ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,749 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.332/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 132 (343-358) ผูก 7 (2565)หัวเรื่อง : ปาลิวารปาลี (บาลีบริวาร)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
“ที่เราเปรียบผู้ชายเหมือนกระต่าย ผู้หญิงเหมือนพระจันทร์นั้นเป็นของมาทางต่างประเทศ เราละเมอกันด้วยฤทธิ์ซึมซาบ ที่แท้เราเห็นด่างในดวงพระจันทร์เป็นรูปยายกะตาตำข้าวต่างหาก” จากพระวินิจฉัยหัวข้อ ‘สังเกต’ ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ในจดหมายเวรฉบับวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๔๘๕ นำมาซึ่งคอนเทนต์ประจำวันนี้ ด้วยวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๔ ตรงกับวันพระ และเป็นวันไหว้พระจันทร์ของคนจีน เพจคลังกลางฯ จึงใช้โอกาสนี้ นำเสนอเรื่องกระต่ายในดวงจันทร์ ที่มาของคำ คติ ตำนานของแต่ละวัฒนธรรม ตลอดจนงานศิลปกรรมที่ปรากฏในรูปแบบต่าง ๆ
คำว่า “กระต่าย” สันนิษฐานว่ามีรากศัพท์มาจากคำว่า “กะต้าย” ในภาษามอญ หมายถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง หูและขนยาว อาศัยอยู่ตามโพรงดิน ส่วนภาษาเขมรจะออกเสียงว่า ថោះ (เถาะฮ์) คำเดียวกับที่หมายถึงปีนักษัตรลำดับที่ ๔ ของไทย ส่วนความสัมพันธ์ของดวงจันทร์กับกระต่าย สามารถพบได้ในหลายชนชาติ โดยพิจารณาร่องหลุมบนดวงจันทร์แล้วจินตนาการว่ามีกระต่ายอาศัยอยู่บนนั้น อย่างทางจีนมีปกรณัมเล่าเรื่องว่ากระต่ายเป็นบริวารรับใช้เซียน ทำหน้าที่ปรุงยาอายุวัฒนะ เป็นสัตว์เลี้ยงของ “ฉางเอ๋อ” เทพีดวงจันทร์ หรือมีกระต่ายตำข้าวอยู่บนดวงจันทร์ เช่นเดียวกับทางเกาหลี - ญี่ปุ่น ที่เชื่อว่ามีกระต่ายถือสากยักษ์ตำแป้งอยู่บนดวงจันทร์ นอกจากนี้ ยังมีปกรณัมของฮินดูที่ระบุว่า ‘พระจันทร์’ เป็นเทพผู้ถือกระต่ายไว้ในพระหัตถ์ รวมถึงกระต่ายในภาษาสันสกฤตใช้คำว่า “ศศะ” จึงเป็นที่มาของคำเรียกดวงจันทร์ว่า “ศศินฺ” (แปลว่า ซึ่งมีกระต่าย) ส่วนความเชื่อของคนไทย มีหลักฐานที่ถูกตีความออกมาในงานศิลปกรรมชิ้นสำคัญคือ พระจันทร์ทรงราชรถเทียมม้าบนพื้นหลังสีเงินยวง ประดิษฐานบนหน้าบันด้านทิศตะวันตก (ถนนตีทอง) ของวัดสุทัศนเทพวรารามฯ
