ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
เครื่องประดับโบราณ : ตุ้มหูแบบ "ลิง ลิง โอ" (Ling-Ling-O)
จัดแสดง ณ อาคารจัดแสดง ๒
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง
เลขทะเบียน : นพ.บ.75/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 42 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 47 (52-58) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : เทวทูตสุตฺต (เทวทูตสูตร) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
“เสี่ยหนา” เสี่ยหนา คือ ปิ่นโตหรือตะกร้าซึ่งเป็นเครื่องใช้ของชาวจีน คำว่า “เสี่ยหนา” เป็นภาษาจีนฮกเกี้ยน แปลว่า “มงคล” เสี่ยหนาจึงเป็นของใช้ในงานพิธีมงคลต่างๆ อาทิ งานแต่งงาน เสี่ยหนาของชาวจีนฮกเกี้ยนมีเอกลักษณ์ คือ ทำจากไม้ไผ่สานลงรักสีดำ แดง และปิดทอง รูปทรงของเสี่ยหนามี ๒ รูปทรง คือ ทรงกระบอกส่วนฐานและฝาแบนเรียบ และทรงรีส่วนฐานและฝาโค้ง บนตัวของเสี่ยหนาจะมีการตกแต่งด้วยลวดลายต่างๆ อาทิ เทพจีน สัตว์ ดอกไม้ และต้นไม้ เป็นต้น ขนาดของเสี่ยหนามีหลายขนาดขึ้นอยู่กับจำนวนชั้นพบมี ๑ ชั้น ๓ ชั้น และ ๗ ชั้น สำหรับเสี่ยหนาซึ่งเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง เป็นปิ่นโต ๓ ชั้น พร้อมฝาสานด้วยไม้ไผ่ ชั้นบนสุดเป็นลายโปร่งมีลายสีทองรูปดอกไม้และนก ที่ด้ามจับมีห่วงโลหะไว้สำหรับใส่คาน “เสี่ยหนา” เป็นของใช้ที่สำคัญในพิธีแต่งงานของชาวจีนฮกเกี้ยน โดยถูกใช้ในขั้นตอนการหมั้นซึ่งญาติฝ่ายเจ้าบ่าวจะนำของหมั้น อาทิ แหวน และขนมมงคลต่างๆ ใส่ลงในเสี่ยหนาและมอบให้ญาติฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งในจังหวัดภูเก็ตนั้นมีชาวจีนฮกเกี้ยนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ชาวจีนเหล่านี้ได้เข้ามาแต่งงานกับคนพื้นเมืองและได้นำ “เสี่ยหนา” เข้ามาใช้ในพิธีหมั้นด้วย ในปัจจุบันชาวภูเก็ตได้ประยุกต์การงานเสี่ยหนา โดยนำเสี่ยหนาที่มีขนาดเล็กมาใช้แทนกระเป๋าถือเมื่อสวมใส่ชุดพื้นเมืองหรือที่เรียกว่า “ชุดยาย๋า” “เสี่ยหนา” ถือเป็นเครื่องใช้ที่สำคัญของชาวจีนฮกเกี้ยนในจังหวัดภูเก็ต จึงถือเป็นศิลปวัตถุที่แสดงให้เห็นถึงประเพณีของชาวจีนในภูเก็ตได้เป็นอย่างดี----------------------------------------------------จัดทำข้อมูลโดย : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง----------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง - ฤดี ภูมิภูถาวร. วิวาห์บาบ๋า. ภูเก็ต : บริษัท เวิลด์ออฟเซ็ทพริ้นติ้ง จำกัด, ๒๕๕๓.
