นที่นิยมทั้งในสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งหญิงชาวภูเก็ตคงรับความนิยมรองเท้ารูปแบบนี้มาจากแถบมะละกาและปีนัง ทั้งนี้ในอดีตหญิงสาวที่เตรียมตัวจะออกเรือนต้องเก่งงานเย็บปักถักร้อย “รองเท้าปักลูกปัด” เป็นส่วนหนึ่งในเครื่องแต่งกายในวันแต่งงาน ซึ่งหญิงสาวต้องทำร้องเท้าปักลูกปัดเพื่อใช้สวมในงานมงคลสมรสด้วยตนเอง ร้องเท้าปักลูกปัดคู่นี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลางได้รับมาจากนางอ๋องฮวนฮอง วงษ์สุภาพอายุประมาณ ๖๕ ปี ซึ่งเป็นของที่ใช้ในงานแต่งงานรองเท้าปักลูกปัด (Kasutmanik) จึงเป็นตัวแทนที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาวบาบ๋าภูเก็ตในเรื่องของการแต่งกายได้เป็นอย่างดี เอกสารอ้างอิง - ฤดี ภูมิภูถาวร. “ร้องเท้าเข้าชุดสะดุดสายตา,” ภูเก็ตภูมิ ๓, ๑ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๒):, ๖๔ – ๖๗. -ฤดี ภูมิภูถาวร. วิวาห์บาบ๋า. ภูเก็ต : บริษัท เวิลด์ออฟเซ็ทพริ้นติ้ง จำกัด, ๒๕๕๓.


วันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นักศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร กรุงเทพมหานคร จำนวน ๓๖ คนเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยมี นายกรภัทร์ สุขใหญ่ พนักงานประจำพิพิธภัณฑ์ ให้การต้อนรับและบรรยายนำชม






วิศิษฐ์  ศรีพิบูลย์.  NLP : ภาษา สมอง มหัศจรรย์.  พิมพ์ครั้งที่ 13.  กรุงเทพฯ : บาบานา สวีท, 2555.  336 หน้า.  ภาพประกอบ.  300 บาท. เอ็นแอลพี  เป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา  ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในหมู่นักจิตวิทยา  เป็นศาสตร์ที่เปลี่ยนศักยภาพบุคคล  พฤติกรรมของบุคคลที่ได้ผลจริงด้วยการทำให้รู้ว่าจิตใจทำงานอย่างไร  การควบคุมสมองให้ทำงานอย่างมีเป้าหมาย  ฝึกการใช้สมองจินตนาการ  การฝึกฟังเสียวในจิตใจ  การฝึกประสาทรับรู้ให้ตื่นตัว  การปลูกความเชื่อใหม่  การสร้างแบบพฤติกรรมใหม่ การพิชิตชัยชนะด้วยภาษากาย  การสะกดจิตตนเองเพื่อความเป็นเลิศ  การเปลี่ยนแปลงตัวเองชั่วข้ามคืน  การลงโปรแกรมภาษาในจิตใจ  158 ว 763 อ   ( ห้องหนังสือทั่วไปเดือนพ.ค. 63 )