ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
องค์ความรู้จากอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย เรื่อง พระพุทธรูปลีลา ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงจัดทำข้อมูลโดย นางสาวมณฑกาญจน์ อินทร์ทอง นักโบราณคดีปฏิบัติการ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง เรื่อง ศาลเจ้าแสงธรรมภูเก็ตกับการปรากฏสัญลักษณ์มงคลจีน
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (วิภังค์-มหาปัฏฐาน)
สพ.บ. 377/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง ธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทย-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
#วัดจุฬามณี๖ #การศึกษาที่ผ่านมาเกี่ยวกับพระปรางค์วัดจุฬามณี๑ การก่อสร้างพระปรางค์ประธานวัดจุฬามณีไม่มีประวัติระบุไว้ชัดเจน บ้างว่าอาจจะสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงที่อาณาจักรเขมรโบราณปกครองพื้นที่ภาคกลาง หรือเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปัจจุบันมีนักวิชาการเสนอแนวคิด เรื่องอายุสมัยการสร้างพระปรางค์วัดจุฬามณีไว้ ๒ ช่วง คือ กลุ่มแรกเชื่อว่าสร้างในช่วงพุทธศตวรรษ ๑๖ – ๑๘ ช่วงที่ภาคกลางอยู่ภายใต้อิทธิพลอาณาจักรเขมร ส่วนอีกกลุ่มเห็นว่าสร้างเมื่อสมัยอยุธยาตอนต้น ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียด เรียงลำดับตามพัฒนาการของแนวความคิดต่อไปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (๒๔๕๑) ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในเรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง” เมื่อครั้งเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จประพาสเมืองพิษณุโลก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๐ ทรงมีความเห็นในแนวทางเดียวกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเสนอว่า พระปรางค์วัดจุฬามณีเป็นของมีอยู่แต่เดิม ก่อนที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะมาปฏิสังขรณ์ในเวลาต่อมา ดังนี้ “...ในเวลานี้ในวัดจุฬามณียังมีที่ดูได้มาก ของควรดูล้วนอยู่ในลานอันหนึ่ง กว้าง ๑ เส้น ๔ วา ยาว ๒ เส้น ๑๗ วา มีกำแพงแก้วก่อด้วยอิฐสูงประมาณ ๒ ศอก กลางลานมีพระปรางค์ใหญ่ก่อด้วยแลงทางด้านตะวันตกมีอุโบสถก่อด้วยอิฐ ด้านตะวันออกมีวิหารใหญ่ ผนังอิฐแต่เสาเป็นแลง ต่อวิหารออกไปทางมุมลานด้านตะวันออกเฉียงเหนือมีมณฑป ที่ผนังหลังมณฑปมีแผ่นศิลาจารึที่กล่าวถึงแล้วข้างบนนี้ มีซุ้มและกรอบสำหรับศิลานั้นด้วย สังเกตดูสันนิษฐานได้ว่าวัดนี้เป็นวัดโบราณ มีอยู่แต่ก่อนสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๆ ได้มาทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น และทำพระวิหารเพิ่มเติมขึ้น พระเจดีย์กลางนั้นคงเป็นของมีอยู่แต่เดิม...” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (๒๔๖๔) ทรงเสนอว่า พระปรางค์วัดจุฬามณีเดิมเป็นเทวสถานของขอม ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถให้เปลี่ยนจากเทวสถานมาเป็นพระปรางค์ดังที่เห็นในปัจจุบัน รายละเอียดตามที่ปรากกฎในหนังสือเรื่อง “เที่ยวตามทางรถไฟ” ดังนี้“วัดจุฬามณีอยู่ริมน้ำฝั่งตะวันออก ใต้เมืองพิษณุโลกลงไปทางเรือสัก ๘ กิโลเมตร วัดนี้สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ทรงสร้าง เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๗ สร้างตรงที่เมืองเดิมแต่ครั้งขอมแปลงเทวสถานของขอมเป็นพระปรางค์ ระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหารหลวง”ภาพถ่ายเก่าพระปรางค์วัดจุฬามณีเท่าที่สืบค้นได้ น่าจะเป็นภาพฟิล์มกระจกที่ถ่ายเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๔๕๐ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จที่วัดจุฬามณี จากนั้นจึงได้ตีพิมพ์ภาพลงในหนังสือเที่ยวเมืองพระร่วง ส่วนภาพฟิล์มกระจกอื่น ๆ ไม่สามารถระบุปีได้ แต่น่าจะถ่ายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน จากภาพจะเห็นได้ว่า พระปรางค์แต่เดิมนั้นส่วนยอดพังลงมากองอยู่บนพื้นดินด้านทิศใต้ขององค์ปรางค์ในส่วนของชุดภาพฟิล์มเนกาทีฟขาวดำที่ถ่ายโดย Bernard-Philippe Groslier นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสแห่งสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐ เป็นภาพถ่ายหลังจากพระปรางค์วัดจุฬามณี ได้รับการขุดแต่งบูรณะเสริมความมั่นคงโดยกรมศิลปากรแล้ว เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๘ - ๒๔๗๙ จะเห็นว่าดินและเศษอิฐที่ทับถมอยู่บริเวณฐานด้านทิศใต้ของปรางค์ได้ขุดแต่งออกไปแล้ว แต่ส่วนยอดที่หักพังลงมายังไม่รับการบูรณะนำขึ้นไปติดตั้งไว้ยังตำแหน่งเดิมแล้วดังสภาพที่เห็นในปัจจุบันเอกสารอ้างอิง:มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2451). เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง. พระนคร: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ.ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. (2484). เที่ยวตามทางรถไฟ. พระนคร: โรงพิมพ์ออมสิน. [พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ นางแพ สุขสุภา และนายสมนึก สุขสุภา ณ วัดไตรมิตต์วิทยาราม วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2484]ที่มาของภาพ:- ภาพฟิล์มกระจก ภาพชุดหอพระสมุดวชิรญาณ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติhttps://archives.nat.go.th/th-th/- Bernard-Philippe Groslier photo collection https://collection.efeo.fr/ws/web/app/report/les-fonds.html#วัดจุฬามณี #พี่โข๋ทัยมีเรื๋องเล๋า #ภาพฟิล์มกระจก
เลขทะเบียน : นพ.บ.160/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 96 (27-34) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : ปริวารปาลิ(ปาลีปริวาน) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
ชบ.บ.40/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
มหานิปาตวณฺณนา(ทสชาติ) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (สุวณฺณสาม,มโหสถ,วิธูร,เนมิราชชาตก)
ชบ.บ.105.7ข/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.331/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 131 (338-342) ผูก 2 (2565)หัวเรื่อง : มิลินฺทปญฺหา(พระยามิลินทะ)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
พระพุทธรูปสำริดปางแสดงธรรม พบจากโบราณสถานหมายเลข ๑๔ (บ้านศรีสรรเพชญ์ ๓) เมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ อาคารจัดแสดง ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
พระพุทธรูปนั่ง หน้าตักกว้าง ๑๕ เซนติเมตร สูง ๒๒ เซนติเมตร พระรัศมีเป็นลูกแก้ว อุษณีษะเป็นปุ่มนูน เม็ดพระศกกลมใหญ่ พระกรรณยาว พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่งต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรโปนเหลือบต่ำ พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์แย้มเล็กน้อย พระโอษฐ์ล่างหนา ครองจีวรเรียบห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา จีวรบางแนบพระวรกาย เห็นขอบสบงเป็นเส้นนูนบริเวณบั้นพระองค์ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระกรขวายกขึ้นเสมอบั้นพระองค์ พระหัตถ์ขวาหักหายไป สันนิษฐานว่าแสดงวิตรรกมุทราหรือปางแสดงธรรม นั่งขัดสมาธิราบ โดยพระชงฆ์ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย เห็นฝ่าพระบาทขวา
พระพุทธรูปองค์นี้มีรูปแบบศิลปกรรมที่แสดงถึงความเป็นพื้นเมืองทวารวดีอย่างแท้จริง ได้แก่ การแสดงวิตรรกมุทรา ซึ่งนิยมมากในสมัยทวารวดีพบทั้งพระพุทธรูปยืนและพระพุทธรูปนั่ง และลักษณะพระพักตร์ที่มีพระขนงโก่งต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรโปน แย้มพระโอษฐ์ พระโอษฐ์ล่างหนา ทั้งนี้ยังปรากฏพระรัศมีเป็นลูกแก้ว แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบปาละ จึงกำหนดอายุพระพุทธรูปองค์นี้ในสมัยทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ หรือประมาณ ๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว
อนึ่ง นอกจากพระพุทธรูปองค์นี้แล้ว ยังพบพระพุทธรูปศิลปะทวารวดี ซึ่งแสดงวิตรรกมุทราด้วยพระหัตถ์ขวา เช่น พระพุทธรูปสำริดนั่งขัดสมาธิ พบจากเจดีย์หมายเลข ๑๓ เมืองโบราณอู่ทอง พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทสลักจากหินสีขาว พบจากวัดพระเมรุ เมืองนครปฐมโบราณ และพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทที่ถ้ำฤๅษีเขางู จังหวัดราชบุรี เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
เด่นดาว ศิลปานนท์. โบราณสถานบ้านศรีสรรเพชญ์ ๓ ปริศนาวิหารถ้ำเมืองอู่ทอง. กรุงเทพ : อรุณการ พิมพ์, ๒๕๕๙.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.
