ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,748 รายการ

         ขัน          ลักษณะ : ลักษณะดุนลายเป็นเทพนมกำลังร่ายรำจำนวน 8 คู่ ที่ก้นขันมีปุ่มสามปุ่ม มียี่ห้อตราแมวน้ำ เป็นของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงใช้หลังจากทรงหว่านข้าว ณ บึงไผ่แขก เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงหว่านข้าว ณ บึงไผ่แขก อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2529   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/thaifarmersnational/360/model/01/   ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/thaifarmersnational


#องค์ความรู้อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรร่องรอยศาสนาฮินดู ในเมืองกำแพงเพชร..ฮินดูเป็นศาสนาหนึ่งที่เกิดขึ้นในอินเดีย มีวิวัฒนาการมาจากศาสนาพราหมณ์ เคารพบูชาตรีมูรติเป็นศูนย์กลาง ได้แก่ พระอิศวรหรือพระศิวะ พระนารายณ์หรือพระวิษณุ และพระพรหม.เมืองกำแพงเพชรปรากฏศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก แต่จากบันทึกการสำรวจพบพระอิศวรที่ศาลพระอิศวรกลางเมืองกำแพงเพชรโดยนายแม็คคาธี นายสำรวจทำแผนที่ฯ เมื่อ พ.ศ. 2424 อีกทั้งภาพถ่ายครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชร เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 พ.ศ. 2449 ปรากฏภาพเทวรูปพระอิศวร เทวรูปบุคคลและเทวสตรีที่ศาลพระอิศวร เทวลัยในศาสนาฮินดูเพียงแห่งเดียวของเมืองกำแพงเพชร.ศาลพระอิศวร อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร กำหนดอายุได้พุทธศตวรรษที่ 21 จากจารึกรอบฐานเทวรูปพระอิศวรระบุปี พ.ศ. 2053 เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะฐานเขียงซ้อนลดหลั่นกัน ฐานเขียงชั้นล่างสุดมีขนาดกว้าง 11 เมตร ยาว 29 เมตร สูง 1.6 เมตร ด้านตะวันออกมีบันไดศิลาแลงขนาดกว้าง 1.8 เมตร ยาว 4 เมตร บนฐานมีทางเดินศิลาแลงขนาดกว้าง 1 เมตร เป็นแนวยาวไปจนถึงบันไดสู่ฐานชั้นที่สอง.ฐานชั้นที่สอง มีขนาดกว้าง 3.3 เมตร ยาว 4.5 เมตร สูง 0.9 เมตร เป็นฐานประดิษฐานพระอิศวรจำลองลักษณะประทับยืนอยู่บนแท่นศิลาแลงขนาดกว้างด้านละ 1.2 เมตร สันนิษฐานว่าเครื่องบนหลังคาทำด้วยไม้และชำรุดหักหายไป.เทวรูปพระอิศวรสำริด ขนาดสูง 210 เซนติเมตร ลักษณะประทับยืนมี 1 เศียร 2 กร พระพักตร์รูปเหลี่ยม พระขนงเชื่อมต่อกันเหนือสันพระนาสิก พระโอษฐ์เม้มเป็นเส้นตรง ทรงไว้พระทาฐิกะ (เครา) เป็นรูปสามเหลี่ยม กลางพระนลาฏมีพระเนตรที่สาม สวมกระบังหน้า เกล้าพระเกศารูปทรงกระบอกปรากฏอุณาโลม ประดับกุณฑลที่พระกรรณ ด้านข้างพระเศียรมีกรรเจียก สวมกรองศอที่ประดับลายประจำยามและมีพวงอุบะขนาดเล็กห้อยตกลงมา ส่วนองค์ท่อนบนคล้องสายยัชโญปวีตและสวมพาหุรัดในรูปของนาค สวมทองพระกร ทองพระบาท พระธำมรงค์ทุกนิ้ว ทรงภูษาโจงกระเบนสั้นจีบเป็นริ้ว คาดทับด้วยเข็มขัดที่ประดับด้วยพวงอุบะขนาดเล็ก และชักขอบผ้านุ่งด้านบนให้แผ่ออกเป็นรูปสามเหลี่ยมมีชายผ้าห้อยตกลงมาทางด้านหน้า รอบฐานเทวรูปปรากฏจารึกอักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ระบุปีพุทธศักราช 2053 มีข้อความว่า..