ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 34,695 รายการ


ผู้แต่ง : - ฉบับพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 1 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากร ปีที่พิมพ์ : 2502 หมายเหตุ : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางพวงเพ็ชร  เอี่ยมสุกล                     โรงโบราณศึกษา กล่าวถึงวิธีการสอนและการศึกษาเล่าเรียนในสมัยโบราณ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นข้อใหญ่ ๆ 8 ข้อ เรียกว่ามาติกา มาติกาต่าง ๆ เหล่านี้ว่าด้วยเรื่อง ตำบที่เล่าเรียน สถานที่โรงเรียน จำนวนนักเรียนและครู เวลาเรียนและหยุด เครื่องเล่าเรียน วิชาหนังสือ วิชาเลข และข้อบังคับการเรียน ส่วนเรื่องวิธีสอนหนังสือไทย กล่าวถึงวิธีสอนและวิธีเรียนหนังสือในสมัยก่อน


ชื่อเรื่อง : พระประวัติประกอบพระรูป พลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2496 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์พระจันทร์ จำนวนหน้า : 144 หน้า สาระสังเขป : พลเอก พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ พระนามเดิมคือหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เป็นพระโอรสรพระองค์ที่ 3 ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถและหม่อมเจ้าหญิงอัปษรสมาน กิติยากร ประสูติเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2440 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2496 สิริรวมพระชนมายุ 55 ปี พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสรรรูปภาพที่ทรงถ่ายและรูปภาพจากผู้อื่นถ่ายพร้อมคำบรรยายประกอบ เพื่อจัดพิมพ์พระราชทานสมนาคุณแด่พระบรมวงศานุวงศ์ คณะทูตานุทูต ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ตลอดจนคหบดีที่มาช่วยงานพระราชทานเพลิงพระศพ



หลักฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในภาคใต้ของประเทศไทย ตอน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในภาคใต้           พบหลักฐาน ๒ ลิทธิหลัก คือ ๑. ไวษณพนิกาย นับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าสูงสุด ๒. ไศวนิกาย นับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นเทพเจ้าสูงสุด รวมทั้งยังพบลัทธิคาณปัตยะ (คาณปัถยัม) ซึ่งนับถือพระคเณศเป็นเทพองค์สำคัญที่สุด และลัทธิเสาระ ซึ่งนับถือพระสุริยะเป็นเทพเจ้าสูงสุด อีกด้วย - ไวษณพนิกาย (Vaishnavism)           ชื่อลัทธิดัดแปลงมาจากชื่อพระวิษณุซึ่งเดิมเป็นชื่อเทพแห่งสวรรค์ในศาสนายุคพระเวท (เทพแห่งพระอาทิตย์) คำว่าไวษณพปรากฏในคัมภีร์มหาภารตะ หมายถึง ชื่อที่รู้จักกันในนามต่างๆ คือ สูริ สุหฤต ภควตะ สัตตวตะ ปัญจกาลวิธ เอกานติกะ ตันมายะ และปาญจราตริกะ แต่ที่นิยมใช้คือ ภควตา เดิมราว พ.ศ. ๓๐๐ ศาสนาภควตาเริ่มเป็นที่สนใจของประชาชนแต่ยังไม่กว้างอยู่ในเมืองมถุราและเมืองใกล้เคียงต่อมาเริ่มแผ่ขยายไปทางทิศตะวันตกและทางเหนือของเดดข่าน ราว พ.ศ.๔๐๐ ต่อมามีหลักฐานจารึกหลายแห่งที่มีอายุก่อนคริสตกาลบรรยายความเกี่ยวข้องระหว่างวสุเทวะ ครุฑ กฤษณะ นารายณะ และก้อนหินศักดิ์สิทธิ์ กล่าวได้ว่าศาสนาภควตาวิวัฒนาการจากลัทธิเล็กๆ ที่นับถือในกลุ่มท้องถิ่นมาสู่ลัทธิใหญ่และกลายเป็นลัทธิสำคัญของศาสนาฮินดู ภาพ : พระวิษณุ อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เดิมอยู่ที่หอพระนารายณ์ ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช - ไศวนิกาย (Saivism)           มีประวัติเก่าแก่กว่าไวษณพนิกาย อาจเก่าแก่ลงไปถึงอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยพบตราประทับมีรูปเทพนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางสัตว์ป่า ซึ่งจอห์น มาร์แชลสันนิษฐานว่าเป็นต้นแบบของพระศิวะ รวมทั้งมีการพบลึงค์หินซึ่งในสมัยประวัติศาสตร์ลึงค์มีความสัมพันธ์กับการบูชาพระศิวะโดยกลายเป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะ ในรามายณะมีข้อความหลายตอนที่กล่าวถึงพระศิวะในชื่อต่างๆ เช่น ศิติกัณฐ์ มหาเทวะ รุทร ปศุปติ ศังการะ อิศานะ เป็นต้น ไศวนิกายแผ่ขยายไปและเป็นที่รู้จักดีในอินเดียใต้ ภาพ : ศิวลึงค์ อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ได้จากบ้านนายพริ่ง อาจหาร หมู่ ๗ อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องศาสนาพราพมณ์-ฮินดู พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช - ลัทธิคาณปัตยะ (คาณปัถยัม)           นับถือพระคเณศ หรือ พิฆเนศวร์ ซึ่งเป็นเทพแห่งอุปสรรคและสิ่งกีดขวางทั้งปวง สามารถกีดขวางมนุษย์ เทวดา และมารร้ายต่างๆ ได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถกำจัดเครื่องกีดขวางทั้งปวงได้ กำเนิดของพระคเณศมีบอกไว้ในคัมภีร์แตกต่างกันไป คัมภีร์ที่นิยมได้แก่ ลิงคปุราณะ ศิวปุราณะ มัสยาปุราณะ วราหปุราณะ และสกัณฑปุราณะ - ลัทธิเสาระ            นับถือพระสุริยะเป็นเทพเจ้าสูงสุด แม้ว่าการบูชาเทพแห่งแสงอาทิตย์จะปรากฏในอินเดียตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เทพสุริยะยังไม่ได้รับการยกย่องมากนัก จนกระทั่งได้รับอิทธิพลจากอิหร่านในสมัยราชวงศ์กุษาณะ (พุทธศตวรรษที่ ๔-๗) โดยปุราณะกล่าวว่าลัทธินี้เข้ามาโดยนักบวชชาวอิหร่าน (ชาวซิเถียน) ซึ่งนักบวชเหล่านี้จะมีสายรัดเอวที่เรียกว่า อวยังคะ หมายถึงเข็มขัดศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาผู้นับถือพระอาทิตย์ (โซโรอัสเตรียน) มีความหมายเท่ากับสายธุรำหรือสายยัชโญปวีตของพราหมณ์ ถือได้ลัทธิเสาระเป็นลัทธิที่รุ่งเรืองมากในอินเดียสมัยหลังคุปตะ (ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔)---------------------------------------------------- เรียบเรียงข้อมูล : น.ส.สุขกมล วงศ์สวรรค์ ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช---------------------------------------------------- อ้างอิง : - ผาสุข อินทราวุธ. รูปเคารพในศาสนาฮินดู. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์, ๒๕๒๒. - ผาสุข อินทราวุธ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์. “พระสุริยะในภาคใต้”, สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ.๒๕๒๙ เล่ม ๖. กรุงเทพฯ : สถาบันทักษิณคดีศึกษา. ๒๕๒๙.



ชื่อเรื่อง                                ตำราเวชศาสตร์ (ตำรายา)สพ.บ.                                  221/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           26 หน้า กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 30 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 ตำรายา บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรไทยโบราณ เส้นจาร ฉบับลานดิบ ภาษาไทยโบราณ ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


     พระเจ้าห้าพระองค์นาคปรก      ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว)      งาช้าง ไม้ปิดทองประดับกระจก      สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        พระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว ๕ องค์ แกะสลักบนงาช้างที่บิดเป็นเกลียว ปลายงาแกะเป็นเศียรพญานาค คนไทยถือว่างาช้างที่งอกผิดจากรูปทรงปกติเป็นของขลังสูงค่านิยมนำมาแกะเป็นพระพุทธรูป โดยพระพุทธรูป ๕ พระองค์ หมายถึง พระพุทธเจ้าในกัลป์ปัจจุบัน ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคม พระกัสสปะ พระโคตมะ และพระศรีอาริยเมตไตรย  