ชื่อเรื่อง : ปัญญาสชาดก ภาคที่ 5 สุวรรณกุมารชาดก
ชื่อผู้แต่ง :
ปีที่พิมพ์ : 2478
สถานที่พิมพ์ : พระนคร
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์
จำนวนหน้า : 72 หน้า
สาระสังเขป : ปัญญาสชาดก เป็นวรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่พระสงฆ์ชาวเชียงใหม่ได้รวบรวมนิทานพื้นเมือง และแต่งเป็นชาดกในภาษามคธ มีคำประพันธ์เป็นคาถาและร้อยแก้ว รวมทั้งสิ้น 50 ชาดก เนื้อเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพระบารมีในอดีตชาติ หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงปัญญาสชาดกในภาคที่ 5 เรื่อง สุวรรณกุมารชาดก ว่าด้วยพระโพธิสัตว์เกิดเป็นโอรสของพระเจ้ามหาภัตราชในเมืองสาวัตถีมีพระนามว่าสุวรรณกุมาร เกียรติคุณของสุวรรณกุมารขจรกระจายไปจนรู้ไปถึงพระเจ้าสิงหล พระเจ้าสิงหลมีความอิจฉาและถูกความโลภครอบงำอยากได้สมบัติของสุวรรณกุมารจึงได้ยกทัพมาทำสงครามแต่ก็สู้สุวรรณกุมารไม่ได้ ในที่สุดก็พ่ายแพ้และตั้งอยู่ในโอวาทของสุวรรณกุมารเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
. เนื่องในวันที่ ๑ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เพื่อเป็นการรำลึกถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในด้านการจัดการพิพิธภัณฑ์ มาฝากแฟนเพจทุกท่านค่ะ /// พระราชประวัติ ///. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประสูติเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๕๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม โดยมีพระอิสริยยศคือ "พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร"/// ทรงเริ่มสนพระทัยในงานโบราณคดี ///. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสนพระทัยเกี่ยวกับวิชาการโบราณคดีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงเริ่มศึกษาโบราณคดีและเริ่มสนพระทัยในเรื่องเครื่องรางของขลังตั้งแต่ทรงผนวชเป็นสามเณร พระภารกิจทางโบราณคดีที่ทรงทำอย่างแท้จริงนั้น อยู่ในช่วงที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๕ - ๒๔๕๘ ซึ่งต้องเสด็จทอดพระเนตรออกตรวจราชการตามหัวเมืองต่างๆ อยู่เป็นประจำ ทำให้พระองค์ได้พบเห็นเมืองโบราณ และโบราณสถาน โบราณวัตถุที่ถูกทิ้งร้างซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยพระทัยรัก ในงานโบราณคดี พระองค์จึงทรงบันทึกเรื่องราวต่างๆที่ได้พบเห็นไว้ แล้วนำมาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม /// การจัดการด้านพิพิธภัณฑ์ ///. จากที่กล่าวมาว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จออกตรวจราชการ ทรงพบโบราณวัตถุจำนวนมากที่เป็นหลักฐานที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย ถูกทิ้งอยู่ตามเมืองโบราณต่างๆ ทรงเก็บรวบรวมโบราณวัตถุเหล่านั้นมาเก็บรักษาไว้ โดยในขั้นแรกทรงให้เก็บรักษาไว้ ณ กระทรวงมหาดไทยก่อน และเมื่อทรงดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภาก็ได้นำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานวังหน้า (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครในปัจจุบัน) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานวังหน้าให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ อีกทั้งยังประทานของส่วนพระองค์ให้ไปจัดแสดงด้วย ในการจัดแสดง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นผู้ควบคุมการจัดด้วยพระองค์เองโดยตลอด เมื่อทรงจัดแล้ว ก็ทรงฝึกคนให้มีความรู้ โดยถ่ายทอดวิชาการโบราณคดีและวิชาการพิพิธภัณฑสถานจากพระองค์ ผู้ที่ได้รับการฝึกสอนในขั้นแรกนั้น คือ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ คณบดีคนแรกของคณะโบราณคดี. สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีความรักและห่วงใยในพิพิธภัณฑสถานนี้มาก คราวที่พระองค์ต้องเสด็จไปอยู่ปีนัง ได้รับสั่งถึงหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ว่า “ฉันรักหลวงบริบาลฯ เท่าไร หลวงบริบาลฯ ทราบอยู่แล้ว ถ้ารักฉันตอบ ขอให้พยายามบำรุงรักษาพิพิธภัณฑสถานซึ่งเป็นของรักของฉันให้ถาวรต่อไป ดีกว่าสนองคุณด้วยประการอย่างอื่น”(ลายพระหัตถ์ถึงหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๘). สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพสิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๘๖ ด้วยโรคพระหทัยพิการ“””””””””””””””””””””””””””””””””””””. จะเห็นได้ว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีคุณูปการต่อประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทยอย่างมาก จนได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และนอกจากนี้ยังทรงได้รับการถวายพระนามเป็น "พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย" โดยกำหนดให้วันที่ ๑ ธันวาคมของทุกปี เป็น "วันดำรงราชานุภาพ" ค่ะ แล้วพบกันใหม่ในองค์ความรู้รอบหน้านะคะ --------------------------เอกสารอ้างอิงจิรัสสา คชาชีวะ. (2555). “โบราณคดีจากลายพระหัตถ์” ใน ๑๕๐ ปี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับพัฒนาการโบราณคดีไทย. กรุงเทพฯ: ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, หน้า 57-75.ดำรงราชานุภาพ.”ลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพถึง ศาสตราจารย์หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์, สกุลบริบาลบุรีภัณฑ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๕. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ ร.ส.พ., ๒๕๒๙, หน้า ๑๒.------------------------------------------พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น.e-mail: cm_museum@hotmail.comสอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผ่านกล่องข้อความ หรือ โทรศัพท์ : 053-221308For more information, please leave your message via inbox or call: +66 5322 1308+
เรียบเรียง : เด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ
สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
50Royalinmemory ๑๒ เมษายน ๒๔๔๘ (๑๑๗ ปีก่อน) – วันประสูติหม่อมเจ้าศรีสอางค์นฤมล วรวรรณ
พระธิดาในเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมอินทร์ เป็นพระชายาในหม่อมเจ้าลักษณกร เกษมสันต์ พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ สิ้นชีพิตักษัยวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ พระชันษา ๙๓ ปี
Cigarette Cards ชุดเจ้านายไทย (๑ สำรับ ประกอบด้วย พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปเขียนคล้ายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์บนแผ่นกระดาษ จำนวน ๕๐ รูป) ลำดับที่ ๔๓ โดยบริษัท ยาสูบซำมุ้ย จำกัด (SUMMUYE & CO) ผลิตราวปี พ.ศ. ๒๔๗๗ (หมายเลขทะเบียน ๒/๒๕๑๖/๑) มีประวัติระบุว่า คุณหลวงฉมาชำนิเขต มอบให้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖
(เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร)