ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,748 รายการ
หีบ
รัตนโกสินทร์ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๕ หรือประมาณ ๑๐๐ ปีมาแล้ว
ไม้ลงรักประดับมุก
สูงพร้อมฝา ๒๐.๘ เซนติเมตร กว้าง ๑๕.๔ เซนติเมตร ยาว ๒๒.๕ เซนติเมตร
จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประทานยืม
หีบ ภาชนะใส่สิ่งของ รูปทรงสี่เหลี่ยมมีฝา ประดับมุกเป็นลายก้านแย่งพุ่มข้าวบิณฑ์ หีบทรงสูงนี้ใบนี้ใช้เป็นหีบใส่ยา มีชั้นวางซ้อนอยู่ด้านใน
ปัจจุบันหีบใบนี้จัดแสดงในห้องเครื่องมุก พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ชั้นล่าง) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ลูกเต๋า : การละเล่นโบราณ ?
ในวัฒนธรรมทวารวดี ที่เมืองอู่ทอง
บริเวณเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีการขุดพบลูกเต๋าโบราณทำจากดินเผา กระดูกสัตว์ และงาช้าง มีรูปทรง ๒ ลักษณะ ได้แก่ ลูกเต๋าทรงลูกบาศก์ (สี่เหลี่ยมจัตุรัส) ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับลูกเต๋าในปัจจุบัน คือ เป็นลูกเต๋าที่มี ๖ ด้าน แต่ละด้านมีรอยขูดขีดลึกลงไปเป็นจุดกลม ๑ ถึง ๖ จุด และรูปทรงอีกแบบหนึ่งมีลักษณะเป็นแท่งยาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มี ๔ ด้าน แต่ละด้านสลักเป็นจุดวงกลมล้อมรอบด้วยเส้นวงกลมหลายเส้น ด้านละ ๑, ๒, ๓ และ ๔ จุด ตามลำดับ
ลูกเต๋าโบราณทั้งสองแบบ ได้พบแพร่หลายในหลายพื้นที่ ทั้งในดินแดนตะวันออกกลาง (อาณาจักรเปอร์เชีย) ยุโรป รวมทั้งดินแดนชมพูทวีป (อินเดียตอนเหนือและพื้นที่ด้านตะวันตก)
จากการค้นพบลูกเต๋าตามแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ ทำให้สันนิษฐานว่า ลูกเต๋าเป็นอุปกรณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของการละเล่น กีฬา หรือการพนัน ในอินเดียได้พบลูกเต๋าทรงลูกบาศก์ ตั้งแต่อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุหรือในวัฒนธรรมยุคทองแดง อายุ ๔,๕๐๐ – ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว (๓,๐๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล) ในบางแห่งขุดพบลูกเต๋าร่วมกับแผ่นดินเผาที่มีการตีเส้นตาราง สันนิษฐานว่าใช้เป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการละเล่นหรือกีฬาของคนสมัยโบราณ และอาจเป็นต้นเค้าของกีฬาหมากรุกในปัจจุบัน ในอินเดียได้พบลูกเต๋าแพร่หลายมากในชั้นวัฒนธรรมสมัยราชวงศ์โมริยะ-ศุงคะ (สมัยเหล็กตอนปลาย) ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๓-๗ (ประมาณ ๑,๙๐๐ - ๒,๓๐๐ ปีมาแล้ว) ต่อเนื่องมาถึงสมัยคุปตะ ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๐ (ประมาณ ๑,๖๐๐ - ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว)
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากที่เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ยังพบลูกเต๋าที่แหล่งโบราณคดีเนินมะกอก อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี และที่แหล่งโบราณคดีบ้านท่าแค ในพื้นที่อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี กำหนดอายุช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙ - ๑๐ หรือเมื่อ ๑,๖๐๐ – ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว)
การค้นพบลูกเต๋าที่เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ถึงการติดต่อแลกเปลี่ยนกับชาวอินเดียในช่วงก่อนสมัยทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๐ แสดงถึงความสำคัญในฐานะเมืองท่าค้าขายช่วงเวลานั้น
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. เนินมะกอก : รายงานเบื้องต้นเฉพาะเรื่องชั้นดินและหลักฐานโบราณคดีบางประเภท. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร, ๒๕๓๒.
กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕.
ผาสุข อินทราวุธ. ทวารวดี : การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรสมัย, ๒๕๔๒.
Alex Fox. Ancient Roman Board Game found in Norwegian Burial Mound: researchers unearthed a four-sided dice and 18 circular tokens. [Online.] Available from https://www.smithsonianmag.com/.../ancient-roman-board.../
Shahid Naeem. An Ancient Indus Die. [Online.] Available from https://www.harappa.com/blog/ancient-indus-die [June 15th, 2015]
Shahr-e-Sukhteh: the Burnt City. [Online.] Available from http://turquoisedomes.com/2020/01/24/shahr-e-sukhteh/ [January 24, 2020.]
มหามกุฏราชสันตติวงศ์ : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๖๑ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๓๒ ชาววังออกพระนามว่า "เสด็จพระองค์ใหญ่" มีพระขนิษฐาพระองค์เดียว คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุจิตราภรณี เมื่อพระองค์พระชันษาได้ ๒๑ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ปีต่อมาเจ้าจอมมารดาชุ่มก็ถึงแก่อนิจกรรม
ในรัชกาลที่ ๖ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภาย้ายออกจากพระบรมมหาราชวังไปประทับที่พระตำหนักในสวนสุนันทา พระราชวังดุสิต กระทั่งพุทธศักราช ๒๔๖๒ เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดอย่างหนัก พระองค์เจ้าสุจิตราภรณี พระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียวก็สิ้นพระชนม์ลง พระองค์จึงประทับอยู่ในพระตำหนักเพียงพระองค์เดียวและทรงรับข้าหลวงของพระองค์เจ้าสุจิตราภรณีมาไว้ในพระอุปถัมภ์ทุกคน
ในรัชกาลที่ ๗ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้ทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เสด็จออกไปประทับ ณ ตำหนักทิพย์ ถนนราชวิถี บนที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระชนม์เยี่ยงคนสามัญ ประทับอยู่ในตำหนักทิพย์ร่วมกันกับเจ้าจอมอาบ ในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทรงสนิทสนมกัน และพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ หลานชายที่พระองค์ทรงรับอุปการะ
พุทธศักราช ๒๔๘๗ ตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการทิ้งระเบิดหลายลูกใกล้ตำหนักทิพย์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภาเสด็จไปประทับที่พระตำหนักเก่าของเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระราชวังบางปะอิน โดยมีเจ้าจอมอาบตามเสด็จไปด้วย
ในรัชกาลที่ ๙ ทรงได้รับพระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ ๑ ในฐานะพระบรมวงศ์ผุ้ใหญ่ในรัชกาลนั้น และทรงได้รับพระมหากรุณามาโดยตลอดกระทั่งสิ้นพระชนม์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๐๑ สิริพระชันษา ๖๙ ปี พระราชทานเพลิงพระศพ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา นับเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายจากพระบรมชนกนาถ
อ้างอิง
ศิลปากร, กรม. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔ .กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค.ลาดพร้าว, ๒๕๕๔.
วชิรญาณวงศ์, สมเด็จพระสังหราชเจ้า กรมหลวง. ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องต้น. กรุงเทพฯ : โรง
พิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๐๑.(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา ณ สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๑)
มหามกุฏราชสันตติวงศ์
๑๒ เมษายน วันคล้ายวันประสูติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
และ ๑๐๐ ปีแห่งการสถาปนาตำแหน่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
เรียบเรียง : ณัฐพล ชัยมั่น
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี กรมศิลปากร
องค์ความรู้จากอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย เรื่อง พระพุทธรูปลีลา ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงจัดทำข้อมูลโดย นางสาวมณฑกาญจน์ อินทร์ทอง นักโบราณคดีปฏิบัติการ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง เรื่อง ศาลเจ้าแสงธรรมภูเก็ตกับการปรากฏสัญลักษณ์มงคลจีน