เลขทะเบียน : นพ.บ.123/22ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  58 หน้า ; 4.6 x 57.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 70 (232-242) ผูก 22 (2564)หัวเรื่อง : มงฺคลตฺถทีปปี (มงคลทีปนีอรรถกถา)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



อานิสงส์ ทาน ศีล ชบ.ส. ๓๘ เจ้าอาวาสวัดบุญญฤทธยาราม ต.บ้านบึง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๒ ก.ค. ๒๕๓๕เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.23/1-1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


องค์ความรู้ เรื่อง "ทับหลังศิลปะบายนจากปราสาทพิมาย"จัดทำข้อมูลโดย : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย


พุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระ.  แบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการหนังสืออ่านกวี      นิพนธ์ คำกลอน สังข์ทองตอนเลือกคู่และหาปลาหาเนื้อ.  พิมพ์ครั้งที่ ๒๔.  พระนคร : โรง      พิมพ์คุรุสภา,  ๒๕๐๒.  ๑๑๖ หน้า.      เรื่องย่อมีว่า ท้าวยศวิมลมีมเหสี ๒ องค์ คือนางจันทร์เทวีเป็นพระมเหสีเอก และนางจันทามเหสีรอง นางจันทร์เทวีคลอดลูกออกเป็นหอยสังข์จึงถูกนางจันทาใส่ความว่าจะทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนควรขับไล่ทั้งแม่และลูก ท้าวยศวิมลจึงจำใจให้พาลูกไปเสียไปอาศัยตากับยายในป่า วันหนึ่งสงสารแม่แอบออกมาจากเปลือกหอยช่วยไล่ไก่ที่มาจิกข้าวเปลือกและหุงหาอาหารไว้ให้ เมื่อนางจันทร์เทวีกลับมาพบจึงทุบหอยสังข์เสีย ความทราบถึงท้าวยศวิมลขอให้นำพระสังข์เข้าเฝ้าแต่ก็ถูกนางจันทายุยงจนนำพระสังข์ไปถ่วงน้ำ พญานาคมาพบและส่งไปอยู่กับนางพันธุรัตน์ เมื่อนางพันธุรัตน์ไม่อยู่ก็แอบไปเที่ยวเล่นที่หลังวังพบเห็นกระดูกมากมายกองอยู่จึงรู้ว่านางพันธุรัตน์คือยักษ์ และพบบ่อเงินบ่อทองก็ชุบบ่อเงินและบ่อทองแล้วขโมยรูปเงาะเกือกทอง และไม้พลอง หนีขึ้นเขาไป นางพันธุรัตน์เรียกหาก็ไม่ลงมา นางร้องไห้จนอกแตกตายแต่ได้เขียนมหาจินดามนตร์ที่เรียกเนื้อเรียกปลาไว้ที่โขดหิน พระสังข์ลงมาเห็นก็ท่องจนจำได้   กล่าวถึงท้าวสามนต์ ประกาศหาบุตรเขยโดยการให้บุตรสาวทั้ง ๗ เลือกคู่ด้วยการเสี่ยงมาลัยแต่รจนาเลือกไม่ได้  ท้าวสามนต์เลยคิดว่าผู้ชายที่นำมาให้รจนาเลือกทั้งหมดยังไม่ถูกใจ อำมาตย์จึงทูลว่ามีเจ้าเงาะป่าบ้าใบ้เท่านั้นที่แปลกกว่าคน เชิญเสด็จไปดู ท้าวสามนต์เห็นความน่าเกลียดน่าชังของเจ้าเงาะถึงกับทนดูไม่ได้แต่ใจก็คิดจะ แกล้งประชดรจนา สั่งอำมาตย์ให้พาไปให้รจนาเลือก รจนาแม้ไม่อยากมีคู่ แต่ก็อยากเห็นเจ้าเงาะป่าตัวประหลาดจึงออกไปดู สังข์ทองในรูปเงาะป่าเกิดถูกใจรจนาจึงอธิษฐานของให้รจนาเห็นรูปทองที่อยู่ ข้างใน เมื่อรจนาเห็นจึงโยนมาลัยไปให้ ท้าวสามนต์โกรธจึงขับไล่รจนาและเจ้าเงาะให้ไปปลูกกระท่อมอยู่ที่ปลายนา และคิดกำจัดเจ้าเงาะด้ยการให้ไปจับปลามาให้ได้ร้อยตัวส่วนเขยทั้งหกจับปลาไม่ได้ มาขอพระสังข์แต่ต้องแลกกับการตัดปลายจมูก ต่อมาก็ให้ไปหาเนื้อ พระสังข์ก็ใช้มหาจินดามนตร์ได้เนื้อมานับร้อย ส่วยเขยทั้งหกหาไม่ได้ มาขอพระสังข์แต่ต้องแลกด้วยการตัดหู