“ศักราช 1432 (ปี) มะเมียนักษัตร อาทิตย พารเดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ ได้หัสตฤกษ์ เพลารุ่งแล้ว 2 นาฬิกา จึงเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ประดิษฐานพระอิศวรเป็นเจ้านี้ไว้ ให้ครองสัตว์สี่ตีนสองตีนในเมืองกำแพงเพชรแลช่วยเลิกศาสนา พุทธศาสตร์แลไสยศาสตร์แลพระเทพกรรมมิให้หม่นให้หมองให้ เป็นอันหนึ่งอันเดียว แลซ่อมแปลงพระมหาธาตุแลวัดบริพารในเมืองนอกเมือง และที่แดนเหย้าเรือนถนนทลาอัน เป็นตรธานไปเถิงบางพานขุดแม่ไตรบางพร้อ อนึ่งแต่ก่อนย่อมขายวัวไปแก่ละว้า อันจะให้ขายดุจก่อนนั้นก็ห้ามมิให้ขาย อนึ่งเมื่อทำนาไซร้ ย่อมข้าวพืชข้าวในนานั้นปลูกเอง มิได้เอาข้าวในยุ้งไปหว่านไปดำดังทั้งหลาย อนึ่งท่อปู่พระยาร่วงทำเอาน้ำไปเถิงบางพานนั้น ก็ถมหายสิ้นและเขาย่อมทำนาทางฟ้า และหาท่อนั้นพบ กระทำท่อเอาน้ำเข้าไปเลี้ยงนา ให้เป็นนาเหมืองนาฝาย มิได้เป็นทางฟ้า อันทำทั้งนี้ ถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จบพิตรพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ฯ”. โดยสมเด็จบพิตรพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์นั้น สันนิษฐานว่าหมายถึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ผู้เสวยราชสมบัติเมืองอยุธยาสมัยนั้นพระองค์หนึ่ง (ครองราชย์ พ.ศ. 2034 - 2072) และพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนหน้านี้ คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (ครองราชย์ พ.ศ. 2031 - 2034) เนื่องจากพระอาทิตยวงศ์ พระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ผู้ที่ได้รับการสถาปนาเป็นอุปราชครองเมืองพิษณุโลก และขึ้นครองราชสมบัติพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 หน่อพุทธางกูร ในเวลาต่อมา (ครองราชย์ พ.ศ. 2072 - 2076) หากพิจารณาตามพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์กล่าวว่า พระอาทิตยวงศ์เสด็จฯไปครองเมืองพิษณุโลกใน พ.ศ. 2069 อันเป็นเหตุการณ์ภายหลังปี พ.ศ. 2053 ที่ปรากฏบนฐานเทวรูปพระอิศวร.เมื่อ พ.ศ. 2426 เทวรูปพระอิศวรถูกลักลอบตัดพระเศียรและพระกรทั้งสองข้างโดยชาวเยอรมันชื่อนายรัสมันต์ (J.E. Rastmann) เพื่อนำออกนอกประเทศ แต่กงสุลเยอรมันไม่เห็นชอบด้วยจึงอายัดไว้ พร้อมทั้งแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบ หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงมีรับสั่งให้พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ อธิบดีกรมช่างสิบหมู่ นำพระเศียรและพระกรเชื่อมติดกับองค์เทวรูปดังเดิม เมื่อมีการจัดตั้งมิวเซียมหลวงในบริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล ได้อัญเชิญเทวรูปพระอิศวรมาประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ต่อมามีการย้ายองค์เทวรูปไปจัดแสดงในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และในปี พ.ศ. 2514 จึงอัญเชิญมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกำแพงเพชร..นอกจากนี้ยังพบเทวรูปบุคคลสำริดสันนิษฐานว่าเป็นพระนารายณ์ คงเหลือส่วนท่อนองค์ ขนาดสูง 65 เซนติเมตร ลักษณะเครื่องทรงมีกรองศอประดับด้วยลวดลายเครือเถา ดอกไม้ก้านขด บริเวณพระอุระประดับทับทรวงตกแต่งด้วยลายดอกกลมในกรอบลายประจำยามล้อมรอบด้วยแนวไข่ปลา ต้นพระกรทั้งสี่สวมพาหุรัดที่ประดับลายดอกกลมสลับลายดอกไม้สี่กลีบ พระภูษาทรงหรือผ้านุ่งส่วนชายพกทำเป็นจีบพลิ้วไหว ลักษณะลวดลายที่ปรากฏบนเครื่องทรงสามารถเทียบเคียงได้กับลวดลายบนเครื่องทรงเทวรูปพระอิศวร .เทวสตรีสำริด ลักษณะพระเศียรและพระกรทั้งสองข้างหักหายไป ส่วนองค์ท่อนบนเปลือย สวมกรองศอที่มีพวงอุบะขนาดเล็กห้อยอยู่โดยรอบ ต้นพระกรทั้งสองข้างสวมพาหุรัดที่ตกแต่งด้วยลายรักร้อย ทรงนุ่งผ้ายาวกรอมพระบาท ชายผ้าที่ห้อยตกลงมาทางด้านหน้าถูกตกแต่งด้วยลายดอกไม้ ขอบผ้านุ่งบริเวณพระโสณีเว้าลงมาค่อนข้างต่ำ คาดทับด้วยเข็มขัดมีอุบะขนาดเล็กห้อยประดับ และชักชายพกออกมาคลุมพระโสณีทั้งสองข้าง พระบาทหักหายไป ลวดลายบนเครื่องทรงเทวสตรี เช่น ลายประจำยาม ลายดอกไม้กลม ลายรักร้อย นั้นเป็นลวดลายลักษณะที่ประดับบนประติมากรรมรูปช้างที่เจดีย์ประธานวัดช้างรอบ เมืองกำแพงเพชร ซึ่งประติมากรรมรูปช้างดังกล่าวมีการประดับสร้อยคอลักษณะคล้ายกับลายที่ปรากฏบนชายผ้านุ่งของเทวรูปพระอิศวร..การสถาปนาเทวรูปพระอิศวรและเทพในศาสนาฮินดูไว้กลางเมืองนั้น แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้เจ้าเมืองและชาวเมืองกำแพงเพชรจะนับถือพุทธศาสนาเป็นหลัก แต่ก็มีการอุปถัมภ์ศาสนาฮินดู ด้วยเหตุว่าพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพระราชพิธีต่างๆให้กับราชสำนัก และเป็นผู้รักษาคัมภีร์ธรรมศาสตร์ที่ใช้ในการปกครองบ้านเมือง...เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. (2550). ศัพทานุกรมโบราณคดี. สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม.กรรมการหอสมุดวชิรญาณ. (2450). พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์. โรงพิมพ์ไทย.จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2547). เสด็จประพาสต้น ร.ศ. 125. สำนักราชเลขาธิการ.ผาสุข อินทราวุธ. (2524). รูปเคารพในศาสนาฮินดู (พิมพ์ครั้งที่ 2). มหาวิทยาลัยศิลปากร. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร. (2557). นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร. สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย กรมศิลปากร.มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. (2554). นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา.สามเพชร. (2547). รายงานการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์ศาลพระอิศวร. [เอกสารอัดสำเนา].สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2554). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา.สำนักหอสมุดแห่งชาติ. (2548). ประชุมจารึก ภาคที่ 8 จารึกสุโขทัย. กรมศิลปากร.อนันต์ ชูโชติ, ธาดา สังข์ทอง และนารีรัตน์ ปรีชาพีชคุปต์. (2561). นำชมอุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร (พิมพ์ครั้งที่ 4). สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย.อมรา ศรีสุชาติ. (2557). ของชิ้นเอกในกรมศิลปากร : นัยสำคัญจากเทวรูปพระอีศวรเมืองกำแพงเพชร. ศิลปากร 57(5), 96-107.


