ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 40,244 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.119/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  44 หน้า ; 4.3 x 54.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 67 (214-219) ผูก 4 (2564)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์ (8 หมื่น)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อผู้แต่ง           จวบ  หงสกุล ชื่อเรื่อง            นิราศ ครั้งที่พิมพ์        พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์      พระนคร สำนักพิมพ์        กรุงเทพการพิมพ์ ปีที่พิมพ์            ๒๕๐๙              จำนวนหน้า       ๑๑๐ หน้า  หมายเหตุ หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นาวาเอก พระสาตราบรรจง  (ศาสตราบรรจง   สีตกะลิน) ณ วัดมกุฎกษัตริยาราม เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๐๙                ได้มีการรวบรวมนิราศบางเรื่องที่แต่งไว้นำมารวมกับหนังสือนุสรณ์แจกผู้มี่มาเข้าร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ ได้มีการคัดเลือกให้รวมพิมพ์ครั้งนี้ทั้งหมด ๕ เรื่อง ได้แก่ นิราศนรก นิราศสัตหีบ นิราศหัวยาง นิราศเมืองเหนือ และนิราศวังตะไคร้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านในทางความรู้และความบันเทิงสำราญด้านจิตใจ


ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๖ เจ้าอาวาสวัดรังษีสุทธาวาส ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๙ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.18/1-2 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อผู้แต่ง : ดิเรก ชัยนาม ปีที่พิมพ์ : 2509 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : แพร่พิทยา จำนวนหน้า : 644 หน้าสาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไทยถูกเหตุการณ์ต่างๆ บังคับให้เข้าไปพัวพันด้วย โดยผู้เขียนได้อยู่ในยุคสมัยนั้น และมีความเกี่ยวข้องในนโยบายต่างประเทศช่วงสงครามโลกด้วย โดยหนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาคแรกเป็นเรื่องตั้งแต่เริ่มสงครามด้านยุโรปจนถึงสงครามด้านเอเซีย ภาคสองเป็นเรื่องระหว่างสงครามด้านเอเซียจนเสร็จสงคราม และภาคสามเป็นเรื่องภายหลังสงคราม



เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ (F.Hilaire)             หนังสือดรุณศึกษา เป็นตำราเรียนภาษาไทยที่เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ แห่งโรงเรียนอัสสัมชัญได้แต่งและเรียบเรียงขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ หลังจากที่มาพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาเพียง ๙ ปี                ฟ.ฮีแลร์ เป็นชาวฝรั่งเศส มีนามเดิมว่า ฟร็องซัวส์ ตูเวอเนต์ (François Touvenet) หรือที่รู้จักกันในนาม ฟ.ฮีแลร์ (F.Hilaire) ซึ่งเป็นศาสนานาม โดย ฟ. ย่อมาจาก Frère ในภาษาฝรั่งเศส หรือ Brother ในภาษาอังกฤษ บัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยว่า “เจษฎาจารย์ หรือภราดา”                  เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ เป็นนักบวชคณะเซนต์คาเบรียล เดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมาประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ พร้อมกับคณะเจษฎาจารย์อีก ๔ ท่าน เพื่อมารับมอบงานด้านการศึกษาจากบาทหลวงกอลมเบต์ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ มีความสนใจด้านภาษาไทยอย่างมาก จึงมุ่งมั่นศึกษาภาษาไทยและขนบธรรมเนียมประเพณีไทยจากครูหลายท่าน เช่น หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พระยาวารสิริ (ครูวัน) ครูฟุ้ง เจริญวิทย์ และครูศุข ศุภศิริ เป็นต้น ท่านมีความมานะ สามารถเรียนรู้ได้เร็ว เมื่อมีความรู้ภาษาไทยแตกฉานดีแล้ว จึงเริ่มแต่งหนังสือ “ดรุณศึกษา” ตำราเรียนภาษาไทยที่ใช้ในโรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ บุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งทรงเล็งเห็นความตั้งใจและความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจของเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ที่ต้องการจะพัฒนาความรู้แก่นักเรียน จึงทรงรับเป็นผู้ตรวจแก้ไขเนื้อหาให้ถูกต้องตรงตามความที่ปรากฏในพงศาวดารต่าง ๆ เพื่อให้ดรุณศึกษาเป็นหนังสือภาษาไทยแบบใหม่ที่มีความพิเศษและสมบูรณ์ครบถ้วน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ               ดรุณศึกษาใช้เป็นหนังสือสอนอ่านภาษาไทย เริ่มจากการประสมอักษรกลาง อักษรสูง อักษรต่ำกับสระเสียงยาว สระเสียงสั้น และผันวรรณยุกต์ มีการฝึกอ่านคำที่ประสมแล้วทุกบท สอนตัวเลข สอนเครื่องหมาย เมื่อเด็กอ่านได้แล้ว มีบทอ่าน เป็นนิทานสอนใจ เช่น เรื่อง “กาน้ำแก่” “กระต่ายกับเต่า” “อึ่งอ่าง” “นกเขาเปล้า” “หมาจิ้งจอก” “มดง่าม” “ราชสีห์” “ยายกะตา” ฯลฯ ทุกเรื่องจะสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมให้แก่นักเรียนโดยตลอด