ความเปลี่ยนแปลงด้านรูปแบบศิลปกรรมเกิดขึ้นอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ ๗ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ระบุไว้ในจดหมายเวรฉบับวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๗๐ ว่าได้ทรงออกแบบธงประจำกองลูกเสือแต่ละมณฑล โดย “...ธงพระจันทร์มีรูปกะต่าย ประจำกองลูกเสือมณฑลจันทบุรี...” ลักษณะพื้นธงสีไพล กลางธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมสีม่วง มีรูปกระต่ายในดวงจันทร์สีไพล อันหมายถึงเมืองสำคัญของมณฑลนี้ คือ เมืองจันทบุรี จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ‘กระต่ายในดวงจันทร์’ ก็ยังคงถูกใช้เป็นตราประจำจังหวัดจันทบุรี ดังที่ระบุว่า กระต่ายเป็นส่วนหนึ่งของดวงจันทร์ เปรียบดั่งนามจันทบุรีอยู่คู่กรุงศรีอยุธยามาแต่แรกสถาปนานั่นเอง
นอกจากนี้ “กระต่าย” ยังหมายถึง เครื่องมือสำหรับขูดมะพร้าวที่ยังไม่ได้กะเทาะกะลา หรือที่รู้จักกันในชื่อ ..กระต่ายขูดมะพร้าว.. จึงขอยกเกร็ดความรู้ที่เกี่ยวข้องมานำเสนอ โดยเรื่องราวนี้ปรากฏในจดหมายเวรของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงไปได้ยินเรื่องของคุณมนตรีกับนายศรีแก้วว่า “...วันหนึ่งคุณมนตรีจะแกงไก่... เมื่อได้ลูกมะพร้าวมาเรียบร้อยแล้วคุณมนตรีก็สั่ง... “อ้ายศรีแก้ว ไปหากระต่ายมาตัวไป๊” ...พอดีไปพบหญิงมลายูคนหนึ่งซึ่งเขาเคยมาอยู่กรุงเทพฯ เขาซักว่าท่านจะต้องการกระต่ายนั้นท่านทำอะไรอยู่ นายศรีแก้วก็บอกว่าท่านจะแกงไก่ หญิงมลายูคนนั้นก็ว่า “อา ไม่ใช่ร้อก เล่กคู้ด เล่กคู้ด” นายศรีแก้วก็เข้าใจ เอาเหล็กขูดมะพร้าวมาให้คุณมนตรีก็เป็นที่เรียบร้อย แล้วยังได้ทราบต่อไปว่าทางพายัพเขาเรียกว่า “แมว” ...” ซึ่งคำว่าแมวในที่นี้ นอกจากจะหมายถึงเหล็กขูดมะพร้าวของชาวเหนือแล้ว “แมว” ยังถูกใช้แทนนักษัตรปีเถาะในบางวัฒนธรรมอย่างประเทศเวียดนาม (แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีกระต่ายอาศัยอยู่ก็ตาม)
ก่อนจะจากกันไปขอส่งท้ายด้วยผลสรุปทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ “ร่องจันทรสมุทร” (Lunar mare) อันเป็นลวดลายที่มนุษย์มองว่าคล้ายกระต่ายนั้น นักดาราศาสตร์ได้อธิบายไว้ว่าเมื่ออุกกาบาตพุ่งชนดวงจันทร์จนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่จำนวนมาก จากนั้นลาวาได้เข้าท่วมจนเกิดเป็นพื้นที่สีทึบเรียกว่า มาเร (mare) ส่วนพื้นที่ที่อยู่สูงกว่า บริเวณนั้นจะมีสีจางกว่า เรียกว่า ที่สูงดวงจันทร์ (Lunar highland) จึงอาจกล่าวได้ว่าแท้จริงแล้ว “กระต่ายเป็นทะเล... ไม่ใช่เขา”
เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / ภาพโดย กิตติยา เชื้อทอง นายช่างภาพปฏิบัติงาน / เทคนิคภาพโดย ณัฐดนัย อรุณมาศ ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ
ชื่อผู้แต่ พัฒนพงษ์ภักดี,หลวง
ชื่อเรื่อง โคลงกระทู้สุภาษิต
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ ม.ป.ท.
สำนักพิมพ์ ม.ป.พ.