แรกนาขวัญในหัวเมืองภาคใต้   ประวัติศาสตร์แห่งการแรกนาขวัญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องการแรกนา ไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือนตอนพระราชพิธีเดือนหก ความตอนหนึ่งว่า "...การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นธรรมเนียมมีมาแต่โบราณ เช่นในเมืองจีน สี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ลงทรงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทําเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทํานา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การซึ่งมีพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่าง เหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตัวตามปรกติ ก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออันตราย คือน้ำฝนน้ำท่ามากไปน้อยไป ด้วงเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นเหตุอันตราย ไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปรารถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกําลัง จึงได้ต้องแส่หาทางที่จะแก้ไข และทางที่จะอุดหนุน และที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจ ก็การที่จะแก้ไขเยียวยาน้ำฝนน้ำท่าซึ่งเป็นของเป็นไปโดยฤดูปรกติเป็นเอง โดยอุบายลงแรงลงทุนอย่างไรไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคล ตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สุด..."  แรกนาขวัญในหัวเมืองภาคใต้ นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีหัวเมืองซึ่งประกอบพิธีแรกนาด้วยเช่นกัน เมืองเหล่านี้ล้วนเป็นเมืองเก่าแก่ และมีธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องมาแต่โบราณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องการแรกนาในหัวเมืองไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน(พระราชพิธีเดือนหก)ตอนหนึ่งว่า “...หัวเมืองซึ่งมีการแรกนา มีของหลวงพระราชทานเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ คือกรุงเก่าเมือง ๑  เพชรบุรีเมือง ๑ แต่เมืองซึ่งเขาทําแรกนามาแต่เดิม ไม่มีของหลวงพระราชทาน คือเมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา ๒ เมืองนี้เป็นเมืองมีพราหมณ์ๆ เป็นธุระในการพิธี แต่ผู้ว่าราชการเมืองไม่ได้ลงแรกนาเอง มอบให้หลวงนาขุนนาเป็นผู้แรกนาแทนตัว เมืองสุพรรณบุรีอีกเมืองหนึ่งก็ว่ามีแรกนา ไม่ได้เกี่ยวข้องในการหลวงเหมือนกัน แต่ในปีนี้ได้จัดให้มีการแรกนาขึ้นเป็นการหลวงอีกเมืองหนึ่ง...” แรกนาขวัญในจิตรกรรมฝาผนัง  สำหรับงานจิตรกรรมฝาผนัง ภาพของพิธีแรกนาขวัญจะปรากฏอยู่ในส่วนของภาพพุทธประวัติ ตอน “วัปปมงคล” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา ประกอบพิธีแรกนาขวัญ ส่วนเจ้าชาย สิทธัตถะราชกุมารนั้นโปรดให้ลาดพระแท่นบรรทมที่ใต้ต้นหว้าใหญ่ แต่พระราชกุมารกลับนั่งทำสมาธิจนได้ ปฐมฌาน และเกิดเหตุมหัศจรรย์เงาต้นหว้าซึ่งพระราชกุมารประทับอยู่นั้นไม่เคลื่อนที่แม้เวลาจะล่วงเลยไป เพียงใดก็ตาม จนเป็นเหตุให้พระเจ้าสุทโธทนะถวายอภิวันทนา(ไหว้) พระราชกุมาร เป็นครั้งที่ ๒  ดังปรากฏความในพรปฐมสมโพธิกถา กปิลวัตถุคมนปริวัตต์ ปริเฉทที่ ๑๗ ความว่า            “...