เลขทะเบียน : นพ.บ.135/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.2 x 55 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 81 (322-325) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : บาลีการก (ศัพท์การก)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อผู้แต่ง พลเรือตรี จวน หงสกุล
ชื่อเรื่อง นิราศยุโรปและออสเตรเลีย
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อรุณการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ 2509
จำนวนหน้า 103 หน้า
หมายเหตุ พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลตรีลม้าย อุทยานานนท์
เป็นผลงานการประพันธ์ของพลเรือตรี จวบ หงสกุล โดยแต่งเป็นบทร้อยกรองประเภทกลอนแปด ประกอบด้วยนิราศ ๓ เรื่อง คือ นิราศยุโรป นิราศออสเตรเลีย และนิราศนรก
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.9/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนิรเลียบมณฑลฝ่ายเหนือพระพุทธศักราช 2469 ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2474 สถานที่พิมพ์ :-สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรณธนากร จำนวนหน้า : 542 หน้า สาระสังเขป : จดหมายเหตุรวบรวมเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ และมณฑลพายัพ เมื่อปี ๒๔๖๙ ทั้งเหตุการณ์เตรียมการก่อนเสด็จ และพฤติการเวลาเสด็จ
ตู้และหีบพระธรรม เป็นเครื่องใช้สอยจำพวกหนึ่ง ที่สร้างขึ้นอุทิศไว้ในพระพุทธศาสนา มีรูปทรง และประโยชน์ใช้สอยแตกต่างกันไปเป็นหลายประเภท ตามวิถีของพระสงฆ์สาวก ซึ่งเป็นผู้ศึกษาและเผยแผ่พระธรรม ภายในวัดวาอารามต่าง ๆ จึงมีหอพระไตรปิฎก เก็บรักษาพระธรรม คัมภีร์ ใส่ในตู้หรือหีบพระธรรม รักษาไว้เป็นส่วนของวัด และใช้ในพิธีกรรมอันปฏิบัติอยู่หมู่สงฆ์ รวมถึงประเพณี พิธีกรรมอันเนื่องกับฆราวาส จำแนกได้เป็นหลายประเภท เช่น ตู้พระธรรม ตู้พระไตรปิฎก หีบพระธรรม หีบหนังสือสวด หีบหนังสือเทศน์ เป็นต้น ------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูลโดย นางสาวเด่นดาว ศิลปานนท์ ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ------------------------------------------------------
ต้นไม้แก้วมีฐานเป็นชามอยู่ในครอบแก้วสูง ๕๑ เซนติเมตร
เป็นเครื่องแก้วฝีมือช่างไทย ฝีพระหัตถ์หม่อมเจ้าดำรง ปราโมช (ท่านปั๋ง) ทรงทำถวายสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในรัชกาลที่ ๖ ปัจจุบันจัดแสดงในพระที่นั่งวสันตพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ราวปลายรัชกาลที่ ๔ - ต้นรัชกาลที่ ๕ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ (ต้นราชสกุลปราโมช) ซึ่งกำกับกรมช่างหุงกระจก ทรงทดลองวิธีการหุงกระจกแบบใหม่ๆ จนสามารถทำแก้วสีต่าง ๆ ได้ และทรงทำเป็นรูปดอกไม้ผลไม้ที่มีความงามไม่แพ้ฝีมือช่างตะวันตก สำหรับหม่อมเจ้าดำรง ปราโมชทรงเป็นโปลิโอทำให้ท่านทรงเดินไม่ได้แต่ทรงพระเยาว์ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องประทับอยู่กับเสด็จพ่อท่านตลอดเวลาที่ทรงงานช่างต่างๆ หม่อมเจ้าดำรงจึงได้วิชาการช่างที่ต้องใช้ฝีมือจากเสด็จกรมขุนวรจักรธรานุภาพมากที่สุด นอกจากการเป่าแก้วแล้ว ท่านฝีมือมือในการกลึงตลับงาช้างเป็นรูปต่างๆ ด้วยฝีมือในการช่างนี้เองหม่อมเจ้าดำรง ปราโมช จึงได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเงิน (เข็มศิลปวิทยา) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๒