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๗
จำนวนหน้า ๗๔ หน้า
หมายเหตุ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางบุญนาค ถนัดบัญชี ณ เมรุวัดจักรวรรดิราชาวาส ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๗
หนังสือเล่มนี้เป็นโคลงกระทู้สุภาษิต ของหลวงพัฒนพงษ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) ซึ่งโคลงตอนต้นมาจากคำกล่าวของเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงเกี่ยวกับเรื่อง ปัญญา และกรรม จึงผูกโคลงต่อเป็นสุภาษิตตามรูปแบบของโคลงกระทู้ ถือเป็นคติธรรมแก่สาธารณชนทั่วไป
ชื่อผู้แต่ง กิตฺติวุฑฺโฒ ภิกฺขุ
ชื่อเรื่อง ตายแล้วไปไหน
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์อักษรสมัย
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๕
จำนวนหน้า ๑๓๓ หน้า
ตายแล้วไปไหน เป็นหนังสือที่พิมพ์เพื่อหาทุนเข้ามูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย เป็นหนังสือที่เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องความตาย เพื่อจะคลี่คลายปัญหาว่า “ตายแล้วไปไหน” ประกอบด้วยเรื่อง ทางชีวิต ปัญหาที่ไม่ทรงพยากรณ์ ความตายคืออะไร ตายแท้ นรก สวรรค์ เป็นต้น
ปราสาทบ้านโนนงิ้ว บ้านโนนงิ้ว หมู่ 3 ตำบลอุดมทรัพย์ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
#ปราสาทบ้านโนนงิ้ว เป็นร่องรอยของอาคารศาสนสถานที่สร้างขึ้นตามคติและรูปแบบการก่อสร้างเนื่องในวัฒนธรรมเขมร ก่อสร้างด้วยศิลาแลง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18
#ร่องรอยของปราสาทโนนงิ้ว ปรากฏให้เห็นเฉพาะส่วนฐานของสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเป็นส่วนฐานของสถาปัตยกรรมในรูปแบบปราสาท ก่อสร้างด้วยด้วยศิลาแลงเป็นวัสดุหลัก แผนผังที่ปรากฏพบเป็นแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 8 x 8 เมตร ตั้งอยู่ที่ตำแหน่งกลางเนินดินเนินดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางตัวในแนวยาวตามแกนทิศตะวันออก – ทิศตะวันตก ขนาดกว้าง ๒๕ เมตร ยาว 45 เมตร สูงจากพื้นดินโดยรอบประมาณ 2-3 เมตร ส่วนฐานของปราสาทที่พบนี้ก่อวางเรียงด้วยศิลาแลงเป็นกรอบ 2-3 ชั้น สูงจากพื้นดินประมาณ 40-60 เซนติเมตร
พื้นที่ภายในของส่วนฐานมีร่องรอยหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการลักลอบขุดหาโบราณวัตถุ เหนือจากส่วนฐานขึ้นไปซึ่งตามรูปแบบแล้วจะเป็นส่วนเรือนธาตุและชั้นยอดของปราสาท ซึ่งพังทลายลงหมดแล้วและไม่พบศิลาแลงหรือหินทรายที่เป็นส่วนประกอบของทางสถาปัตยกรรมของส่วนเรือนธาตุและชั้นยอดปราสาทหลงเหลืออยู่ในพื้นที่เลย บริเวณพื้นที่รอบเนินดินปรากฏร่องรอยของแนวคูน้ำที่ล้อมรอบปราสาท ปัจจุบันตื้นเขินหมดแล้ว แต่สังเกตเห็นร่องรอยคูน้ำได้ในด้านทิศใต้
#สภาพปัจจุบัน ปราสาทโนนงิ้ว เป็นเนินดินสูง มีต้นไม้ขนาดกลางและขนาดเล็กขึ้นปกคลุมทั่วบริเวณ พื้นที่โดยรอบเนินดินด้านทิศเหนือและด้านทิศตะวันออกมีการไถปรับพื้นที่เพื่อปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง ส่วนทางด้านทิศใต้และด้านทิศตะวันตกมีการสร้างบ้านที่อยู่อาศัยใกล้กับส่วนฐานของปราสาท และทางด้านทิศตะวันตกนั้น มีการก่อสร้างศาลาขนาดเล็ก 1 หลัง เป็นอาคารโล่งหลังคามุงกระเบื้อง ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูป 1 องค์ ที่สร้างจากปูน รูปแบบศิลปะพื้นบ้าน และด้านนอกศาลาประดิษฐานพระพุทธรูป 1 องค์ ซึ่งสร้างจากปูน รูปแบบศิลปะพื้นบ้านเช่นกัน ปัจจุบัน ในบางโอกาส ชาวบ้านในพื้นที่มีการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่ออยู่บ้าง แต่ไม่ได้ร่วมดูแลรักษาทำความสะอาดพื้นที่โบราณสถาน ทำให้สภาพของโบราณสถานดูแล้วค่อนข้างรก มีวัชพืชขึ้นปกคลุมค่อนข้างมาก
