ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 36,755 รายการ

700 ปี ลายสือไทย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2526.          รวบรวมเนื้อหาการกำเนิดอักษาไทย องค์ประกอบของวิวัฒนาการ รูปแบบอักษรแบบแรกในแหลมอินโดจีน รูปแบบอักษรหลังปัลละ เอกลักษณ์ของรูปอักษร ภาษาไทยที่ปรากฎในจารึกครั้งแรก รูปอักษรพ่อขุนรามคำแหง (ลายสือไทย) รูปอักษรไทยสุโขทัย การแพร่ขยายอิทธิพลของอักษรไทยสุโขทัย รูปอักษรไทยอยุธยา รูปอักษรไทยรัตนโกสินทร์ การพัฒนาอักษา แบบอักษรสมัยต่างๆ เช่น อักษรปัลลวะ แบบอักษรขอม แบบอักษรมอญ แบบอักษรไทยสุโขทัย ไทยล้านนา ไทยอีสาน ไทยอยุธยา ตารางเปรียบเทียบแบบอักษรปัลลวะ ขอม มอญ ตารางเปรียบเทียบแบบอักษรไทย รูปพยัญชนะ และตารางเปรียบเทียบแบบอักษรไทยรูปสระและเลข


เสฐียร  พันธรังษี.  ละครในศาสนา.  พิมพ์ครั้งที่ ๑.  พระนคร : สำนักพิมพ์สาส์นสวรรค์,      ๒๕๐๖.  ๗๖๖ หน้า.      ผู้เขียนได้นำเรื่องธรรมมะส่วนสำคัญของศาสนานั้น ๆ มาเขียนให้เป็นบทละคร และเป็นความเรียงร้อยแก้ว และยังกล่าวถึงเรื่องของศาสนานั้นไว้โดยย่อ  เช่น เมื่อกล่าวถึงศาสนาพราหมณ์ ก็จะมีบทละคร เรื่องอาศรมบท กล่าวถึงศาสนายิว ก็มีบทละคร เรื่อง พระอำนาจ เป็นต้น







ชื่อเรื่อง                                ปฐมสมฺโพธิกถา (ปถมสมโพธิ์พุทธปูชา-ธาตุวิภชนปริวตฺต) สพ.บ.                                  352/11ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           46 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           พระพุทธเจ้า                                           วรรณกรรมพุทธศาสนา บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี       


         พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรชาวจังหวัดนครนายกหลายครั้งซึ่งทำให้เล็งเห็นปัญหาที่ประชาชนประสบในการขาดแคลนน้ำในการใช้สอยในฤดูแล้งตลอดจนปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก จึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริในการจัดการทรัพยากรน้ำ และมีการดำเนินการตลอดจนติดตามผลอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการสร้างอ่างเก็บน้ำจนถึงการสร้างฝาย          การแก้ปัญหาในระยะแรกไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจึงเกิดโครงการเขื่อนท่าด่านขึ้น เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ อนุมัติการก่อสร้างระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๔๐ - ๒๕๔๖ ในวงเงิน ๑๐,๑๙๓ ล้านบาท เริ่มดำเนินงานก่อสร้างในวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้วเสร็จในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗           ความเป็นมาของการสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชลตามลำดับเหตุการณ์และรายละเอียดดังนี้           ๑. วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรสภาพภูมิประเทศคลองท่าด่าน และพระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาสร้างฝายท่าด่าน           ๒. วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรความคืบหน้าการก่อสร้างฝายท่าด่าน และมีพระราชปฏิสันถารกับข้าราชการกรมชลประทานเกี่ยวกับการจัดสร้างระบบชลประทาน           ๓. พ.ศ. ๒๕๒๓ ฝายท่าด่านก่อสร้างแล้วเสร็จ           ๔. วันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานแนวพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาดำเนินการโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำคลองท่าด่าน จังหวัดนครนายก           ๕. พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๔๓ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๔ ปราจีนบุรี กรมศิลปากร ดำเนินงานทางด้านโบราณคดีีก่อนการสร้างเขื่อนคลองท่าด่าน            ๖. กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ กรมชลประทานดำเนินการสำรวจและออกแบบเขื่อนคลองท่าด่านแล้วเสร็จ            ๗. วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงวางศิลาฤกษ์เขื่อนคลองท่าด่าน โครงการเขื่อนคลองท่าด่าน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ            ๘. ตุลาคม ๒๕๔๗ งานก่อสร้างเขื่อนหลักและอาคารประกอบแล้วเสร็จสมบูรณ์ และเริ่มเก็บกักน้ำ            ๙. วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานนาม “เขื่อนขุนด่านปราการชล” หมายถึงเขื่อนซึ่งเป็นกำเเพงกั้นน้ำ          ๑๐. วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นามเดิม หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโครงการชลประทาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ๕ โครงการ ณ บริเวณท่าเรือกรมชลประทาน สามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร----------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครนายก พระบรมชนกชลพัฒน์


          ประติมากรรมดินเผารูปสิงห์ ขุนสุพรรณธานี อดีตนายอำเภออู่ทองมอบให้เมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๙ จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง          ประติมากรรมดินเผารูปสิงห์ ขนาดกว้าง ๘ เซนติเมตร สูง ๘.๓ เซนติเมตร สิงห์มีใบหน้ากลม มีคิ้วเป็นสันนูนต่อกันคล้ายปีกกา ดวงตากลมโต จมูกใหญ่ อ้าปากแยกเขี้ยวยิงฟัน มีแผงคอเป็นเม็ดกลมเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม อยู่ในท่านอนหมอบเอี้ยวตัว สองเท้าหน้ายื่นออกมาวางชิดกัน สองเท้าหลังวางพาดมาด้านหน้าลำตัวโดยขาซ้ายทับขาขวา ด้านหลังมีแนวสันหลังยกเป็นสันต่อด้วยหางยาวม้วนมาด้านหน้าสอดอยู่ใต้ขาหลัง มีการเจาะรูกลมสองรูบริเวณต้นขาหน้าด้านซ้าย และด้านหลังต้นขาหน้าด้านขวา แต่รูดังกล่าวไม่ได้เจาะทะลุถึงกัน ด้านล่างของประติมากรรมเป็นฐานกลม โค้งมนรองรับประติมากรรม ด้านในฐานกลวง สันนิษฐานว่าอาจเป็นส่วนฝาของภาชนะ ดังนั้นประติมากรรมรูปสิงห์ชิ้นนี้จึงอาจเป็นประติมากรรมประดับบนฝาภาชนะหรือเป็นส่วนจุกของฝาภาชนะดินเผาก็เป็นได้ กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว          ฝาภาชนะดินเผาสมัยทวารวดี พบทั้งฝาขนาดเล็กที่ขึ้นรูปด้วยมืออย่างหยาบ ๆ และฝาที่ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน ผลิตด้วยฝีมือประณีตและมีการตกแต่งอย่างงดงาม พบทั้งฝาที่มียอดเป็นปุ่มมนหรือแหลม และฝาที่มีประติมากรรมรูปสัตว์ประดับ นอกจากประติมากรรมรูปสิงห์ชิ้นนี้แล้ว ยังพบฝาภาชนะดินเผาที่มีรูปสิงห์ประดับที่เมืองโบราณซับจำปา จังหวัดลพบุรี จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี อีกด้วย          ประติมากรรมดินเผารูปสิงห์ชิ้นนี้ ผลิตขึ้นด้วยฝีมือประณีตและแสดงถึงอารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน สิงห์ถือเป็นสัตว์มงคลที่พบมากในงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี ซึ่งพบทั้งบนตราดินเผา ประติมากรรมดินเผา และประติมากรรมปูนปั้นประดับศาสนสถาน จึงสันนิษฐานได้ว่า ประติมากรรมชิ้นนี้น่าจะเป็นประติมากรรมประดับฝาของภาชนะที่มีความสำคัญ อาจใช้สำหรับบรรจุของที่ใช้ในพิธีกรรม ที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา ความเชื่อ หรืออาจเป็นเครื่องใช้ของบุคคลชั้นสูง ก็เป็นได้-------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง-------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง ผาสุข อินทราวุธ. ดรรชนีภาชนะดินเผาสมัยทวารวดี. กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ, ๒๕๒๘. อนุสรณ์ คุณประกิจ. “การศึกษาคติและรูปแบบประติมากรรมดินเผาขนาดเล็กสมัยทวารวดีที่พบในบริเวณ ภาคกลางของประเทศไทย”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัย ประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๒๙.


สาวกนิพฺพาน (อานนฺท,ควมฺปติ,พิมฺพา,มหากสฺสป,โมคฺคลฺลาน,สารีปุตฺตเถรนิพฺพาน)  ชบ.บ.90/1-4  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.242/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 44 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 114 (194-202) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : ทุกฺขกฺขนฺธสุตฺต(ทุกขักขันธสูตร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


องค์ความรู้เรื่อง : โยนกนาคพันธ์และสิงหนติโดย : นายสายกลาง  จินดาสุ  นักโบราณคดีชำนาญการ  กลุ่มโบราณคดี  สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่.     โยนกนาคพันธ์ คือ เมืองในตำนานที่ปรากฏร่องรอยการอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาของผู้คนและปรากฏร่องรอยการประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในแอ่งที่ราบเชียงราย - เชียงแสน เมืองแห่งนี้มีอายุตามตำนานในช่วง 148 ปีก่อนพุทธศักราช ถึง พ.ศ.1088.     ตำนานกล่าวถึงเจ้าชายสิงหนวติ พาผู้คนอพยพจากเมืองไทเทศ มุ่งลงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามแม่น้ำสรภู มาตั้งบ้านเมืองอยู่ในแอ่งที่ราบแห่งหนึ่ง ไกลจากแม่น้ำขรนทีราว 7,000 วา (ไม่ไกลจากเมืองเก่าที่ล่มสลายไปก่อนหน้า คือ เมืองสุวรรณโคมคำ) นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นในทิศทางที่สอดคล้องกันว่า โยนกนาคพันธ์ คือบริเวณที่ปัจจุบันเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่คาบเกี่ยวระหว่างตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน และตำบลจันจว้า ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ที่รู้จักในชื่อ “เวียงหนองหล่ม”.     อาจารย์คงเดช ประพัฒน์ทอง  เชื่อว่าเมืองโยนนาคพันธ์ คือบริเวณที่ปัจจุบันเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่คาบเกี่ยวระหว่างตำบลโยนก – จันจว้า ห่างจากตัวเมืองเชียงแสนลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะห่างที่สอดคล้องกับระยะที่กล่าวไว้ในตำนานว่าเมืองโยนคนาคพันธ์ห่างจากแม่น้ำโขง 7,000 วา ศาสตราจารย์เจียง อิ้ง เหลียง มีความเห็นว่ากลุ่มคนไทได้ตั้งเมืองโยนกนาคพันธ์ขึ้นบนที่ราบเชียงแสนตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 15  โดยอพยพเคลื่อนย้ายมาจากจีนตอนใต้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รณิดา ปิงเมือง (ศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย) สำรวจและศึกษาความเป็นมาท้องถิ่น โบราณวัตถุสถานในพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่มในปี 2552 พบโบราณสถานกว่า 34 แหล่งประกอบด้วยโบราณสถานประเภทวัด ที่กระจายตัวอยู่บริเวณขอบและกลางพื้นที่เวียงหนองหล่ม (รอบหนองน้ำกลางพื้นที่ คือ หนองยาว และหนองมน) รวมถึงโบราณสถานประเภทคู - คันดิน ที่ตั้งอยู่บนยอดดอยด้านทิศตะวันตกของพื้นที่.     ทั้งนี้ในปีพ.