สำหรับท่านที่สนใจต้นไม้แก้วฝีมือช่างไทย ยังสามารถชมต้นไม้แก้วใหญ่ซึ่งเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยป้ายระบุว่าเป็นเครื่องประดับพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และอีกคู่หนึ่งของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีขนาดเล็กกว่า ปัจจุบันจัดแสดงในหอสมุดดำรงราชานุภาพ ถนนหลานหลวง
ถนนเจริญกรุง นับเป็นถนนสายแรกของกรุงเทพฯ ซึ่งก่อสร้างเพื่อใช้ในการสัญจรภายในเขต ใจกลางเมือง สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่าง พ.ศ.๒๔๐๔ – ๒๔๐๗ มีนายเฮนรี อลาบาสเตอร์ เป็นผู้สำรวจและเขียนแบบถนน เจ้าพระยาทบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) เป็นแม่กองควบคุมการก่อสร้างถนนเจริญกรุงช่วงคูเมืองตอนในถึงถนนตก เจ้าพระยายมราช(ครุฑ) เป็นแม่กองในการก่อสร้างถนนเจริญกรุงตอนใน ระหว่างวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามถึงสะพานดำรงสถิต (สะพานเหล็กบน) ถนนเจริญกรุงมีระยะความยาวของเส้นทางเริ่มตั้งแต่สนามไชยถึงถนนตก ยาว ๘,๕๗๕ เมตร ถนนสายดังกล่าวเป็นที่รู้จักในชื่อสามัญว่า “ถนนใหม่(New Road)” ในพระราชปรารถเรื่องถนนเจริญกรุง ในรัชชกาลที่ ๔* กล่าวถึงว่า “...ชาวต่างประเทศเข้าชื่อกันขอให้ทำขึ้น เพื่อจะใช้ม้า ใช้รถให้สบาย ให้ถูกลมเย็นเส้นสายเหยียดยืดสบายดี...” โดยสร้างเป็นถนนถมดินและทรายอัดแน่น ปูพื้นผิวถนนด้วยอิฐ ผิวการจราจรแบ่งเป็นสองแนว ครั้นเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ เปิดใช้งานเมื่อพ.ศ.๒๔๐๗ กลับปรากฏว่า “...คนใช้ม้าทั้งไทย ทั้งชาวนอกประเทศกี่คน ใช้รถอยู่กี่เล่ม ใช้ก็ไม่เต็มสนน ใช้อยู่แต่ข้างหนึ่ง ก็ส่วนสนนอีกข้างหนึ่ง ก็ทิ้งตั้งเปล่าอยู่ ไม่มีใครเดินม้าเดินรถ เดินเท้า...ครึ่งหนึ่งของสนน เพราะไม่มีคนเดิน คนใช้ก็ยับไปเสียก่อน หากว่าปีนี้ ไม่มีฝน ถ้าฝนชุกก็เห็นจะยับไปมาก ฤาหญ้าก็จะขึ้นรกอยู่ค่างหนทาง...” ความกังวลพระทัยนั้น เป็นผลต่อมาเมื่อถนนเจริญกรุงชำรุดลง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศแผ่พระราชกุศลซ่อมแซมถนน ต่อพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชสำนักฝ่ายหน้า ฝ่ายในส่วนพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรสถานมงคล ที่ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดในจำนวนปีมะเส็งนพศกแบริจากทรัพย์นั้นเพื่อการซ่อมแซมถนนทั่วพระนคร ต่อมาเมื่อบ้านเมืองมีความเจริญมากขึ้น ถนนเจริญกรุงจึงเป็นเส้นทางสำคัญสายหนึ่งที่เชื่อมพื้นที่กรุงเทพฯ ตอนในออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยในสมัยหลังได้มีการขยายผิวการจราจรและเทคอนกรีตและลาดยางพื้นผิวการจราจรเพื่อการงานเป็นเส้นทางคมนาคมสืบมาถึงปัจจุบัน ถนนเจริญกรุง ค.ศ. 1896ถนนเจริญกรุง พ.ศ. ๒๔๐๗-----------------------------------------------------------------------เรียบเรียง : เมธินี จิระวัฒนา นักโบราณคดี ชำนาญการ กองโบราณคดี -----------------------------------------------------------------------*อ้างอิงจาก กรมศิลปากร. ทำเนียบนามภาค ๔ ถนนในจังหวัดพระนครและธนบุรี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตีพิมพ์พระราชทานในงานเมรุ มหาอำอาตย์นายก เจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส (พระนคร : โรงพิมพ์บำรุงธรรม, ๒๔๘๒) หน้า ๖๓ – ๖๖)