บริเวณใกล้เคียงกัน ยังพบ ปราสาทบ้านโนนเหลื่อม (ปราสาทหนองหอย) ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ปราสาทบ้านโนนงิ้ว ระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร
ข้อมูลโดย นายนภสินธุ์ บุญล้อม นักโบราณคดีชำนาญการ
ศิลปะธนบุรี ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว)
เดิมอยู่ในหอทะเบียนพลแต่โบราณ กระทรวงกลาโหม ส่งมา
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องศัสตราวุธ พระที่นั่งบูรพาภิมุข พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ประติมากรรมพระสุรัสวดี เทวดาผู้รักษากรมพระสุรัสวดี เดิมอยู่ในหอทะเบียนพลแต่โบราณ สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสมัยกรุงธนบุรี กระทรวงกลาโหมมอบให้พิพิธภัณฑสถาน โดยหอทะเบียนพล หรือที่เรียกว่า “ศาลาสารบาญชี” เป็นอาคารสำหรับเก็บบัญชีสมุดทะเบียนพลเมือง ที่บันทึกจำนวนเลกไพร่หลวง ไพร่ราบ ไพร่สม พันทนาย ขุนหมื่นต่างๆ อยู่ในความดูแลของกรมพระสุรัสวดี สำหรับหอทะเบียนพลของกรุงเทพฯ เดิมตั้งอยู่ใกล้ศาลหลักเมือง และรื้อลงในต้นรัชกาลที่ ๕
กรมพระสุรัสวดี ปรากฏมาแต่ครั้งรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา มีหน้าที่บันทึกทะเบียนไพร่พลและเตรียมกำลังพลสำหรับยามศึกสงคราม รวมทั้งลงทะเบียนคนเกิดและจำหน่ายทะเบียนเมื่อมีคนตาย คติแบบแผนนี้สืบทอดมาจนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๙ โปรดให้ย้ายกรมสุรัสวดีจากเดิมที่ขึ้นกับกระทรวงเมือง มาขึ้นกับกระทรวงกลาโหม ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๔๑ ได้เปลี่ยนชื่อ “กรมสุรัสวดี” เป็น “กรมสัสดี”
เสมา หรือ สีมา เป็นภาษาบาลี หมายถึง เขต ตามคัมภีร์พระพุทธศาสนา (พระวินัยปิฎก มหาวรรค ปฐมภาค อุโบสถขันธกะ และคัมภีร์สมันตปาสาทิกา) ได้กล่าวว่าพระพุทธองค์ให้สงฆ์กำหนดแนวเขตเพื่อทำสังฆกรรมร่วมกันอย่างน้อย 3 ตำแหน่ง ให้สามารถล้อมเป็นวงรอบพื้นที่ได้ โดยใช้นิมิต 8 อย่าง ได้แก่ ภูเขา หิน ป่า ต้นไม้ หนทาง จอมปลวก แม่น้ำ และน้ำที่ขัง คติการปักใบเสมาในพุทธศาสนาจึงเป็นเสมือนการกำหนดขอบเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้ในการทำพิธีกรรมทางศาสนา
การปักใบเสมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จากประเพณีการปักหินตั้ง(Megalith) ซึ่งเป็นการปักหลักหินตามเนินดิน ไม่มีจำนวนและทิศทางการปักที่แน่นอนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความตาย การนับถือผีหรือไหว้ผีบรรพบุรุษ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีการรับพุทธศาสนาเข้ามาจึงเกิดการสืบทอดประเพณีการปักหลักหินเพื่อใช้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ผสมผสานความเชื่อท้องถิ่นกับความเชื่อด้านพุทธศาสนา ทำให้การปักหินตั้งเปลี่ยนไปเป็นการปักใบเสมา
