ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,342 รายการ


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.16/1-6 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 27 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 45 (ต่อ) ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2511 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภาจำนวนหน้า : 340 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดารเป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องเก่าๆ ที่มีสาระและคำอธิบายของผู้มีความรู้ในวิชาดังกล่าวไว้โดยละเอียด โดยประชุมพงศาวดารเล่ม 27 ภาคที่ 45 เล่มนี้ เป็นการอธิบายเรื่องทูตไทยไปประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2400



พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำดยุคโยฮันอัลเบิร์ตแห่งเม็คเคลนบวร์ก เสด็จขึ้นพลับพลา เพื่อทอดพระเนตรการตรวจพลสวนสนามของทหารในกรุงเทพฯ วันที่ ๒๙ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒)      สารคดี ๑๑๒ ปี ไพรัชไมตรี ณ เมืองเพชรบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี ตอนที่ ๗ การรับเจ้า และเสด็จเมืองเพชรบุรี     การเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรีของดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ผู้สำเร็จราชการเมืองบรันซวิก และดัชเชสอลิสซาเบธ สโตลเบิร์ก รอตซาลา พระชายา มีรายละเอียดอยู่ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๖ วันที่ ๖ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘        เรื่อง “การรับดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์ ผู้สำเร็จราชการ เมืองบรันซวิก”  ดังนี้“การรับดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์  ผู้สำเร็จราชการเมืองบรันซวิก .................................................................      ดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์เมืองเมกเคลนเบิกชเวริน ซึ่งเปนพระอาว์ของแกรนดุ๊กเมกเคลนเบิกชเวรินองค์ประจุบันนี้ เคยเข้ามาเฝ้าที่กรุงเทพฯประมาณ ๒๗ ปีมาแล้ว ครั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนิรประพาศยุโรปครั้งแรก ได้เปนริเยนต์ผู้สำเร็จราชการเมืองชเวริน ในเวลาที่แกรนดุ๊กพระหลานยังเยาว์ ได้เชิญเสด้จพระราชดำเนิรเยี่ยมเมืองชเวริน เสด็จประทับอยู่ใน            พระราชวังเมืองชเวรินเปนหลายราตรี ได้จัดการรับเสด็จโดยความจงรักภักดีเปนอันมาก ครั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนิรประพาศยุโรปครั้งนี้ประจวบเวลาซึ่งดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์ได้รับตำแหน่งเปนริเยนต์ผู้สำเร็จราชการเมืองบรันซวิก เชิญเสด็จพระราชดำเนิรไปประทับในพระราชวังเมืองบรันซวิกหลายราตรี ได้จัดการรับเสด็จโดยความจงรักภักดีอีกครั้งหนึ่ง ได้ทรงสนิทคุ้นเคยกับดุ๊กทั้งสามคราวที่ได้เฝ้าแลประทับอยู่ด้วยนั้น ดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์แลดัชเชสอิลิซาเบตพระชายาซึ่งได้ทรงคุ้นเคยเหมือนพระสามี ได้กำหนดว่าจะเข้ามาเฝ้าเยี่ยมตอบถึงกรุงเทพฯ ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนิรประพาศครั้งแรกกับครั้งหลัง ถึงสองคราว แต่ผเอิญดัชเชสพระชายาประชวรมากทั้งสองคราวไม่เปนปรกติ จนเลยสิ้นพระชนม์เสียเมื่อปีกลายนี้ บัดนี้ดุ๊กโยฮันอัลเบรกต์เห็นเปนช่องที่จะเข้ามาเฝ้าเยี่ยมตอบถึงกรุงเทพฯ ได้ จึงกำหนดจะออกจากเมืองเยนัววันที่ ๓๐ เดือนธันวาคมตรงมายังกรุงเทพฯ และจะพาปรินเซสอลิซาเบตสโตลเบิกรอซซะลา ซึ่งทรงกระทำอาวาหมงคลใหม่มาเยี่ยมกรุงสยามเปนเมืองแรกด้วย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการรับรองอย่างพระราชสัมพันธมิตร์อันได้คุ้นเคยกันนั้น กำหนดดุ๊กจะถึงกรุงเทพฯ วันที่ ๒๖ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๘..."      ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มกราคม ถึงวันที่ ๓๐ มกราคม เป็นการจัดรับเสด็จดยุคโยฮันอัลเบิร์ต และคณะอยู่ในพระนคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรอรับดยุคฯ ที่ท่าราชวรดิฐ และทรงพาไปยังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่ง ณ ที่นั้นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าฝ่ายใน รอรับเสด็จอยู่ ก่อนจะทรงพาดยุคฯ และคณะไปยังพระราชวังสวนดุสิต โปรดเกล้าฯ ให้ประทับที่อุดรภาค อันตั้งอยู่ต่อเนื่องกันกับพระที่นั่งอัมพรสถาน      การรับเสด็จในพระนครประกอบด้วย การนำดยุคฯและคณะทอดพระเนตรสถานที่สำคัญ อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ช้างเผือกยืนโรงในพระบรมมหาราชวัง เรือพระที่นั่งไชย เรือพระที่นั่งศรี และเรือพระที่นั่งกราบพายถวายทอดพระเนตรที่ท่าวาสุกรี ทอดพระเนตรวัดอรุณราชวรารามและประทับเรือพระที่นั่งทอดพระเนตรคลองบางกอกน้อย คลองบางกอกใหญ่ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการสวนสนามของทหารในกรุงเทพฯ ที่สนามหน้าพระราชวังดุสิต และจัดให้มีการซ้อมรบของทหารที่บริเวณทุ่งพญาไทจัดถวายดยุคฯ ทอดพระเนตร   ในช่วงกลางคืนมีการเลี้ยงรับรอง ทั้งงานเต็มยศที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และวังเจ้านายเช่น วังบางขุนพรหม และยังจัดให้มีการทอดพระเนตรละครปรีดาลัย ซึ่งเป็นนิยมอย่างมากในขณะนั้น รวมถึงทอดพระเนตรงานวัดเบญจมบพิตรอันเป็นงานใหญ่ของพระนครอีกด้วย      ครั้นถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ดยุคโยฮันอัลเบิร์ต ดัชเชสอลิสซาเบธ รอตซาลา พระชายา และคณะ เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองเพชรบุรี ซึ่งมีรายละเอียดในราชกิจจานุเบกษา ดังนี้    "...วันที่ ๓๑ มกราคม เวลาเช้า ๕ โมงครึ่ง เจ้าเสด็จโดยรถยนตร์ไปเสด็จลงเรือยนตร์ที่ท่าวาสุกรี นายพลตรีพระยาสุรเสนา กับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร ตามเสด็จไปส่งเจ้าที่สถานีบางกอกน้อย เสด็จขึ้นรถไฟไปประพาศเมืองเพ็ชร์บุรี ถึงเมืองเพ็ขร์บุรีเวลาบ่าย ๔ โมง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสด็จล่วงน่ามาคอยรับเจ้าเสด็จโดยรถยนตร์ไปเสด็จขึ้นเก้าอี้หาม ขึ้นพักบนพระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์บนพระนครคีรี      เวลา ๒ ทุ่ม เสวยบนพระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์ เวลา ๔ ทุ่มทอดพระเนตร์การจุดดอกไม้เพลิง แล้วเสด็จขึ้น      วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ เวลาเช้าโมงครึ่ง เจ้าเสด็จทอดพระเนตร์ยอดพระเจดีย์แลถ้ำเพิงถ้ำพัง เวลา ๓ โมงเช้า เสด็จกลับเสวยเช้าที่พระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์ เวลาบ่ายโมงหนึ่งเสวยกลางวัน      เวลาบ่าย ๔ โมงครึ่ง เสด็จออกรับราษฎรแลทอดพระเนตร์สรรพกีฬา แล้วเสวยน้ำชาบนพลับพลาที่ชายเขา เวลา ๒ ทุ่มเสวยที่พระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์       วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ เวลาเช้าโมงครึ่ง เสด็จทอดพระเนตร์วัดพระนอน แล้วเสด็จโดยรถยนตร์ไปที่เขาบรรไดอิฐ ประพาศในถ้ำเขาบรรไดอิฐแล้ว เสด็จโดยรถยนตร์ถึงบ้านปืน เสวยอาหารที่พลับพลาบ้านปืน เสวยแล้วเสด็จลงประทับเรือแม่ปะขึ้นไปตามลำแม่น้ำ เวลาเที่ยงเสด็จกลับ เรือล่องลงมาขึ้นที่ท่าหลังจวนเมืองเพ็ชร์บุรี เสด็จทรงรถยนตร์ขึ้นไปบนพระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์ เวลาบ่ายประพาศบนเขาแล้วทอดพระเนตร์กัดปลา เวลา ๒ ทุ่มเสวยอาหารค่ำที่พระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์      วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ เวลาเช้าเสด็จโดยกระบวนรถม้าจากเชิงเขาเสด็จประพาศถ้ำเขาหลวง แล้วถ่ายรูปหมู่ในระหว่างทางถนนรถไฟ ประพาศในถ้ำเขาหลวง ถ่ายรูปหมู่ในถ้ำเขาหลวงแลถ่ายรูปเฉภาะเจ้าชายกับเจ้าหญิงในถ้ำเขาหลวงด้วย แล้วเสด็จกลับโดยรถยนตร์ไปลงเรือข้ามฟาก เสด็จทอดพระเนตร์วัดสุวรรณารามแล้วเสด็จกลับพระที่นั่งเพ็ชร์ภูมิ์ไพโรจน์ เวลาบ่าย ๔ โมงครึ่ง ถ่ายรูปหมู่ที่เชิงอัฒจันท์พระที่นั่ง บ่าย ๕ โมงทอดพระเนตร์จุดลูกหนูที่พลับพลาเชิงเขาแล้วเสวยน้ำชา ที่นั้น เวลาพลบค่ำเสด็จโดยรถยนตร์ประพาศบ้านลาวเวียงคอยทอดพระเนตร์การส่งของ แลรับของถวายของพวกทรงดำ แล้วเสด็จกลับมาขึ้นพระนครคีรี เวลา ๒ ทุ่มเสวยบนพระที่นั่งเพ็ชรภูมิ์ไพโรจน์       วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ เวลาเช้างโมงเศษ เสด็จออกจากพระนครคีรีโดยรถยนตร์ ผ่านตลาดในเมือง เสด็จขึ้นรถไฟที่สถานี รถไฟออกจากสถานีเมืองเพ็ชร์บุรีเวลาเช้า ๒ โมง เสวยอาหารเช้าในรถไฟ เวลาเที่ยงถึงสถานีบางกอกน้อย เสด็จประทับเรือยนตร์มาเสด็จขึ้นรถพระที่นั่งกลับพระราชวังดุสิต...”                 หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม  ดิศกุล ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในระหว่างที่ดยุคโยฮันอัลเบิร์ตและพระชายาประทับอยู่ที่เมืองเพชรบุรี ความว่า  “...ในเวลาที่เจ้าประทับอยู่ที่เมืองเพชรบุรี เวลาเสด็จไปไหน ประพาสที่ไหน ข้าพเจ้าต้องไปด้วยทุกแห่ง จนเป็นที่คุ้นเคยกับดุ๊กแลดัชเชสส์มาก ดุ๊กได้ประทานกลักลงยาบรรจุขวด ๓ ใบแก่ข้าพเจ้า ส่วนหญิงพูนประทานตลับลงยา ๑ ใบ เสด็จพ่อทรงจัดไม้เท้าศีรษะทองคำให้ข้าพเจ้าถวายดุ๊กแลกระเช้าเงินให้ดัชเชสส์ ดุ๊กทรงถือไม้เท้าที่เสด็จพ่อถวายเสมอ เรือแม่ปะที่เจ้าเสด็จลง เสด็จพ่อประทานชื่อว่าเรือบรันซวิก เมื่อเสด็จเที่ยวบ้านลาวคอย เขาเล่นดนตรีถวายโดยเฉพาะเลือกเอาเพลง “ดิเฮนริบไบรท์” ซึ่งเป็นเพลงฝรั่ง เราออกจะอายเขา ที่พวกลาวโซ่งแกอวดว่าแกเล่นเพลงฝรั่งได้ดุ๊กตรัสถามว่าชื่อเพลงอะไร พวกลาวก็ทูลว่าเป็นเพลงฝรั่ง เราก้ต้องพูดว่าเป็นเพลงฝรั่ง ตอนเสด็จเที่ยวเขาหลวงต้องขี่ม้ากันทุกคน ข้าพเจ้าขี่อานไขว้ไม่เป็น ต้องขึ้นอานคร่อมเพราะเคยหัดขี่อย่างนั้น ดัสเชสส์ทรงอานไขว้รู้สึกว่าออกจะเหนื่อยมาก ในการรับเจ้าที่เมืองเพชรบุรี เวลาไปเที่ยวหรือเสวยบนพระที่นั่งก็ต้องไปร่วมโต๊ะเสวยด้วยทุกที กลับมาที่พักต้องดูการจัดดอกไม้ทุกวัน...”      พระยาอานุภาพไตรภพ (จำรัส  เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา) ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยแห่งจักรวรรดิเยอรมัน ขณะนั้นรับราชการเป็นนายร้อยเอก ราชองครักษ์พิเศษในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในบรรดาศักดิ์ที่ หลวงอภิบาลภูวนารถ ได้รับพระบรมโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์ดยุคโยฮันอัลเบิร์ต และพระชายา ได้บันทึกไว้สั้นๆ ถึงเหตุการณ์คราวนั้นว่า  “...ในคราวที่ดุ๊กและดัชเช็สโยฮันอัลเบร็ชแห่งบรันสวิกประเทศเยอรมันนี เข้ามาเยี่ยมพระราชสำนักสยาม โปรดเกล้าฯ ให้ร้อยตรีจำรัสเป็นราชองครักษ์พิเศษ มีหน้าที่ชั้นต้นเป็นองครักษ์ประจำเจ้าทั้งสององค์ตลอดเวลา... และพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ประดับตราไฮริชแดร์ลือเวของแคว้นบรันสวิคได้ด้วย...”   