ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ





ชื่อเรื่อง                    สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี, ธาตุกถา-มหาปฏฐาน) อย.บ.                       100/4หมวดหมู่                   พุทธศาสนาประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ               30 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.5 ซม.บทคัดย่อ/บันทึก                   เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด  ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฐาน) อย.บ.                                  148/2 หมวดหมู่                               พุทธศาสนาประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                           60 หน้า กว้าง 5.5 ซม. ยาว 54.5 ซม.                                       บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


พระอนุศาสน์โกศล. พรหมจริยกถา (ทำดีได้ดี). นครราชสีมา: วิมลมาลย์, 2505.พิมพ์เป็นธรรมบรรณาการในงานฌาปนกิจศพ คุณโยมแก้ว โสธะโร ณ เมรุวัดสามัคคี นครราชสีมา 9 กันยายน 2505เลขทะเบียน  0795


เลขทะเบียน : นพ.บ.653/ก/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า  ; 4 x 53 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 208 (115-121) ผูก ก9 (2568)หัวเรื่อง : กจฺจายมูล--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อแบบฉบับ : ธมฺมปทปาลิ ขุทฺทกนิกาย (ผูก 1) ชื่อเรื่อง : ธรรมบทคาถา (ผูก 1) เลขทะเบียน : ชม.บ.648/1 ผู้แต่ง : พระพุทธพจน์                    ผู้สร้าง : วิสุทธภิกษุ                 ปีที่สร้าง : จ.ศ.1117 (พ.ศ. 2298) จำนวน : 1  คัมภีร์  1 ผูก               จำนวนบรรทัด : 5 บรรทัด         จำนวนหน้า : 86 หน้า อักษร : ธรรมล้านนา                     ภาษา : บาลี                          เส้น : จาร ฉบับ : ล่องชาด                           ไม้ประกับ : รดน้ำ แดง              ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน ประวัติ : พระพุทธพจน์ แต่ง. วิสุทธภิกษุ สร้าง จ.ศ.1117  (พ.ศ.2298 สมัยอยุธยา รัชกาลพระบรมโกษฐ์)  ได้มาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่  เมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม 2531 โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568


ชื่อเรื่อง : วัดสวนดอกพระอารามหลวง  ผู้แต่ง :  พระเจริญ จรณสมฺปนฺโน ปีที่พิมพ์ : 2539 สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : ดาวคอมพิวกราฟิก จำนวนหน้า : 106 หน้า สาระสังเขป: วัดสวนดอกพระอารามหลวง นับว่าเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในล้านนาในช่วงเวลาหนึ่ง ได้บันทึกเหตุการณ์ที่ผ่านมา ได้เรียบเรียงจากเอกสารตำนานวัดสวนดอก รวมทั้งเอกสารโบราณหลายฉบับ กล่าวถึงเรื่องราวประวัติความเป็นมา ความสำคัญของวัดสวนดอกทั้งอดีต-ปัจจุบัน ประเพณีประจำของวัดสวนดอก วัดสวนดอกในสมัยต่างๆ เช่น สมัยพญาสามแกน พระเมืองแก้ว พม่าปกครอง พระเจ้ากาวิละสุริวงศ์ ครูบาศรีวิชัยบูรณปฏิสังขรณ์ ยุคปัจจุบัน เป็นต้น จัดพิมพ์เพื่อเป็นเอกสารวิชาการเผยแพร่ร่วมฉลองสมโภชนครเชียงใหม่ มีอายุครบ 700 ปี และเป็นบรรณาการในโอกาสที่วัดสวนดอกได้จัดงานฉลองอาคารสมโภชนครเชียงใหม่ 700 ปี งานเปิดป้ายอาคารมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฯ วิทยาเขตเชียงใหม่ด้วยเช่นกัน ด้วยหวังว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจได้ศึกษาค้นคว้า รวมทั้งเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของล้านนาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เลขเรียกหนังสือ : 294.3135 พ323ว (ห้องมรดกล้านนา) เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : nlcm_lc2568_00011 โครงการ : อนุรักษ์ จัดเก็บ และบริการหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์และเอกสารโบราณของหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568 



เลขทะเบียน  นม.บ.17/5



รายงานผลการตรวจสอบโบราณวัตถุที่พบจากโนนกกขาม บ้านหนองห่างหมู่ที่ 9 ตำบลโนนเพ็ด อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา



ผู้แต่ง : ฝอยทอง สมวถา (สมบัติ)ปีที่พิมพ์ : 2546 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : นพบุรีการพิมพ์      เล่าขานตำนานเมืองแจ๋ม เรื่องราวจากการบอกเล่าและเรื่องเล่าในท้องถิ่น ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ แม่แจ๋มงดงาม เพราะยังคงความเป็นพื้นบ้านพื้นเมืองไว้ได้มากกว่าเมืองอื่นๆ จากวิถีชีวิตที่งดงาม มีมนต์ขลังรางเมืองลับแลอันลึกลับ และเร้าใจจากสองข้างทางที่ผ่านไปในเมือง แม่แจ๋มมีความดีงาม ความงามอยู่ในตัว ไม่อยากให้สูญเสียความดีงามนี้ไป จงรักษาไว้เถิด เป็นตัวของตัวเอง และถึงแม้จะเป็นเมืองหลังเขาแต่ทรงเสน่ห์เสมอ


กสารองค์ความรู้เกี่ยวกับพระเมรุ ในพิธียกเสาพระเมรุงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ บริเวณท้องสนามหลวงด้านทิศใต้    การก่อสร้างพระเมรุและอาคารประกอบในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ                        สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี           คณะกรรมการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา  สิริโสภาพัณณวดี มอบหมายให้ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบออกแบบก่อสร้างพระเมรุและอาคารประกอบ กรมศิลปากรได้เชิญพลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรมไทย เป็นผู้ออกแบบ เป็นที่ปรึกษาและควบคุมการก่อสร้างพระเมรุและอาคารประกอบ ตลอดถึงการจัดสร้างพระโกศจันทน์ การบูรณะซ่อมแซมราชรถและพระยานมาศทุกองค์เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีครั้งนี้ ในการนี้ พลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น ได้ศึกษาและร่างแบบพระเมรุทรงปราสาทยอดมณฑป นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รูปแบบพระเมรุแล้ว พระราชทานกำหนดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ในวันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕  กรมศิลปากรดำเนินการเขียนแบบ ขยายแบบพระเมรุและอาคารประกอบ ตามขั้นตอนงานช่างอย่างไทยเริ่มงานปรับพื้นที่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศใต้และเตรียมการเบื้องต้นเพื่อการก่อสร้างอาคารประกอบพระเมรุหลังต่างๆ ที่ใช้ในงานพระราชพิธีดังกล่าวให้เสร็จสมบูรณ์อย่างสมพระเกียรติทันตามกำหนดการพระราชพิธี และในวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ (ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือนยี่) เวลา ๑๑.๕๙ น. คณะกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุ กำหนดให้มีพิธียกเสาพระเมรุ ทั้งนี้เพื่อเป็นการบวงสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบริเวณสนามหลวง เพื่อทำการขออนุญาตปลูกสร้างพระเมรุ และเพื่อความเป็นสิริมงคลของงานการก่อสร้างพระเมรุ คณะกรรมการฯ คณะทำงานฯ ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง พระเมรุ คนไทยมีคติความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์เปรียบเสมือนสมมติเทพ เมื่อเสด็จพระราชสมภพถือว่าเป็นเทพอวตาร เมื่อถึงวาระสุดท้ายของพระชนมชีพ คือการเสด็จกลับสู่เทวพิภพ เรียกว่า สวรรคต  มีความหมายว่า เสด็จสู่สวรรคาลัย ณ ยอดเขาพระสุเมรุ และตามโบราณราชประเพณีจึงมีการจัดงานถวาย พระเพลิงพระศพ สืบต่อมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน โดยอัญเชิญพระศพไปถวายพระเพลิงบนพระเมรุ    ที่สร้างขึ้น ณ มณฑลพิธี ซึ่งสมมติหมายว่าเป็นพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะทางสถาปัตยกรรม          พระเมรุสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นอาคารทรงปราสาทยอดมณฑป หลังคาจัตุรมุขซ้อนสองชั้น สร้างขึ้นบนฐานชาลาใหญ่ จากฐานชาลาถึงยอดฉัตรสูง ๓๕.