ในสมัยนั้นสมเด็จกรุงสุทโธทนมหาราชพระพุทธบิดา ได้ทรงทัศนาพระปาฏิหารเปนมหัศจรรย์  จึงถวายอภิวันทนาการแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค กาลในวันพระองค์ประสูติ์นั้นนำพระองค์มา เพื่อจะให้วันทนาพระกาลเทวิลดาบส ก็กระทำพระปาฏิหารขึ้นยืนเหยียบพระบาทอยู่ณเบื้องบนชฎาแห่ง พระมหาชฎิล ครั้งนั้นข้าพระองค์ก็ถวายอภิวันทนา พระบาทยุคลเปนปฐมวันทนา แลกาลเมื่อวันกระทำวัปปมงคลแรกนาขวัญก็นำพระองค์ไปบันทมในร่มไม้หว้า ได้ทัศนาฉายาไม้นั้นมิได้ชายไปตามตวัน ข้าพระองค์ก็ถวายบังคมเปนทุติยวันทนาวารคำรบ ๒ แลกาลบัดนี้ได้เห็นประปาฏิหารอันมิได้เคยทัศนากาลมาแต่ก่อน ข้าพระองค์ก็ถวายอัญชลีกรพระบวรบาทเปนตติยวันทนาวารคำรบ ๓ ในครั้งนี้...” แรกนาขวัญในจิตรกรรมฝาผนังภาคใต้ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง พุทธประวัติตอนวัปปมงคล ในพื้นที่ภาคใต้พบไม่มากนัก โดยวัดที่พบการเขียนภาพจิตรกรรมตอนนี้ได้แก่ วัดวัง ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เขียนภาพโดยหลวงเทพบัณฑิต(สุ่น) กรมการเมืองพัทลุง โดยเขียนภาพขึ้นราวปลายรัชกาลที่ ๓ – ต้นรัชกาลที่ ๔ วัดท้าวโคตร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และวัดพัฒนาราม ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นภาพที่เขียนขึ้นราวสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ แรกนาขวัญในผ้าพระบฏในภาคใต้  ผ้าพระบฏ พบที่วัดหัวเตย ตำบลดอนทราย อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นผ้าพระบฏที่เขียนภาพพุทธประวัติ เป็นช่องที่เรียงต่อกันไปนั้น พบว่ามี ๑ ช่อง ซึ่งมีการเขียนภาพเกี่ยวกับพิธีแรกนาขวัญ โดยภาพในช่องดังกล่าวเป็นการเล่าเรื่องพระเจ้าสุทโธทนะถวายอภิวันทนา(ไหว้) เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร กระทำปาฎิหาริย์เสด็จประทับเหนือเศียรอสิตดาบส  และครั้งที่ ๒ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารประทับใต้ต้นหว้า ขณะที่พระเจ้าสุทโธทนะประกอบพิธี แรกนาขวัญ ผ้าพระบฏผืนนี้มีข้อความกำกับระบุว่าเขียนขึ้นในพ.ศ.๒๓๔๕ (ช่วงปลายรัชกาลที่ ๑) คนไถนาวิถีชีวิตท้องถิ่นชาวใต้  นอกจากภาพจิตรกรรมเรื่องแรกนาขวัญอันเนื่องมาจากพุทธประวัติแล้ว ยังภาพกฎภาพ “คนไถนา” ซึ่งสะท้อนภาพวิถีชิวิตของชาวใต้ ดังเช่นภาพคนไถนาที่เพดานอุโบสถวัดฉัททันต์สนาน ตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และภาพคนไถนาบนเพดานศาลา ภายในวัดชลธาราสิงเห ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งภาพจิตรกรรมทั้งสองภาพนี้สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นราวกลางสมัยรัชกาลที่ ๘ ถึงช่วงต้นรัชกาลที่ ๙