ภาพประกอบ ลิขสิทธิ์เป็นของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ดยุคโยฮันอัลเบิร์ตฯ ดัชเชสอลิสซาเบธรอตซาลา พระชายา หม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม และหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พันโท หลวงจัตุรงควิไชย (เตี้ยม บุนนาค) ร้อยเอก หลวงอภิบาลภูวนารถ (จำรัส เทพหัสดิน ณ อยุธยา) พร้อมด้วยคณะของดยุคฯ ฉายร่วมกันด้านหน้าถ้ำเพิง ถ้ำพัง บนเขามหาสวรรค์ เมืองเพชรบุรี วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒)คณะของดยุคโยฮันอัลเบิร์ตและพระชายา พร้อมด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ขณะกำลังเดินทางด้วยกระบวนม้า จากพระนครคีรีไปยังถ้ำเขาหลวง วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒)ดัชเชสอลิสซาเบธ รอตซาลา และดยุคโยอันอัลเบิร์ต ขณะกลำังเสด็จขึ้นรถไฟพระที่นั่ง ที่สถานีรถไฟเพชรบุรี มีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ และพระธิดาทั้งสอง พร้อมด้วยทหารกองเกียรติยศ แตรวง ธงประจำกองตลอดจนข้าราชการกรมการเมืองเพชรบุรี ส่งเสด็จ เช้าวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ รัตนโสกินทรศก ๑๒๘ (พุทธศักราช ๒๔๕๒)


ชื่อเรื่อง                               วินัยฮอม(วินัยฮอม) สพ.บ.                                  404/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           30 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           ชาดก                                           เทศน์มหาชาติ                                           คาถาพัน บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายเกษม ปัณฑรางกูร ณ เมรุวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฏิ์ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๒ 



          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดแสดงนิทรรศการพิเศษ เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย เรื่อง "เครื่องถ้วยเวียงแก้ว จากวัตถุสู่พัฒนาการวังหลวงแห่งเวียงเชียงใหม่" เปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ ๑ กันยายน - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔           นิทรรศการในครั้งนี้ ได้นำเอาเครื่องถ้วยที่ได้จากการขุดค้นพบในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ มาจัดลำดับตามอายุสมัยของเครื่องถ้วย เทียบกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเวียงแก้วจากหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ นำเสนอในรูปแบบของไทม์ไลน์ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าใจบริบทของเครื่องถ้วยที่พบในเวียงแก้วได้มากยิ่งขึ้น โดยได้รวบรวมเครื่องถ้วยที่พบจากการขุดค้นในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้ว ทั้งเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง และสมัยสาธารณรัฐจีน เครื่องถ้วยจากญี่ปุ่นและเวียดนาม รวมถึงเครื่องถ้วยจากแหล่งเตาในภาคเหนือที่ร่วมสมัยกับอาณาจักรล้านนา นำมาจัดแสดงให้ผู้สนใจได้เข้าชม ทั้งนี้ การจัดแสดงมีป้ายอธิบายข้อมูลเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษตลอดนิทรรศการภาพ : เครื่องถ้วยจีนจากราชวงศ์หยวน (ซ้ายมือ) และราชวงศ์ชิง (ขวามือ)ภาพ : เครื่องถ้วยจีนราชวงศ์หมิงภาพ ; เครื่องถ้วยจีนสมัยสาธารณรัฐ (ซ้าย) และเครื่องถ้วยจากเวียดนามและญี่ปุ่น (ขวา)ภาพ : เครื่องถ้วยจากแหล่งเตาในล้านนาและภาคเหนือ          ขอเชิญชวนผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เข้าชมนิทรรศการพิเศษ “เครื่องถ้วยเวียงแก้ว จากวัตถุสู่พัฒนาการวังหลวงแห่งเวียงเชียงใหม่” ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ อาคารจัดแสดงชั้น ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (ปิดทุกวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) สอบถามเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผ่านกล่องข้อความ Facebook Fanpage : Chiang Mai National Museum พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ หรือ โทรศัพท์ ๐ ๕๓๒๒ ๑๓๐๘ภาพ : กุณฑี (คนโท) และภาชนะดินเผาเนื้อดินชนิดอื่นๆ ที่พบในแหล่งโบราณคดีเวียงแก้วภาพ : ครกดินเผา ครกหิน และสาก