ชื่อเรื่อง                    สพ.ส.85 วิธีปลูกบ้านและตำรายาประเภทวัสดุ/มีเดีย       สมุดไทยขาวISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                  โหราศาสตร์ลักษณะวัสดุ              143; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง                    โหราศาสตร์                  ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   ประวัติวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์  อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 15 ส.ค..2538



ชื่อเรื่อง                     ชุมนุมพระนิพนธ์และนิทานโบราณคดี (บางเรื่อง) และ ประเพณีทำบุญผู้แต่ง                       สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้แต่งเพิ่ม                  กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   รวมเรื่องทั่วไปเลขหมู่                      089.95911 ด495ชผสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กรมมหาดไทยปีที่พิมพ์                    2504ลักษณะวัสดุ               100 หน้า หัวเรื่อง                     รวมเรื่อง                              พิธีทางศาสนาและพิธีกรรมภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกรวมเรื่องลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ การอำนวยพร และเรื่องโจรแปลกประหลาด และประเพณีทำบุญ รวมในเล่มเดียวกัน  


องค์ความรู้ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี เรื่อง แหล่งโบราณคดีเมืองงิ้ว ผู้เรียบเรียง : นายอภิรัตน์ บุตรวงษ์ นักศึกษาฝึกประสบการณ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้ควบคุมงาน: นายกฤษณพงศ์ พูนสวัสดิ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี


#เอื้องแซะ ดอกไม้สูงค่าแห่งล้านนาเอื้องแซะ ชื่อเต็มคือ เอื้องแซะหลวง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dendrobium scabrilingue Lindl. เป็นกล้วยไม้ชนิดที่เกาะอาศัยอยู่บนต้นไม้ชนิดหนึ่ง ขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 2,000-3,000 ฟุต ในเขตดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเทือกเขาตะนาวศรีเรื่อยไปจนเหนือสุดของประเทศไทย ดอกมีขนาด 1.5 นิ้ว ออกเป็นช่อตามข้อปลายยอด ช่อหนึ่งจะมี 1-3 ดอก และมีกลิ่นหอม กล่าวกันว่ากลิ่นหอมของดอกเอื้องแซะนั้น แม้ได้กลิ่นเพียงชั่วขณะหนึ่ง ก็ติดตรึงใจไปแสนนาน โดยจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม สตรีชาวเหนือนิยมนำดอกไม้สดหรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมมาประดับผม เช่น ดอกสะบันงา ดอกพุทธหลวง ดอกมะลิ รวมถึงดอกเอื้องแซะด้วย โดยนิยมปลูกเอื้องแซะใส่กระถางแขวนไว้ตามชายคาบ้าน และเชื่อกันว่าถ้าเอื้องแซะบ้านใดออกดอกในเดือนเมษายน ลูกสาวบ้านนั้นจะพบความรักนอกจากนี้ยังมีตำนานเกี่ยวกับการถวายดอกเอื้องแซะเป็นเครื่องบรรณาการ มีการบันทึกไว้ว่า ในสมัยที่พระเจ้าอินทวิชยานนท์เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. 2413 – 2439) ดอกเอื้องแซะถือเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการ โดยชาวลัวะที่อาศัยในดินแดนแถบเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน ได้ส่งมาถวายให้เจ้ามหาชีวิตหรือกษัตริย์ผู้ครองนครล้านนา เนื่องจากเป็นดอกไม้ป่าหายาก พบในพื้นที่สูง และมีกลิ่นหอมนาน เป็นของสูงสำหรับเจ้านายและเป็นดอกไม้พุทธบูชา จึงนับเป็นของสูงค่าจากผืนป่าสู่คุ้มหลวงแลหอคำ จนมีคำกล่าวว่า “เอื้องแซะ ของสูงค่า คนต่ำใต้ลุ่มฟ้าอย่าหมายได้ชมเชย” ในโคลงนิราศระยะทางเมืองนครเชียงใหม่ ประพันธ์โดยพระยาราชสัมภารากร (เลื่อน สุรนันท์) ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงสามหัวเมือง ประจำเมืองเชียงใหม่ ในปีพ.ศ. 2426-2427 ได้บรรยายถึงการเดินทางไปราชการจากกรุงเทพถึงเชียงใหม่ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้พบเห็นขณะพำนักอยู่เมืองเชียงใหม่ ในตอนหนึ่งได้กล่าวถึงประเพณีของชาวลัวะในการถวายดอกเอื้องแซะให้กับเจ้าเมืองเชียงใหม่ด้วย ถือกันว่าผู้ใดได้ทัดเหน็บดอกเอื้องแซะ ผู้นั้นจะมีอายุยืนนาน ชาวลัวะจึงนิยมถวายแก่เจ้าเมือง และยึดเป็นประเพณีสืบมาเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสมณฑลพายัพ เมื่อ พ.ศ. 2469 ก็มีบันทึกกล่าวถึงชาวลัวะที่เข้าเฝ้านำดอกเอื้องแซะมาถวายเป็นบรรณาการ ปรากฏในจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนิรเลียบมณฑลฝ่ายเหนือพระพุทธศักราช 2469 นอกจากดอกเอื้องแซะจะเป็นเครื่องบรรณาการแก่เจ้าเมืองเชียงใหม่แล้ว ยังเป็นเครื่องบรรณาการของ “ล้านนา” เพื่อมอบให้แก่“กรุงรัตนโกสินทร์” อีกด้วย ดอกเอื้องแซะจึงนับเป็นดอกไม้สูงค่าที่ใช้เป็นเครื่องสักการะชั้นสูงเพื่อแสดงถึงความเคารพและจงรักภักดี แม้ปัจจุบันจะไม่มีการถวายเครื่องบรรณาการแล้ว ดอกเอื้องแซะก็ยังคงเป็นดอกไม้ที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และถูกนำมาใช้เป็นลายผ้าอัตลักษณ์ ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ชื่อว่า “ลายเอื้องแซะ ราชินีกล้วยไม้หอมแห่งเมืองสามหมอก” เรียบเรียงโดย นางสาวพิมพา สุธัญญาวัชชัย บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่บรรณานุกรมจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนิรเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ พระพุทธศักราช 2469.  พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2474.ฐาปกรณ์ เครือระยา.  “ดอกเอื้องในพิธีกรรม ความเชื่อและวัฒนธรรมล้านนา” วารสารวิจิตรศิลป์. 11,2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2563): 177-206.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2564, จาก: https://so02.tci-thaijo.org/.../down.../205401/166394/866314ราชสัมภารากร (เลื่อน สุรนันท์), พระยา.  โคลงนิราศระยะทางเมืองนครเชียงใหม่.  เชียงใหม่: สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2543. สุมาลี ทองดอนแอ.  เอื้องแซะหลวง.  [ออนไลน์].  สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2565, จาก: https://www.doa.go.th/pvp/wp-content/uploads/2020/11/เอื้องแซะหลวง1.pdf“เอื้องแซะ.”  สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ.  15 (2542): 8087.#บรรณารักษ์ชวนรู้สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร


ชื่อเรื่อง :  Bangkok in colourผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ                                                                                                                                                                                  ปีที่พิมพ์ : ๑๙๗๐สถานที่พิมพ์ :  Bangkok  สำนักพิมพ์ :  Soma Nimitจำนวนหน้า : ๕๖ หน้าเนื้อหา : หนังสือ Bangkok in colour จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Soma Nimit ตีพิมพ์เมื่อ คริสตศักราช ๑๙๗๐ เป็นหนังสือสมุดภาพสี พร้อมคำบรรยายภาษาอังกฤษ อธิบายเกี่ยวกับสถานที่สำคัญต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทยเช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง พระบรมรูปทรงม้า วัดเบญจมบพิตรสถิตมหาสีมาราม อนุสาวรีย์พระบามสมเด็จสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม ขบวนพระยุหมาตราชลมารค ตลาดน้ำ การแสดงนาฏศิลป์ไทย มวยไทย การทำบุญตักบาตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ป้อมมหากาฬ ถนนเยาวราช สถานเสาวภา วัดบวรนิเวศวิหาร ถนนสุริวงศ์ วัดราชบูรณะ โรงละครแห่งชาติ โรงแรมดุสิตธานี เป็นต้นเลขทะเบียนหนังสือหายาก : ๔๒๗เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : E-book_๒๕๖๗_๐๐๐๓หมายเหตุ : โครงการจัดเก็บและอนุรักษ์หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และเอกสารโบราณ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗


นิทรรศการ “พระเมตตาแผ่ไพศาล ในหลวง เสด็จพระราชดำเนิน กาญจนบุรี” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบจัดทำโดย นางสาวอัญชลี จินดามณี บรรณารักษ์ปฏิบัติการ แหล่งข้อมูล- หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี- สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี. สมุดบันทึกภาพ ชุด จำหลักไว้ในกมล ชนชาวกาญจน์. [ม.ป.ท.]: [ม.ป.พ.], 2559.- สมาคมชาวกาญจนบุรี. ฉลองปีกาญจนาภิเษก ในหลวงของเรา เสด็จฯ จังหวัดกาญจนบุรี. กรุงเทพฯ: พิมพ์พรรณการพิมพ์, 2539.




ชื่อเรื่อง : การประชุมระหว่างประเทศ : การประชุมในทางการทูต หัวเรื่อง : การทูต -- การประชุม             การประชุม             ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ -- การประชุม คำค้น : การประชุมระหว่างประเทศ รายละเอียด : - ผู้แต่ง : ไพโรจน์ ชัยนาม แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี หน่วยงานที่รับผิดชอบ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีที่พิมพ์ : 2518 วันที่เผยแพร่ : 5 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : - ลิขสิทธิ์ : - รูปแบบ : PDF ภาษา : ภาษาไทย ประเภททรัพยากร : หนังสือหายาก ตัวบ่งชี้ : - รายละเอียดเนื้อหา : หนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับการประชุมระหว่างประเทศโดยลักษณะทั่วไป รวมถึงการประชุมจัดทำประมวลกฎหมายระหว่างประเทศที่องค์กรสหประชาชาติดำเนินการให้มีขึ้น เลขทะเบียน : น. 32 บ. 3665 จบ. เลขหมู่ : 341.33            พ992ก


ชื่อผู้แต่ง / ผู้คัดลอก      - ชื่อเรื่อง                        พระปาติโมกข์ ครั้งที่พิมพ์                    - สถานที่พิมพ์                 - สำนักพิมพ์                    - ปีที่แต่ง / คัดลอก          - จำนวนหน้า                  ๑๑๖ หน้า ทะเบียนเอกสารโบราณ    สข.บข.๐๓๖ หมายเหตุ                    หนังสือสบุดขาว อักษรขอม ภาษาบาลี เส้นหมึก                                  พระวินัยสงฆ์ (ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ) ประกอบด้วย ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ และเสขิยวัตร ๘๒ พระสงฆ์สวดทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม๑๕ ค่ำ ในเดือนเต็ม และแรม ๑๔ ค่ำ ในเดือนขาด




black ribbon.