ศ. 2552 สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ดำเนินการสำรวจพื้นที่บริเวณเวียงหนองหล่ม พบว่า ในพื้นที่บริเวณเวียงหนองหล่มพบแหล่งโบราณคดีเพิ่มขึ้น 24 แหล่ง พื้นที่ที่พบแหล่งโบราณคดีหนาแน่นที่สุดคือพื้นที่ตำบลท่าข้าวเปลือก โดยกระจายตัวอยู่รอบหนองหลวง, หนองกากอก, หนองขวาง, หนองมน และลำน้ำลัว ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ นอกจากนั้นยังมีโบราณสถานบางส่วนที่กระจายตัวอยู่บริเวณขอบพื้นที่ โดยเฉพาะขอบพื้นที่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่เริ่มลาดสูงขึ้นเป็นพื้นที่เนินเขา ซึ่งต่อเนื่องไปจากแนวพื้นที่นี้ปรากฏพบโบราณสถานประเภทคู - คันดินตามพื้นที่ยอดดอย จากการสำรวจพบว่าโบราณสถานสถานที่อยู่กลางพื้นที่เวียงหนองล่มและตามขอบพื้นที่ส่วนมากเป็นศาสนสถานประเภทเจดีย์และวิหารที่วางตัวตามแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก โดยมีเนินวิหารที่มีผังค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดเฉลี่ย กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก และมีเนินเจดีย์ผังเนินค่อนข้างเป็นวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร อยู่ทางทิศตะวันตกของพื้นที่เนินโบราณสถาน ซึ่งเป็นลักษณะตามแบบแผนการวางตัวของโบราณสถานในล้านนา จากการขุดตรวจในพื้นที่พบว่าโบราณสถานอยู่ลึกกว่าผิวดินปัจจุบัน 0.3 - 0.5 เมตร.     สิ่งแรกที่เป็นข้อสังเกตที่น่าหยิบยกมาพิจารณาเกี่ยวกับโยนกนาคพันธ์ คือ ช่วงระยะเวลาการเกิดเมืองตามตำนาน หากพิจารณาตามช่วงเวลาที่ตำนานสิงหนวัติกล่าวถึง การเข้ามาตั้งบ้านเมืองของเจ้าชายสิงหนวติ ในแอ่งที่ราบเชียงแสน เกิดขึ้น 148 ปี ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน (148 ปี ก่อนพุทธศักราช) หากเชื่อว่าช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้อาจมีเค้าความจริง การอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาของสิงหนวัติอาจเป็นร่องรอยการอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนที่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในพื้นที่ภาคเหนือก็เป็นได้ คือเกิดขึ้นราว 2,700 ปีมาแล้ว ซึ่งตรงกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ช่วงรอยต่อยุคสำริดกับยุคเหล็ก เวลาดังกล่าวเป็นช่วงสำคัญที่พัฒนาการทางสังคมเริ่มยกระดับจากชุมชน หมู่บ้าน สู่ความเป็นเมือง (สังคมเริ่มก้าวสู่ความเป็นเมืองเมื่อผู้คนเริ่มรู้จักการผลิตและใช้เหล็ก) ตำนานสิงหนวัติจึงอาจสะท้อนถึงการเคลื่อนย้ายผู้คนจากจีนตอนใต้มาสู่แอ่งที่ราบเชียงแสน ซึ่งเป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่และเพียงพอแก่การรองรับการขยายตัวของประชากรและสังคมในช่วงปลายยุคสำริดที่ต่อเนื่องยังยุคเหล็ก  หลักฐานทางโบราณคดีชิ้นหนึ่งที่อาจเชื่อมโยงความสัมพันธ์ดังกล่าว คือ การพบกลองมโหระทึกสำริด ที่เป็นโบราณวัตถุที่พบตั้งแต่จีนตอนใต้กระจายมาตามลำน้ำโขงจนถึงประเทศเวียดนาม กลองมโหระทึกที่เวียงหนองหล่มนี้มีที่มาว่าถูกพบจากการขุดลอกหนองเขียว ซึ่งเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวียงหนองล่ม ใกล้กับโรงเรียนจันจว้าวิทยาคม แต่ทั้งนี้ประเด็นเรื่องช่วงเวลายังเป็นประเด็นที่ต้องมีการศึกษาถึงหลักฐานทางโบราณคดีประกอบอีกมาก มิสามารถนำช่วงเวลาตาม.     