เรือคลองท่อม พบในแหล่งโบราณคดีคลองท่อม หรือที่ใครหลายคนรู้จักในชื่อ “ควนลูกปัด” จ.กระบี่ แหล่งโบราณคดีแห่งนี้สันนิษฐานว่าในอดีตเคยเป็นเมืองท่าขนถ่ายสินค้า ดังนั้นการพบซากเรือจมบริเวณนี้จึงมีความสอดคล้องกับสภาพของแหล่ง ความพิเศษของเรือลำนี้คือการต่อเรือโดยไม่ใช้ตะปูสักตัวครับ แต่ใช้เทคนิคของการแกะสลักไม้กระดานเรือเป็นลักษณะสันนูนเจาะรูทะลุถึงกัน แล้วใช้เชือกและลิ่มไม้เป็นตัวยึดโครงสร้างเรือทั้งหมดเข้าด้วยกันเทคนิคแบบนี้ถูกเรียกว่า “Lashed-Lug” เป็นลักษณะของเรือที่พบได้ทั่วไปแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบมากในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงเรือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏในบันทึกของชาวจีนราวพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๒ ลักษณะเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ใช้ชื่อเรียกว่า “K’un-lun po” เรือลำดังกล่าวใช้เทคนิคการต่อเรือโดยไม่ใช้ตะปูโลหะ แต่ใช้เชือกที่ทำจากใยมะพร้าวและตะปูไม้ยึดแผ่นไม้กระดานเข้าหากัน สามารถบรรทุกคนได้ราว ๕๐๐-๑,๐๐๐ คน มีขนาดความยาวกว่า ๕๐ เมตร และมีระวางสินค้าตั้งแต่ ๒๕๐-๑,๐๐๐ ตัน ส่วนบันทึกของชาวยุโรปโดยหลวงพ่อ Nicolau Perreira เขียนเมื่อคริสตศักราช ๑๕๘๒ หรือพุทธศตวรรษที่ ๑๖ บรรยายลักษณะของเรือขนส่งสินค้าบริเวณหมู่เกาะชวา ในบันทึกใช้คำเรียก จังโก “Junco” กล่าวว่าเรือบางลำนั้นมีขนาดใหญ่เทียบเท่าเรือ Naus ของโปรตุเกส และไม่ใช้ตะปูเหล็กในการตอกหรือยึดไม้เข้าด้วยกัน แต่ใช้ตะปูไม้ซึ่งยึดอยู่ภายในไม้กระดานเปลือกเรือ เรือจังโกมีเสากระโดงเรือสองต้น ผ้าใบเรือใช้หวายทอเป็นผืน เรือมีหางเสือบังคับทิศทางทั้งหมด ๓ ใบ ด้านข้างสองจุด ตรงกลางหนึ่งจุด จากบันทึกดังกล่าวเห็นว่าเรือที่ถูกกล่าวถึงเป็นเรือเดินสมุทร ซึ่งมีขนาดใหญ่ ระวางบรรทุกเยอะ แตกต่างกับซากเรือจมคลองท่อม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเรือขนาดเล็ก-กลาง แต่สิ่งที่มีคล้ายคลึงกันคือเทคนิคในการต่อเรือ จึงทำให้สันนิษฐานได้ว่าในช่วงสมัยหนึ่งเรือที่ใช้เทคนิคแบบ “Lashed-Lug” อาจใช้กันอย่างแพร่หลายในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบริเวณแถบหมู่เกาะ ซึ่งอาจมีได้ทั้งขนาดเล็ก-กลางที่ใช้สัญจรในลำน้ำ และขนาดใหญ่สำหรับเดินสมุทรคลังภาพเรือคลองท่อม


ชื่อเรื่อง                                 สิริมหามายา (สีมหามายา) สพ.บ.                                   288/9ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           52 หน้า กว้าง 4.2 ซ.ม. ยาว 55.4 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           สิริมหามายา บทคัดย่อ/บันทึก         เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                อุณฺหิสวิชย (อุณณหิสสวิไช) สพ.บ.                                  334/1ฌประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           26 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.46/1-3  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)  ชบ.บ.88ข/1-25  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


Messenger