ในชั้นที่โตขึ้นจะใช้คำประพันธ์ในการสอนโดยแต่งเองบ้าง นำมาจากของเก่าบ้างและมีการนำวรรณคดีมาทำเป็นเรื่องสอนอ่านด้วย เช่น “ชะลอมใส่น้ำ (ขอมดำดิน)” “พระไชยเชษฐ์” “นายขนมต้ม” บทร้อยกรอง “วิชาเหมือนสินค้า” จากเรื่อง ศรีสวัสดิวัด ของหมื่นพรหมสมพัตสร หรือนายมี จากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ เช่น “เจ้าพระยาวิชเยนทร์” “พระเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ (พระนเรศวรชนช้างกับพระมหาอุปราชา) “สมเด็จพระศรีสุริโยทัย” เล่าจากเรื่องจริง เช่น “เรือติตานิก” “เรือกลไฟในกรุงสยาม” “การพิมพ์หนังสือในประเทศไทย” เป็นต้น               หนังสือดรุณศึกษา ผลงานชิ้นเอกของเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ เมื่อแรกพิมพ์ที่โรงพิมพ์อัสสัมชัญ ใช้ชื่อว่า “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” มีทั้งหมด ๓ เล่ม ได้แก่                ๑. อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ                 ๒. อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอนกลาง                 ๓. อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอนปลาย               ภายหลังได้เล็งเห็นว่าอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ มีรูปเล่มที่หนาเกินไปสำหรับเด็กเล็ก ดังนั้นในการพิมพ์ครั้งที่ ๔ จึงแบ่งพิมพ์ออกเป็น อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอน กอ ขอ  และอัสสัมชัญ ดรุณศึกษา ตอนต้น  ส่วนที่เหลือคงเดิม จึงกล่าวได้ว่าตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๔ นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญมีแบบเรียน “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” ใช้เรียนทั้งหมด ๔ เล่ม จวบจนกระทั่งสิขสิทธิ์ของ “อัสสัมชัญ ดรุณศึกษา” ได้ตกเป็นของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช ในระยะเวลาต่อมาจึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็น “ดรุณศึกษา” หนังสือดรุณศึกษายุคสมัยต่าง ๆ            หนังสือดรุณศึกษา ชุดหนึ่งมี ๕ เล่ม ใช้เป็นหนังสือประกอบการเรียนการสอนภาษาไทยให้สอดคล้องกับหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับนักเรียนชั้นเตรียมประถม (ปฐมวัย) และชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๔ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในโรงเรียนทั่วไปโดยเฉพาะในโรงเรียนเอกชนเครือคริสตจักร เพราะเป็นตำราที่เอื้อให้การเรียนการสอนวิชาภาษาไทยเกิดประสิทธิผล นักเรียนสามารถอ่านเขียนได้คล่อง มีคำศัพท์กว้างและรอบรู้ นอกจากนี้ยังมีภาพประกอบซึ่งช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกเพลิดเพลิน สนุกสนาน มีความกระตือรือร้นในการเรียนและไม่เกิดความเบื่อหน่าย ตัวอย่างบทอาขยาน   ส่วนหนึ่งจากบทเรียนในหนังสือดรุณศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒                การจัดพิมพ์หนังสือดรุณศึกษาตั้งแต่เริ่มจัดพิมพ์ ได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพื่อให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทั้งในส่วนของรูปเล่ม ภาพประกอบบทเรียนและข้อความบางตอน แต่ยังคงรักษาเนื้อหาสาระเดิมตามแนวของเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ไว้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน พร้อมจัดทำเชิงอรรถอธิบายความหมายประกอบคำ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจสาระความหมายของคำดังกล่าวทั้งในบริบทเดิมและบริบทที่ใช้ในปัจจุบันชัดเจนยิ่งขึ้น           หนังสือดรุณศึกษายังคงใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยมายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี นับเป็นมรดกที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในด้านการส่งเสริมการเรียนภาษาไทยและสืบทอดความเป็นไทยให้คงอยู่ตามเจตนารมย์ของเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ ผู้ประพันธ์ตราบจนปัจจุบัน                                                             เรียบเรียงโดย    นางสาวนันทพร  บรรลือสินธุ์                                                                              นักอักษรศาสตร์ชำนาญการพิเศษ                                                                              กลุ่มแปลและเรียบเรียง                                                                              สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์     บรรณานุกรม เอกสารจากหอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ. เฉลิมวงศ์  ปีตรังสี. “ประวัติท่านเจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์” ในอนุสรณ์งานสมโภชรับขวัญเจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์. ๒๕๐๒. ฟ. ฮีแลร์. “ดรุณศึกษา ปฐมวัย”, คำนำ, ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๖๒.  