๕๙ เมตร มุขหน้าด้านทิศตะวันตกเป็นทางเสด็จพระราชดำเนิน มุขด้านทิศเหนือมีสะพานเกรินสำหรับอัญเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระจิตกาธานภายในพระเมรุ มุขหลังด้านทิศตะวันออกเป็นพื้นที่วางเตาเผาพระศพ บริเวณฐานชาลาทุกด้านมีบันไดทางขึ้นลง รายล้อมด้วยรั้วราชวัติ ฉัตร โคม และเทวดาอัญเชิญฉัตรประกอบพระอิสริยยศ     เครื่องยอดพระเมรุ เป็นทรงมณฑปมีชั้นเชิงกลอน ๕ ชั้น แต่ละชั้นมีซุ้มบันแถลงซ้อน ๒ ชั้น มุมหลังคา   มีนาคปัก ส่วนบนเป็นองค์ระฆังรับบัลลังก์ เหนือบัลลังก์เป็นชุดบัวคลุ่ม ๕ ชั้น ปลียอดแบ่งสองส่วนคั่นด้วยลูกแก้ว บนยอดมีเม็ดน้ำค้าง เหนือสุดปักเบญจปฎลเศวตฉัตร หน้าบันทั้ง ๔ ด้านประดับอักษรพระนาม “พร” โครงสีของพระเมรุโดยรวมเป็นสีทองและสีชมพู ตามสีวันพระราชสมภพ คือวันอังคาร          ภายในพระเมรุตั้งพระจิตกาธาน ประดิษฐานพระโกศไม้จันทน์ ส่วนบนสุดประดับฉัตรผ้า ๕ ชั้น          การตกแต่งพระเมรุ ใช้งานศิลปกรรมแบบซ้อนไม้ทดแทนการแกะสลักไม้จริง เป็นลักษณะพิเศษที่ใช้ในงานพระเมรุ อันถือเป็นงานลำลองสำหรับอาคารใช้งานชั่วคราว งานพระเมรุครั้งนี้ มีแนวคิดที่ลดการใช้ไม้    ซึ่งเป็นวัสดุหายาก จึงเสริมบางส่วนที่เป็นงานซ้อนไม้ด้วยวิธีการปั้นหล่อถอดพิมพ์ไฟเบอร์กลาส การประดับตกแต่งส่วนอื่นๆ ใช้การปิดผ้าทองย่นสาบสีสอดแววแทนการปิดทองประดับกระจก ซ่าง ซ่าง คืออาคารที่สร้างบนฐานชาลาพระเมรุทั้ง ๔ มุม เป็นที่สำหรับพระพิธีธรรม ๔ ชุดสลับกันสวดพระอภิธรรม ตั้งแต่เชิญพระโกศพระศพประดิษฐานบนพระจิตกาธานจนเสร็จการพระราชทานเพลิง หอเปลื้อง           หอเปลื้องเป็นอาคารขนาดเล็กชั้นเดียวหลังคาจั่ว ตกแต่งผนัง ๔ ด้าน เป็นฝาปะกนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระเมรุ เป็นที่เก็บพระโกศและเครื่องประกอบ หลังจากที่เปลื้องออกจากพระลองแล้ว และสำหรับเก็บเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดในช่วงการพระราชทานเพลิงพระศพ พระที่นั่งทรงธรรม           พระที่นั่งทรงธรรม ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของพระเมรุ สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับขณะบำเพ็ญพระราชกุศล มีบริเวณสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ทูตานุทูต นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับเสด็จ    พระที่นั่งองค์นี้มีลักษณะเป็นอาคารโถง หลังคาจัตุรมุข ยกพื้นสูง หลังคาจั่วมีกันสาดปีกนก ด้านหน้าและด้านข้างต่อเป็นหลังคาปะรำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้สอย มุขด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกหรือมุขหน้าและหลัง เป็นมุขประเจิด           การที่สถาปนิกออกแบบให้พระนั่งทรงธรรมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่พระเมรุ เนื่องจากพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจะเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงค่ำ ร่มเงาของพระที่นั่งทรงธรรม จะทอดสู่ลานและบันไดทางเสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระเมรุ อีกทั้งผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งทรงธรรม จะแลเห็น   แสงเงาและสีสันอันงดงามของพระเมรุที่สะท้อนแสงอาทิตย์ในช่วงบ่ายถึงเย็น  พลับพลายกสนามหลวง           พลับพลายกสนามหลวง ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าปริมณฑลท้องสนามหลวงเป็นอาคารโถง สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ประทับขณะประกอบพิธีอัญเชิญพระโกศจากพระเวชยันตราชรถเข้าสู่มณฑลพิธี ผังอาคารเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ส่วนกลางยกฐานสูง หลังคาจั่วตรีมุข มีมุขลดชั้น มุงด้วยเหล็กรีดลอน ปีกซ้ายขวาเป็นหลังคาเต็นท์ผ้าใบกันน้ำสำเร็จรูปทรงจั่ว  แบบเดียวกับทิมและทับเกษตร ศาลาลูกขุน          ศาลาลูกขุนหรือศาลาข้าราชการ ใช้เป็นที่สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าฯรับเสด็จและร่วมพิธี เป็นอาคารโล่งชั้นเดียว ในครั้งนี้มีการปรับประยุกต์ใช้เต็นท์สำเร็จรูปเป็นโครงอาคาร และได้ออกแบบองค์ประกอบและลวดลายทางสถาปัตยกรรมไทย ตกแต่งให้เข้ากับหลังคาเต็นท์โค้ง ทับเกษตร           ทับเกษตรหรือคด หมายถึงอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงขอบเขตมณฑลพิธี มักสร้างเป็นระเบียงล้อมรอบพระเมรุ ใช้เป็นที่นั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มาร่วมงาน ส่วนกลางทับเกษตรเป็นอาคารยอดมณฑป ชั้นเชิงกลอนประดับด้วยซุ้มบันแถลงและนาคปักที่มุมทั้งสี่ บนหลังคาอาคารส่วนที่เป็นปีกทั้งสองด้านประดับฉัตรผ้าทองแผ่ลวด ทิม           ทิม คือที่พักของพระสงฆ์ แพทย์หลวง และเจ้าพนักงาน และเป็นที่ประโคมปี่พาทย์ประกอบพิธีสร้างติดแนวรั้วราชวัติ มีลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียว หลังคาใช้เต็นท์ผ้าใบกันน้ำทรงจั่ว ตกแต่งปลายจั่วเป็นหน้าเหรา ยอดเป็นหน้ากาล ซึ่งเป็นแบบลายมาตรฐานในอาคารประกอบพระเมรุ คือพลับพลายกท้องสนามหลวง พลับพลายกหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และทับเกษตร อีกด้วย  รั้วราชวัติและเสาโคม รั้วราชวัติเป็นแนวกำหนดขอบเขตปริมณฑลพระเมรุ  สร้างต่อเนื่องไปกับทิมและทับเกษตร รั้วเป็นเหล็กโปร่ง สูง ๙๐ เซนติเมตร ประดับดอกประจำยามหล่อด้วยไฟเบอร์กลาส ตกแต่งเสารั้วด้วยโคมไฟแก้วใสขนาดเล็ก เสาโคมส่องสว่าง ตั้งอยู่ที่ทางเข้าทั้งสี่ด้าน และเรียงรายอยู่ใน เขตมณฑลพิธี ยอดเสาเป็นโคมแก้วใสลักษณะเดียวกับที่รั้วราชวัติ แต่มีขนาดใหญ่กว่า ยอดโคมเป็นยอดมงกุฎสีทอง เพื่อแทนความหมายของการเป็นดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พลับพลายก หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม             พลับพลายก หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตั้งอยู่มุมกำแพงวัด เยื้องกรมการรักษาดินแดน เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ขณะเชิญพระโกศจากพระยานมาศขึ้นสู่ราชรถ เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ส่วนกลางยกฐานสูง หลังคาจัตุรมุข มีมุขลดชั้น มุงด้วยเหล็กรีดลอน ปีกซ้ายขวาเป็นหลังคาเต็นท์ผ้าใบกันน้ำสำเร็จรูปทรงจั่ว พลับพลายกหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท           พลับพลายกหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท เป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน ขณะทอดพระเนตรกระบวนแห่พระโกศ มีลักษณะเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาทรงปะรำ (หลังคาเรียบ) ประดับตกแต่งด้วยกระจังลายดอกไม้ประดิษฐ์ ลูกฟักผนังอาคารเป็นลายโค้ง มีความนุ่มนวลเหมาะกับการเป็นอาคารที่ประทับของเจ้านายผู้หญิง เกยลา           เกยลา ตั้งอยู่ด้านนอกประตูกำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง มีลักษณะเป็นแท่นฐานยกพื้นสี่เหลี่ยมย่อมุม มีรางเลื่อนสำหรับเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานบนพระยานมาศ


black ribbon.