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (วิภังค์-มหาปัฏฐาน)
สพ.บ. 377/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง ธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
#วัดจุฬามณี๖ #การศึกษาที่ผ่านมาเกี่ยวกับพระปรางค์วัดจุฬามณี๑ การก่อสร้างพระปรางค์ประธานวัดจุฬามณีไม่มีประวัติระบุไว้ชัดเจน บ้างว่าอาจจะสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงที่อาณาจักรเขมรโบราณปกครองพื้นที่ภาคกลาง หรือเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปัจจุบันมีนักวิชาการเสนอแนวคิด เรื่องอายุสมัยการสร้างพระปรางค์วัดจุฬามณีไว้ ๒ ช่วง คือ กลุ่มแรกเชื่อว่าสร้างในช่วงพุทธศตวรรษ ๑๖ – ๑๘ ช่วงที่ภาคกลางอยู่ภายใต้อิทธิพลอาณาจักรเขมร ส่วนอีกกลุ่มเห็นว่าสร้างเมื่อสมัยอยุธยาตอนต้น ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียด เรียงลำดับตามพัฒนาการของแนวความคิดต่อไปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (๒๔๕๑) ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในเรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง” เมื่อครั้งเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จประพาสเมืองพิษณุโลก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๐ ทรงมีความเห็นในแนวทางเดียวกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเสนอว่า พระปรางค์วัดจุฬามณีเป็นของมีอยู่แต่เดิม ก่อนที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะมาปฏิสังขรณ์ในเวลาต่อมา ดังนี้ “...ในเวลานี้ในวัดจุฬามณียังมีที่ดูได้มาก ของควรดูล้วนอยู่ในลานอันหนึ่ง กว้าง ๑ เส้น ๔ วา ยาว ๒ เส้น ๑๗ วา มีกำแพงแก้วก่อด้วยอิฐสูงประมาณ ๒ ศอก กลางลานมีพระปรางค์ใหญ่ก่อด้วยแลงทางด้านตะวันตกมีอุโบสถก่อด้วยอิฐ ด้านตะวันออกมีวิหารใหญ่ ผนังอิฐแต่เสาเป็นแลง ต่อวิหารออกไปทางมุมลานด้านตะวันออกเฉียงเหนือมีมณฑป ที่ผนังหลังมณฑปมีแผ่นศิลาจารึที่กล่าวถึงแล้วข้างบนนี้ มีซุ้มและกรอบสำหรับศิลานั้นด้วย สังเกตดูสันนิษฐานได้ว่าวัดนี้เป็นวัดโบราณ มีอยู่แต่ก่อนสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๆ ได้มาทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น และทำพระวิหารเพิ่มเติมขึ้น พระเจดีย์กลางนั้นคงเป็นของมีอยู่แต่เดิม...” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (๒๔๖๔) ทรงเสนอว่า พระปรางค์วัดจุฬามณีเดิมเป็นเทวสถานของขอม ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถให้เปลี่ยนจากเทวสถานมาเป็นพระปรางค์ดังที่เห็นในปัจจุบัน รายละเอียดตามที่ปรากกฎในหนังสือเรื่อง “เที่ยวตามทางรถไฟ” ดังนี้“วัดจุฬามณีอยู่ริมน้ำฝั่งตะวันออก ใต้เมืองพิษณุโลกลงไปทางเรือสัก ๘ กิโลเมตร วัดนี้สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ทรงสร้าง เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๗ สร้างตรงที่เมืองเดิมแต่ครั้งขอมแปลงเทวสถานของขอมเป็นพระปรางค์ ระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหารหลวง”ภาพถ่ายเก่าพระปรางค์วัดจุฬามณีเท่าที่สืบค้นได้ น่าจะเป็นภาพฟิล์มกระจกที่ถ่ายเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๔๕๐ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จที่วัดจุฬามณี จากนั้นจึงได้ตีพิมพ์ภาพลงในหนังสือเที่ยวเมืองพระร่วง ส่วนภาพฟิล์มกระจกอื่น ๆ ไม่สามารถระบุปีได้ แต่น่าจะถ่ายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน จากภาพจะเห็นได้ว่า พระปรางค์แต่เดิมนั้นส่วนยอดพังลงมากองอยู่บนพื้นดินด้านทิศใต้ขององค์ปรางค์ในส่วนของชุดภาพฟิล์มเนกาทีฟขาวดำที่ถ่ายโดย Bernard-Philippe Groslier นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสแห่งสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐ เป็นภาพถ่ายหลังจากพระปรางค์วัดจุฬามณี ได้รับการขุดแต่งบูรณะเสริมความมั่นคงโดยกรมศิลปากรแล้ว เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๘ - ๒๔๗๙ จะเห็นว่าดินและเศษอิฐที่ทับถมอยู่บริเวณฐานด้านทิศใต้ของปรางค์ได้ขุดแต่งออกไปแล้ว แต่ส่วนยอดที่หักพังลงมายังไม่รับการบูรณะนำขึ้นไปติดตั้งไว้ยังตำแหน่งเดิมแล้วดังสภาพที่เห็นในปัจจุบันเอกสารอ้างอิง:มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2451). เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง. พระนคร: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ.ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. (2484). เที่ยวตามทางรถไฟ. พระนคร: โรงพิมพ์ออมสิน. [พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ นางแพ สุขสุภา และนายสมนึก สุขสุภา ณ วัดไตรมิตต์วิทยาราม วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2484]ที่มาของภาพ:- ภาพฟิล์มกระจก ภาพชุดหอพระสมุดวชิรญาณ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติhttps://archives.nat.go.th/th-th/- Bernard-Philippe Groslier photo collection https://collection.efeo.fr/ws/web/app/report/les-fonds.html#วัดจุฬามณี #พี่โข๋ทัยมีเรื๋องเล๋า #ภาพฟิล์มกระจก
เลขทะเบียน : นพ.บ.160/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 96 (27-34) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : ปริวารปาลิ(ปาลีปริวาน) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
ชบ.บ.40/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
มหานิปาตวณฺณนา(ทสชาติ) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (สุวณฺณสาม,มโหสถ,วิธูร,เนมิราชชาตก)
ชบ.บ.105.7ข/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.331/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 131 (338-342) ผูก 2 (2565)หัวเรื่อง : มิลินฺทปญฺหา(พระยามิลินทะ)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
พระพุทธรูปสำริดปางแสดงธรรม พบจากโบราณสถานหมายเลข ๑๔ (บ้านศรีสรรเพชญ์ ๓) เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ อาคารจัดแสดง ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
พระพุทธรูปนั่ง หน้าตักกว้าง ๑๕ เซนติเมตร สูง ๒๒ เซนติเมตร พระรัศมีเป็นลูกแก้ว อุษณีษะเป็นปุ่มนูน เม็ดพระศกกลมใหญ่ พระกรรณยาว พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่งต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรโปนเหลือบต่ำ พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์แย้มเล็กน้อย พระโอษฐ์ล่างหนา ครองจีวรเรียบห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา จีวรบางแนบพระวรกาย เห็นขอบสบงเป็นเส้นนูนบริเวณบั้นพระองค์ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระกรขวายกขึ้นเสมอบั้นพระองค์ พระหัตถ์ขวาหักหายไป สันนิษฐานว่าแสดงวิตรรกมุทราหรือปางแสดงธรรม นั่งขัดสมาธิราบ โดยพระชงฆ์ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย เห็นฝ่าพระบาทขวา
พระพุทธรูปองค์นี้มีรูปแบบศิลปกรรมที่แสดงถึงความเป็นพื้นเมืองทวารวดีอย่างแท้จริง ได้แก่ การแสดงวิตรรกมุทรา ซึ่งนิยมมากในสมัยทวารวดีพบทั้งพระพุทธรูปยืนและพระพุทธรูปนั่ง และลักษณะพระพักตร์ที่มีพระขนงโก่งต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรโปน แย้มพระโอษฐ์ พระโอษฐ์ล่างหนา ทั้งนี้ยังปรากฏพระรัศมีเป็นลูกแก้ว แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบปาละ จึงกำหนดอายุพระพุทธรูปองค์นี้ในสมัยทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ หรือประมาณ ๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว
อนึ่ง นอกจากพระพุทธรูปองค์นี้แล้ว ยังพบพระพุทธรูปศิลปะทวารวดี ซึ่งแสดงวิตรรกมุทราด้วยพระหัตถ์ขวา เช่น พระพุทธรูปสำริดนั่งขัดสมาธิ พบจากเจดีย์หมายเลข ๑๓ เมืองโบราณอู่ทอง พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทสลักจากหินสีขาว พบจากวัดพระเมรุ เมืองนครปฐมโบราณ และพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทที่ถ้ำฤๅษีเขางู จังหวัดราชบุรี เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
เด่นดาว ศิลปานนท์. โบราณสถานบ้านศรีสรรเพชญ์ ๓ ปริศนาวิหารถ้ำเมืองอู่ทอง. กรุงเทพ : อรุณการ พิมพ์, ๒๕๕๙.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.