+++++ เมืองโบราณเมืองหงส์ +++++ ----- เมืองโบราณเมืองหงส์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของบ้านเมืองหงส์ ตำบลเมืองหงส์ อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด ตัวเมืองมีลักษณะเป็นเนินดินทรงกลมรี มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ๑ ชั้น ขนาดประมาณ ๖๐๐ x ๑๐๐๐ เมตร แนวคูเมืองที่ยังคงเห็นได้ชัดเจน คือ หนองใหญ่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และ หนองฝายทางด้านทิศตะวันออก มีห้วยตะโกงเป็นแนวเชื่อมน้ำจากหนองฝายกับอ่างเก็บน้ำห้วยกุดแดง ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปทางด้านทิศใต้ประมาณ ๕๐๐ เมตร สภาพโดยรวมพบว่า แนวคูเมืองส่วนใหญ่ตื้นเขินและถูกปรับไถเป็นที่นา เหลือให้เห็นเป็นร่องน้ำแคบๆ ทั้งนี้ข้อมูลจากการสำรวจเมื่อปี ๒๕๒๗ กล่าวว่าคูเมืองเดิมมีขนาดกว้างประมาณ ๖๐ เมตร ส่วนคันดินยังคงเหลือให้เห็นบางส่วนทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ และทางด้านทิศใต้บริเวณด้านหลังโรงเรียนชุมชนบ้านเมืองหงส์ สภาพปัจจุบันกำแพงเมืองมีความกว้างประมาณ ๓๐ เมตร สูงประมาณ ๒ - ๓ เมตร ----- จากรายงานการสำรวจเมืองโบราณเมืองหงส์ของกรมศิลปากรเมื่อปี ๒๕๒๗ ได้กล่าวถึงโบราณวัตถุและร่องรอยโบราณสถานที่พบในเขตเมืองโบราณเมืองหงส์ ซึ่งไม่เหลือให้เห็นแล้วในปัจจุบัน ได้แก่ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อดิน (Earthenware) ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง (Stoneware) และชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเคลือบสีขาวไข่กา (Celadon) นอกจากชิ้นส่วนภาชนะดินเผาที่พบทั่วไปแล้ว ยังพบโบราณวัตถุอื่นๆ เช่น ตะกรัน หรือ ขี้แร่ (Slag) ภาชนะดินเผาบรรจุกระดูกมนุษย์ (Burial jar) โครงกระดูกมนุษย์ ตุ๊กตาดินเผารูปสัตว์ อิฐเก่า และพระพุทธรูปสำริด เป็นต้น (กรมศิลปากร : ๒๕๒๗) ----- นอกจากร่องรอยของโบราณสถานภายในตัวเมืองบริเวณวัดหงส์สุวรรณารามแล้ว ยังมีโบราณสถานนอกเมืองอีก ๑ แห่ง ตั้งอยู่ห่างออกไปทางด้านทิศเหนือประมาณ ๗๐๐ เมตร สภาพเหลือเพียงส่วนฐาน กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งและเสริมความมั่นคงในปี ๒๕๓๕ โดยโบราณสถานหลังขุดแต่งทางโบราณคดี มีลักษณะดังนี้ องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ ๖ เมตร ทำเป็นมุขยื่นออกมาด้านละ ๓๐ เซนติเมตร สร้างซ้อนกัน ๒ ชั้น ส่วนฐานสูง ๑๔๐ เซนติเมตร ตรงกลางองค์เจดีย์มีลักษณะเป็นห้องขนาด ๒ x ๑.๕ เมตร การก่ออิฐไม่เป็นระเบียบนัก อิฐที่ก่อมีความหนาบางไม่เท่ากัน ซึ่งอาจเป็นเพราะจะต้องฉาบปูนปิดอีกที จึงไม่จำเป็นที่จะใช้อิฐขนาดเท่ากันเสมอไป หรืออาจเป็นอิฐที่ปั้นขึ้นจากศรัทธาหลายคนต่างบริจาคมาร่วมในการก่อสร้าง จึงทำให้อิฐมีขนาดไม่เท่ากัน ก่อนที่จะเริ่มก่ออิฐปรากฏหินกรวดผสมดินเหนียวและศิลาแลงเป็นวัสดุรองพื้น จากการขุดแต่งพบโบราณวัตถุที่สำคัญ คือ พระพุทธรูปสำริดศิลปะทวารวดีพุทธลักษณะประทับยืน สูง ๑๓.๗ เซนติเมตร กว้าง ๕ เซนติเมตร เม็ดพระศกเป็นก้นหอย ไม่มีรัศมี พระพักตร์กลม พระขนงต่อกันเป็นปีกกา พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์หนา พระกรรณยาวลงมาถึงต้นพระศอ พระศอเป็นปล้อง ครองจีวรห่มคลุมแนบพระวรกาย ชายจีวรยาวจรดข้อพระบาท พระกรทั้งสองข้างและพระบาทหักหายไป และยังได้พบลูกปัดหินควอทซ์สีขาว ลักษณะเป็นเม็ดกลมขนาดเส้นรอบวง ๑๑ เซนติเมตร เจาะรูทะลุตรงกลาง (กรมศิลปากร : ๒๕๓๕) ----- จากลักษณะของคูเมืองกำแพงเมือง เจดีย์เมืองหงส์ และโบราณวัตถุที่พบจากการสำรวจเมื่อปี ๒๕๒๗ สันนิษฐานว่าเมืองโบราณเมืองหงส์ มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย และพัฒนาเข้าสู่ยุคสังคมเมืองสมัยวัฒนธรรมทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ และวัฒนธรรมเขมร ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๘ เนื่องจากภายในเมืองโบราณและบริเวณใกล้เคียงได้สำรวจพบภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง ชิ้นส่วนไหเท้าช้าง และภาชนะเครื่องเคลือบแบบวัฒนธรรมเขมร รวมถึงมีความต่อเนื่องมาจนถึงวัฒนธรรมอีสาน - ล้านช้าง เพราะพบว่ามีการกล่าวถึงชื่อเมืองหงส์ในตำนานอุรังคธาตุ ซึ่งเป็นตำนานสำคัญทางศาสนาที่แต่งขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ----- อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ภายในตัวเมืองโบราณยังไม่เคยทำการขุดค้นทางโบราณคดี มีแต่เพียงเจดีย์เมืองหงส์ ที่ตั้งอยู่นอกเมืองเท่านั้นที่ได้รับการขุดแต่งและพบหลักฐานเพียงสมัยทวารวดี ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของเมืองโบราณเมืองหงส์ จึงต้องมีการศึกษาทางวิชาการโบราณคดีต่อไป ----------------------------------------------------------------- +++ อ้างอิงจาก +++ --- กองโบราณคดี. (๒๕๒๗). รายงานการสำรวจแหล่งเมืองโบราณ บ้านเมืองหงส์ ตำบลเมืองหงส์ อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด. เล่มที่ ๑/๒๕๒๗, โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), กรมศิลปากร : กองโบราณคดี. --- หน่วยศิลปากรที่ ๖. (๒๕๓๕). รายงานการขุดแต่งและเสริมความมั่นคงเจดีย์เมืองหงส์ อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด. ฉบับที่ ๑๘, กรมศิลปากร : กองโบราณคดี (ฝ่ายควบคุมดูแลรักษาโบราณสถาน). ข้อมูล : นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ  



     ตราประทับรูปหม้อปูรณฆฏะ       พบจากเมืองโบราณอู่ทอง      ตราประทับรูปหม้อปูรณฆฏะ พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี นายนาม เหมือนศรี มอบให้ จัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ตราประทับดินเผาทรงกลมขนาดเล็ก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓ เซนติเมตร มีที่จับเป็นจุกแหลมอยู่ด้านหลัง ผิวหน้าตราเป็นภาพ “ปูรณฆฏะ” ลักษณะเป็นหม้อทรงสูง ปากบาน คอคอด ตัวกลมป่องกลาง มีเชิง มีพันธุ์พฤกษาในลักษณะของกิ่งไม้เลื้อยออกมาจากปากหม้อห้อยลงมาทั้งสองข้าง เป็นรอยลึกลงไปสำหรับนำไปกดประทับบนดินเหนียวหรือวัตถุอื่น ๆ เพื่อให้เกิดรอยประทับนูนขึ้นมา      ปูรณฆฏะ เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มาจากคำว่า “ปูรณะ” แปลว่าเต็ม และ “ฆฏะ” แปลว่าหม้อ มักเรียกซ้อนคำว่า “หม้อปูรณฆฏะ” ในงานศิลปกรรมส่วนใหญ่มักมีพันธุ์พฤกษางอกออกมาจากหม้อน้ำ เป็นการนำสัญลักษณ์หม้อน้ำและพันธุ์พฤกษาซึ่งเป็นหมายถึงความอุดมสมบูรณ์มารวมกัน คตินี้ปรากฏทั้งในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู      ศิลปกรรมรูปหม้อปูรณฆฏะ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในสมัยอินเดียโบราณ พบประดับอยู่บริเวณประตูและรั้วรอบศาสนสถาน เพื่อเป็นการอำนวยพรให้ผู้ที่เข้ามาสักการะศาสนสถานแห่งนั้นได้รับพรกลับไป และมีการสืบต่อเรื่อยมา ทั้งยังส่งอิทธิพลให้แก่งานศิลปกรรมในประเทศอื่น ๆ เช่น ลังกา และไทย เป็นต้น รูปหม้อปูรณฆฏะ ในงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี ปรากฏทั้งบนเหรียญเงิน ตราประทับ และตราดินเผา เช่น เหรียญเงินรูปหม้อปูรณฆฏะ พบจากตำบลพระประโทน จังหวัดนครปฐม