ลักษณะใบเสมาที่พบบนภูพระบาทมีทั้ง แท่งสี่เหลี่ยม แปดเหลี่ยม มีส่วนยอดโค้งมนเป็นโดม และเป็นแผ่นแบนโดยที่ส่วนปลายยอดโค้งแหลมคล้ายกลีบบัว ทั้งนี้ใบเสมาที่พบบนภูพระบาทไม่พบว่ามีการแกะสลักลวดลายใด ๆ ส่วนรูปแบบการปักเสมาส่วนใหญ่ มักปักเพียงชั้นเดียวล้อมรอบเพิงหิน มีเพียงที่ลานหินหน้าวัดพ่อตา ที่ปักเสมาซ้อน 2 ชั้น ในผังสี่เหลี่ยมล้อมรอบลานหินโล่ง
ภูพระบาทนับเป็นสถานที่ซึ่งพุทธศาสนาผสมผสานกับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมยังคงอยู่ร่วมกัน จากการนำเอาหลักหินมาล้อมรอบเสาหินหรือเพิงหิน นอกจากเพื่อบอกเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระสงฆ์ ยังมีการดัดแปลงพื้นที่เพื่อประกอบศาสนกิจ ประดิษฐานพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อสักการบูชา และเป็นที่พักอาศัยของพระภิกษุอีกด้วย
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ขอเชิญชมนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ เรื่อง “จารึกศาลสูง : บันทึก ๑,๐๐๐ ปี เมืองลพบุรี" ณ หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี ตั้งแต่วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๕ – ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
“จารึกศาลสูง : บันทึก ๑,๐๐๐ ปี เมืองลพบุรี” นิทรรศการพิเศษในวาระครบรอบ ๑,๐๐๐ ปี ศักราชที่บันทึกเรื่องราวไว้บนจารึกศาลสูง ซึ่งถือเป็นจารึกหลักสำคัญที่พบ ณ ศาลสูง หรือ ศาลพระกาฬ โบราณสถานคู่บ้านของชาวลพบุรี โดยจารึกมีเนื้อความที่สะท้อนภาพวิถีชีวิตและความเชื่อของผู้คนเมื่อ ๑,๐๐๐ ปีที่แล้ว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จึงจัดนิทรรศการพิเศษเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาษาศาสตร์ ประวัติ และโบราณคดีให้กับผู้ที่สนใจได้รับรู้และตระหนักถึงมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของเมืองลพบุรี
ปัจจุบันจารึกศาลสูงหลักนี้จัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในโอกาสพิเศษครั้งนี้จึงได้ทำการจำลองจารึกศาลสูงขนาดเท่าจริง โดยใช้เทคโนโลยีการสแกนแบบ ๓ มิติ และพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ ๓ มิติ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศมรดกศิลปวัฒนธรรม กรมศิลปากร ในการดำเนินการจำลองจารึกศาลสูง เพื่อนำมาจัดแสดงในนิทรรศการ
นอกจากองค์ความรู้เกี่ยวกับจารึกศาลสูงในด้านต่าง ๆ แล้ว ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้ทดลองทำสำเนาจารึกศาลสูงอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามกำหนดการของกิจกรรมได้ทางเพจเฟสบุ๊ก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ : King Narai National Museumศาสตร์
สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมการเสวนาวิชาการ เรื่อง “จารึกศาลสูง : บันทึก ๑,๐๐๐ ปี เมืองลพบุรี” ซึ่งได้จัดขึ้นไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๕ สามารถรับชมย้อนหลังได้ตามที่ลิงก์ : https://fb.watch/f_eoSIiKMN/
เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๕ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชมนิทรรศการพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู รักษา สร้างสรรค์ ส่งเสริม สืบทอด และพัฒนามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของแผ่นดิน เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎร บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 36/2ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 131/2เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 167/1เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ประวัติศาลเจ้าปึงเถ่ากง น่าน (ตามที่จารึกไว้ภายในอาคารศาลเจ้า)---ชาวจีนโพ้นทะเลที่อาศัยทำมาหากินในจังหวัดน่าน ได้เริ่มต้นทำการก่อสร้างศาลเจ้าปึงเถ่ากงในปีพุทธศักราช ๒๔๔๖ เริ่มจากผู้มีจิตศรัทธาจำนวน ๕๖ ราย ตามประวัติของศาลที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว จัดหาที่ดินจำนวน ๑ งาน ๘๐ ตารางวา ก่อสร้างอาคารศาลเจ้าเป็นอาคารไม้ยกพื้นหลังคามุงกะสี รูปทรงอาคารเป็นไปตามยุคสมัยพื้นเมืองน่านในขณะนั้น ใช้เงินก่อสร้างทั้งสิ้น ๑,๖๕๕ บาท และได้อัญเชิญองค์ปึงเถ่ากงขึ้นประทับ รูปองค์ของท่านเป็นไม้หอมแกะสลักลงสีลวดลายได้งดงามยิ่งนักจวบจนปีพุทธศักราช ๒๔๘๕ ได้มีการปรับปรุงอาคารเป้นก่ออิฐถือปูน หลังคามุงสังกะสี และในปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ คณะกรรมการศาลเจ้าปึงเถ่ากง ได้นำที่ดิน และอาคารศาลเจ้าปึงเถ่ากงไปขึ้นทะเบียนศาลเจ้ากับกระทรวงมหาดไทย---ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ ได้มีการปรับปรุงอาคาร และเปลี่ยนหลังคามุงสังกะสีเป็นหลังคามุงกระเบื้อง จนปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ อาคารศาลเจ้าทรุดโทรมมาก คณะกรรมการศาลเจ้าปึงเถ่ากงจึงมีมติให้รื้อถอน และให้สร้างขึ้นใหม่ในสถานที่เดิมให้ถาวร สวยงามตามแบบจีน โดยทำการวางศิลาฤกษ์ ในวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๘ และทำการก่อสร้างเสร็จสิ้นใช้งบประมาณ ๑๐ ล้านบาท และได้เฉลิมฉลองอาคารศาลเจ้าปึงเถ่ากงหลังใหม่ในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ เมื่อศาลเจ้าปึงเถ่ากงน่านมีอายุครบ ๑๐๕ ปี---ภายในศาลเจ้าปึงเถ่ากง น่าน ประดิษฐานเทพเจ้าประจำศาลมากมายประกอบด้วย เทพเจ้าประธานคือ “องค์เจ้าพ่อปึงเถ่ากง” อยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่คอยรักษาคุ้มครองชาวจีนโพ้นทะเล ด้านทิศเหนือเป็น “เทพเจ้ากวนอู” เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ และด้านทิศใต้เป็น “ตี่จู่เอี้ย” หรือเทพเจ้าที่---ปึงเถ่ากง หรือปุนเถ่ากง หรือเปิ่นโถวกง ซึ่งหมายความว่าผู้เป็นใหญ่ หรือผู้นำในเขตนั้นๆ โดยเฉพาะในเขตที่ชาวจีนได้เข้ามาตั้งหลักแหล่ง เพื่อทำการค้าขายโดยเฉพาะบริเวณที่ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับตลาด ส่วนมากจะตั้งรูปเคารพของเทพปึงเถ่ากงไว้เป็นเทพประธานในศาลเจ้า ซึ่งมีความเชื่อว่าเพื่อช่วยรักษาคุ้มครอง ปกป้องภยันอันตราย และให้ความร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง---ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ของทุกปีทางศาลเจ้าจะจัดงานประจำปี ฉลอง อุปรากรจีน (งิ้ว) รวม ๑๐ คืน---เชิญชวนบริจาคบูรณะศาลเจ้าปุงเถ่ากง ในวาระครบ ๑๒๐ ปี ๑๐ รอบ (พ.ศ. ๒๔๔๖ - ๒๕๖๖) บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาน่าน ศาลเจ้าปึงเถ่ากง น่าน เลขบัญชี 114-2-26720-5---งานสมโภชปึงเถ่ากงน่านครบ ๑๒๐ ปี (พ.ศ.๒๔๔๖-๒๕๖๖) เชิญชวนสักการะองค์ปึงเถ่ากงพร้อมเทพต่างๆ วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ชมขบวนธง สิงโต มังกรทองนครสวรรค์