ในพื้นที่ประเทศไทย เรามักจะพบหลักฐานการก่อเกิดรัฐหรือบ้านเมือง ในช่วง 1,300 – 1,500 ปีก่อน (ราว พ.ศ.1000 – 1300) ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างปลายยุคเหล็กกับยุคประวัติศาสตร์ เช่นเมืองของอาณาจักรทวารวดีในแอ่งที่ราบภาคกลาง หรือเมืองหริภุญชัย ในพื้นที่ภาคเหนือ  ซึ่งทุกแห่งมีเงื่อนไขการก่อเกิดบ้านเมืองที่คล้ายคลึงกัน คือมีศาสนาเป็นองค์ประกอบ ดังนั้นปัจจัยที่ควรถูกหยิบยกมาเป็นข้อสังเกตและพิจารณาช่วงเวลาแห่งการเกิดหรือพัฒนาขึ้นสู่ความเป็นเมืองของโยนกนาคพันธ์อีกข้อ คือ การประดิษฐานของพระพุทธศาสนาในพื้นที่.     หลักฐานที่ปรากฏในตำนาน เกิดขึ้นหลังจากรัชกาลของสิงหนวัติ โดยเกิดในสมัยพระเจ้าอชุตราช กษัตริย์ลำดับที่ 3 แห่งโยนกนาคพันธ์ ในราว พ.ศ.100 หรือประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ตำนานกล่าวถึงการที่พระเจ้าอชุตราชได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากพระกัสสปเถระ แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุนั้นประดิษฐานบนดอยลูกหนึ่งที่เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนพื้นเมืองเดิม (พระธาตุดอยตุง) ถ้าพิจารณาตามลำดับเวลาในตำนาน ช่วงเวลาแห่งการสถาปนาพระธาตุอันเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนของการสถาปนาพระพุทธศาสนาในแอ่งที่ราบเชียงแสน เกิดขึ้นในต้นพุทธศตวรรษที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่สัมพันธ์กับบริบทระลอกการแผ่ขยายพระพุทธศาสนาจากอินเดียสู่พื้นที่ต่างๆ ซึ่งการแผ่ขยายของพุทธศาสนาเกิดขึ้นในห้วงเวลาหลังจากนั้น ๒ ระลอกคือพุทธศตวรรษที่ 3 – 5 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นสมัยหลังคุปตะที่ศาสนาเข้ามาพร้อมการขยายตัวทางการค้าจากมหาสมุทรอินเดีย ดังนั้นระยะเวลาในการพัฒนาขึ้นมาเป็นสังคมระดับเมืองของโยนกนาคพันธ์และการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแอ่งที่ราบเชียงแสน จึงควรเป็นเวลาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 4 - 12 ซึ่งความเป็นไปได้อาจอยู่ในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 12 ไปไม่มาก จากช่วงเวลาที่เทียบเคียงกับการประดิษฐานพระพุทธศาสนาและเกิดบ้านเมืองในพื้นที่อื่นๆของประเทศไทย ทั้งนี้มีข้อสังเกตประการหนึ่งว่า การเข้ามาของพุทธศาสนาในแอ่งที่ราบเชียงแสนอาจมีมาก่อน.     การประดิษฐานพระพุทธศาสนาบนดอยตุงเล็กน้อย โดยนัยยะที่ปรากฏในตำนานที่ว่า พระมเหสีของพระเจ้า อชุตราช คือ ธิดาที่เกิดจากนางกวางที่ไปกินปัสสาวะของฤาษี เนื้อหาตอนนี้อาจตีความถึงการผสมกลมกลืนทางความเชื่อของกลุ่มคนพื้นเมืองเดิมที่มีสัตว์เป็นตัวแทน (นางกวาง)  กับความเชื่อใหม่ที่อาจจะเป็นศาสนาพุทธที่ได้เริ่มแผ่ขยายมาตามปฏิสัมพันธ์ที่แอ่งที่ราบเชียงแสนมีต่อดินแดนภายนอก โดยตำนานให้ภาพแทนเป็นฤาษี (ช่วงเวลาดังกล่าวคนในพื้นที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับนักบวชในศาสนา ฤาษีจึงอาจเป็นคำเรียกของนักบวชในยุคแรก / ในแอ่งที่ราบลำพูน-เชียงใหม่ พบหลักฐานการเข้ามาของพระพุทธศาสนาในตำนานพระธาตุดอยคำที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดยักษ์ในพื้นที่ ซึ่งอาจหมายถึงกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตในแบบก่อนประวัติศาสตร์ ล้าหลัง ที่ตำนานให้ภาพแทนเป็นยักษ์ และนำไปสู่การก่อเกิดเมืองบริเวณเชิงดอยสุเทพโดยฤาษี ต่อมาจึงเกิดเมืองหริภุญชัยโดยมีฤาษีอีกตนเป็นผู้สร้าง พร้อมกับการเข้ามาของพระพุทธศาสนาจากที่ราบภาคกลาง ซึ่งช่วงเวลาตามตำนานอยู่ในราว พ.