พระพิมพ์ดินเผาภาพพระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม พบจากเจดีย์หมายเลข ๙ เมืองโบราณอู่ทอง จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง พระพิมพ์ดินเผาขนาด กว้าง ๖ เซนติเมตร สูง ๙ เซนติเมตร ภาพพระพุทธรูปยืนภายในซุ้มวงโค้ง พระพักตร์กลม พระกรรณยาว มีประภามณฑลรอบพระเศียร ครองจีวรห่มคลุม จีวรเรียบไม่มีริ้วบางแนบพระวรกาย ปรากฏขอบจีวรบริเวณพระศอ จีวรพาดผ่านข้อพระกรทั้งสองข้าง แล้วทิ้งชายลงเป็นวงโค้งเบื้องหน้า ขอบสบงและชายจีวรยาวถึงข้อพระบาท พระกรทั้งสองยกขึ้นเสมอพระอุระแสดงวิตรรกะมุทรา (ปางแสดงธรรม) ยืนในท่าสมภังค์ (ยืนตรง) บนฐานกลมประดับด้วยกลีบบัว ซุ้มด้านในประดับด้วยเสากลม ด้านนอกประดับด้วยเสาสี่เหลี่ยม ปลายกรอบซุ้มมีการตกแต่งลวดลาย ส่วนฐานยกเก็จคล้ายกับรูปแบบที่พบบนฐานของสถาปัตยกรรมทวารวดี สุนทรียภาพโดยรวมของพระพิมพ์องค์นี้ ได้แก่ การครองจีวรห่มคลุม จีวรเรียบบางแนบพระวรกาย การยืนในท่าสมภังค์ (ยืนตรง) และแสดงวิตรรกะมุทราสองพระหัตถ์ (ปางแสดงธรรม) เป็นรูปแบบเฉพาะที่นิยมในพระพุทธรูปยืนสมัยทวารวดี ซึ่งพบทั้งพระพุทธรูปและพระพิมพ์ตามเมืองโบราณในวัฒนธรรมทวารวดี ส่วนลักษณะฐานพระพุทธรูปที่มีการยกเก็จ สันนิษฐานว่ารับอิทธิพลมาจากส่วนฐานยกเก็จของพระพุทธรูปอินเดียแบบปาละ และอาจมีความเกี่ยวข้องกับซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปที่ประดับอยู่บนผนังของสถาปัตยกรรม ประเภทเจดีย์และวิหารที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี ก็เป็นได้ จึงกำหนดอายุพระพิมพ์องค์นี้ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ หรือประมาณ ๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๙ เมืองโบราณอู่ทอง ยังมีการค้นพบพระพิมพ์ดินเผาซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างจากแม่พิมพ์รูปแบบเดียวกัน แต่มีสภาพไม่สมบูรณ์อีกจำนวนหนึ่ง พระพิมพ์เหล่านี้น่าจะสร้างขึ้นตามคติความเชื่อเรื่องการสร้างพระพิมพ์จำนวนมากเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา หรือเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตามคติความเชื่อเรื่องการสร้างบุญกุศลก็เป็นได้-------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง-------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง เชษฐ์ ติงสัญชลี. ศิลปะไทย ภายใต้แรงบันดาลใจจากศิลปะอินเดียแบบปาละ. นนทบุรี : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด, ๒๕๕๘. ธนกฤต ลออสุวรรณ. “การศึกษาคติความเชื่อของชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและท่า จีน: กรณีศึกษาจากพระพิมพ์ดินเผา”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขา โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๖.