เหรียญรูปหม้อปูรณฆฏะ ไม่ทราบแหล่งที่มา จัดแสดงและเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และตราดินเผารูปหม้อปูรณฆฏะ พบจากเมืองจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ เป็นต้น      ตราประทับรูปหม้อปูรณฆฏะนี้ กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นตราประทับที่นักเดินทางชาวอินเดียน้ำเข้ามาหรืออาจทำขึ้นในท้องถิ่นโดยคนพื้นเมืองทวารวดี เพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของบุคคลหรือกลุ่มคน รวมถึงเป็นเครื่องรางเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย    เอกสารอ้างอิง เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๘. วิภาดา อ่อนวิมล. “เหรียญตราในประเทศไทยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๖". วิทยานิพนธ์ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๑. อนันต์  กลิ่นโพธิ์กลับ. “การศึกษาความหมายและรูปแบบตราประทับสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี". วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗.


  13 กรกฎาคม 2564เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร สำนักพระราชวัง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ วันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 10 - 15 กรกฎาคม 2564 ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ www.royaloffice.th


ชื่อเรื่อง                         สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฏฐาน)      สพ.บ.                           394/5ขหมวดหมู่                       พุทธศาสนาภาษา                           บาลี/ไทยอีสานหัวเรื่อง                         พุทธศาสนา                                   ชาดก                                   เทศน์มหาชาติ                                   คาถาพันประเภทวัสดุ/มีเดีย           คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                   38 หน้า : กว้าง 4 ซม. ยาว 58 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี



          อาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี ตั้งอยู่ที่ตำบลสนามชัย อำเภอ เมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดงประติมากรรมสำริดที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือขุนหลวงพะงั่ว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ และประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณบุรี           การจัดแสดงได้นำเสนอเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับเมืองสุพรรณบุรี จำนวน ๙ ตอน ผ่านงานประติมากรรมนูนสูง และนูนต่ำ หล่อด้วยโลหะสำริด ความยาว ๘๘ เมตร สูง ๔.๒๐ เมตร โดยผู้เข้าชมจะได้รับความรู้และความเพลิดเพลินผ่านระบบการบรรยายนำชมที่ทันสมัยทั้งในรูปแบบออนไลน์ ออฟไลน์ และอุปกรณ์ Audio guide จำนวน ๓ ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน พร้อมใช้เทคโนโลยีแสง เสียง ประกอบการจัดแสดง           ผู้สนใจสามารถเข้าชมการจัดแสดงอาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี ผ่านระบบ smartmuseum ของกรมศิลปากร ผ่านทาง https://smartmuseum-v2.finearts.go.th และบน Application “SMART MUSEUM” สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ facebook fanpage พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี หรือ โทร.๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