ศ. 1100 – 1204).     ในความเห็นของผู้เขียนเอง (ตามข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏ) ผู้เขียนขอตั้งเป็นข้อสันนิษฐานว่า การอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนเข้ามาของสิงหนวัติอาจเกิดขึ้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์ในช่วงใดช่วงหนึ่งของยุคเหล็ก (2,500 – 1,500 ปีมาแล้ว) โดยเป็นการอพยพเคลื่อนย้านจากจีนตอนใต้ลงมาเพื่อแสวงหาพื้นที่ทำกินและแหล่งทรัพยากรใหม่ รองรับการขยายตัวของสังคม ซึ่งในเวลานั้นอาจยังมิได้เป็นสังคมระดับเมือง (แต่เป็นชุมชนขนาดใหญ่) จนมีพัฒนาการก้าวสู่ความเป็นเมืองหลังจากที่มีการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในพื้นที่ ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงเวลา 1,300 – 1,500 ปีมาแล้ว (พุทธศตวรรษที่ 11 – 13)  อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานที่เป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าลงไปถึงช่วงเวลาก่อน พ.ศ.1088 ที่เมืองถล่มล่มจมลงเป็นหนองน้ำ โดยโบราณสถานที่สำรวจพบกำหนดอายุได้ในช่วงล้านนา ในพุทธศตวรรษที่ 19 - 22 (จากการกำหนดอายุเชิงเทียบกับโบราณวัตถุที่พบร่วมในแหล่ง).     นอกจากนี้เมื่อเราพิจารณาสภาพภูมิศาสตร์พื้นที่ของแอ่งที่ราบเชียงราย – เชียงแสน เราอาจเข้าใจประเด็นดังกล่าวนี้ได้กระจ่างชัดขึ้น เหนือจากแอ่งที่ราบเชียงแสนขึ้นไปทางทิศเหนือซึ่งปัจจุบันเป็นเขตพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหภาพเมียนมาร์ เป็นพื้นที่ภูเขากินบริเวณกว้าง ขวางผืนแผ่นดินเป็นแนวยาวก่อนที่จะพบพื้นที่ราบทางทิศเหนืออีกครั้งบริเวณตอนกลางของแอ่งที่ราบมณฑลยูนนาน แอ่งที่ราบเชียงแสนจึงถือเป็นแอ่งที่ราบผืนใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแอ่งที่ราบจีนตอนใต้ ดังนั้นเวียงหนองหล่ม ที่ตั้งอยู่บนแอ่งที่ราบเชียงแสน จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการรองรับการผลิตภาคเกษตรที่หล่อเลี้ยงประชากรและการขยายตัวของสังคมที่ผู้คนและสิงหนวติต้องการ                         ------------------------------------- อ้างอิง -ศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โบราณวัตถุและโบราณสถานในพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองล่ม. พิมพ์ครั้งที่๑. เชียงใหม่ ดอคคิวเมนทารี ดีไซน์ จำกัด. เชียงใหม่, ๒๕๕๒.ศิลปากร,กรม. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑, ๒๕๕๐.ศิลปากร,กรม. พงศาวดารโยนก. พิมพ์ครั้งที่๗. สำนักพิมพ์คลังวิทยา. กรุงเทพฯ, ๒๕๕๐. ศิลปากร,กรม. โครงการจัดทำแผนแม่บท การพัฒนาเมืองโบราณเชียงแสนให้เป็นมรดกโลก, ๒๕๕๐.


          กรมศิลปากร โดยสำนักการสังคีต ขอเชิญชมการแสดง “เหมันต์บันเทิง รื่นเริงสังคีต” โครงการ ดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๕ พบกับการบรรเลงดนตรีและการแสดงอันหลากหลาย โดยศิลปินของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร และภาคเอกชน ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา ๑๗.๓๐ น. - ๑๙.๓๐ น. ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ณ สังคีตศาลา เวทีกลางแจ้ง บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร บัตรเข้าชมการแสดงคนละ ๒๐ บาท          กรมศิลปากรจัดโครงการดนตรีสำหรับประชาชนเพื่อนำเสนอความบันเทิงและความรู้สู่ประชาชน มาเป็นเวลาถึง ๖๕ ปี โดยมีรายการแสดงที่หลากหลายทั้งแบบมาตรฐาน แบบพื้นเมือง และแบบสากล สลับสับ เปลี่ยนกันไป ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ทั้งการแสดงโขน ละคร การบรรเลงดนตรีไทย ดนตรีสากล ศิลปะการแสดงประเภทต่างๆ ซึ่งล้วนแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและของชาติ อันควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ โดยวันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ชมการแสดงโขนสด โดยคณะประยุทธ ดาวใต้ และวันอาทิตย์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ชมการบรรเลงขับร้องดนตรีสากล ชุดชมวังฟังเพลงบรรเลงร้อง บัตรราคา ๒๐ บาท (จำหน่ายบัตรก่อนเข้าชมการแสดง ๑ ชั่วโมง) ทั้งนี้ การจัดการแสดงอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโรคตามแผนมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและมาตรการที่ทางราชการกำหนด          ผู้สนใจสามารถเข้าชมการแสดงได้ ณ สังคีตศาลา เวทีกลางแจ้ง บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ เวลา ๑๗.๓๐ น. - ๑๙.๓๐ น. ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ติดตามรายละเอียดได้ทาง เฟสบุ๊ก สำนักการสังคีต กรมศิลปากร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักการสังคีต (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐๒๒๒๑ ๐๑๗๑


ชื่อผู้แต่ง        ศิริปัญญามุนี (อ่อน), พระ ชื่อเรื่อง          มงคลสูตรแปลโดยพิสดาร สำนวนเทศนา ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์    พระนคร สำนักพิมพ์      โรงพิมพ์ชวนพิมพ์ ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๑ จำนวนหน้า      ๕๕๔ หน้า หมายเหตุ         พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานรับพระราชทานเพลิงศพ พระยศสุนทร (น้อม ยศสุนทร) ณ เมรุวัดธาตุทอง พระโขนง พระนคร วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๑                         หนังสือเล่มนี้ เป็นสูตรหนึ่งในคัมภีร์ขุททกปาฐะ เป็นพุทธภาษิตพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงเป็นคาถาบาลี จำนวน ๑๑ คาถา ยาว ๒๒ บรรทัด กล่าวถึงพุทธพจน์ว่าด้วยมงคล ๓๘ ประการ โดยอธิบายหลักธรรม ยกอุทาหรณ์มาอธิบาย มีคุณค่าทางด้านวรรณคดี และการศึกษาศีลธรรม


ไซเดนฟาเดน.  เรื่องเที่ยวที่ต่าง ๆ ภาคที่ 6 เที่ยวเมืองพิมายในจังหวัดนครราชสีมา.  พระนคร : กรมศิลปากร, 2497.                      พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพขุนประมวญรถกรรม (โฮม  วงศ์กำแหง) ว่าด้วยเรื่องเที่ยวเมืองพิมาย ประวัติเมืองพิมาย  จังหวัดนครราชสีมา  การก่อสร้างสถานีรถไฟ สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา การเดินทางจากนครราชสีมาไปพิมาย ปี พ.ศ.2461  โดยใช้ม้าเป็นพาหนะ ท่าเรือเมืองนครราชสีมาที่เรียกว่าท่าช้าง ฯลฯ