ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
อาฎานาฎิยสุตฺต (อาฎานาฎิยสูตร) ชบ.บ 125/1ข
เอกสารโบราณ
(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 163/3 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
เถาะนักษัตร
วันขึ้นปีใหม่ในประเทศไทยนั้น แต่เดิมนับวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้ายเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามระบบการนับวันเวลาแบบจันทรคติ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๓๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงเปลี่ยนให้วันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นวันที่ ๑ เมษายน เนื่องจากระบบการนับจันทรคติไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ในขณะนั้นมีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ดังความตอนหนึ่งในลายพระหัตถ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า
“...พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์ว่าประดิทินที่ใช้กันในโลก ประเทศทั้งปวงรับใช้ประดิทินสุริยคติอย่างฝรั่งมากขึ้นทุกที่ ประดิทินทางจันทรคติมีที่ใช้น้อยลง ต่อไปวันน่าโลกคงจะใช้ประดิทินสุริยคติด้วยกันหมด ควรจะเปลี่ยนประดิทินไทยไปใช้สุริยคติเสียทีเดียว...” [สะกดตามข้อความต้นฉบับ]
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่ ๑ มกราคม โดยเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา* และยังคงนับเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
คติการนับปีตามนักษัตรของไทยนั้นสันนิษฐานว่ารับอิทธิพลจากจีนที่ไทยรับผ่านวัฒนธรรมเขมร โดยปรากฏหลักฐานอย่างน้อยสมัยสุโขทัย ข้อความตอนหนึ่งในศิลาจารึกหลักที่ ๑ พ่อขุนรามคำแหง อักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๐ กล่าวว่า “...[มหาศักราช] ๑๒๑๔ [ตรงกับ พ.ศ. ๑๘๓๕] ศกปีมะโรงพ่อขุนรามคำแหง...” รวมถึงบ้านเมืองที่ร่วมสมัยกันโดยเฉพาะดินแดนล้านนา พบการกล่าวถึงชื่อนักษัตรด้วยเช่นกัน อาทิ จารึกวัดพระยืน (ลพ. ๓๘) อักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย จุลศักราช ๗๓๒ [ตรงกับ พ.ศ. ๑๙๑๓] ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๒๐ กล่าวว่า “...เมื่อท่านเป็นเจ้ามานั้นในปีระกา เดือนเจียง...” และจารึกกษัตริย์ราชวงศ์มังราย (พะเยา) (ลพ.๙) อักษรฝักขาม ภาษาไทย พ.ศ. ๑๙๕๔ ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๘ ปรากฏคำว่า “ปีมะแม”
อีกทั้งในวัฒนธรรมล้านนามีคำในภาษาตระกูลไทเกี่ยวกับ ๑๒ นักษัตร เช่น ไจ้ (ชวด) เป้า (ฉลู) ยี่ (ขาล)... ฯลฯ และพบชื่อนักษัตรเหล่านี้ได้ตามจารึกในล้านนาหลายหลัก บางครั้งพบการนับปีนักษัตรทั้งแบบอิทธิพลเขมรและวันแบบไท เช่น จารึกหลักที่ ๓๘ จารึกกฎหมายลักษณะโจร อักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ กล่าวว่า “...ศกฉลูนักษัตรไพสาขปุรณมีพฤหัสบดี...”
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนปีนักษัตรในทางโหรศาสตร์นั้นจะเปลี่ยนในดิถีขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวาระเปลี่ยนปีนักษัตรตามปฏิทินโหราศาสตร์ที่นับวันแบบจันทรคติ ซึ่งเป็นวิธีคิดของศาสนาพราหมณ์จากอินเดียระบุให้วันขึ้นปีใหม่เป็นเดือน ๕ จึงทำให้โหรเริ่มนับปีนักษัตรใหม่ที่เดือน ๕ ด้วยเช่นกัน ขณะที่การบันทึกปีนักษัตรลงในใบสูติบัตร และเอกสารทะเบียนราษฎร์นั้น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จะบันทึกตามปฏิทินหลวงที่นับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันเปลี่ยนปีนักษัตรใหม่ และวันสุดท้ายของปีนักษัตรคือวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒
สำหรับ พ.ศ. ๒๕๖๖** นี้ ตรงกับปีนักษัตร เถาะหรือกระต่าย เป็นสัตว์สัญลักษณ์ลำดับที่สี่ในบรรดาสัตว์ทั้ง ๑๒ ของรอบปีนักษัตร กระต่ายเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของพระจันทร์ ดังปรากฏในวรรณกรรมทางพุทธศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วง ของพญาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ ๑) กล่าวว่าบนพระจันทร์มีรูปกระต่าย หรือ อรรถกถา “สสปัณฑิตชาดก” มีเรื่องย่อว่า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกระต่าย มีความตั้งใจรักษาศีลและให้ทาน ท้าวสักกะ (พระอินทร์) ได้แปลงเป็นนายพรานมาทดสอบจิตใจด้วยการขออาหาร ซึ่งพระโพธิ์สัตว์แสดงการให้ทานด้วยการกระโดดเข้ากองไฟเพื่อให้ตนเป็นอาหารแก่นายพราน แต่ไฟมิอาจทำอันตรายใดได้ นายพรานจึงบอกความจริงและสรรเสริญพระโพธิ์สัตว์พร้อมทั้งเขียนรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์เพื่อเป็นที่ระลึกแก่คุณความดีที่พระองค์พร้อมสละตนเป็นทานแก่สรรพสัตว์
ครั้นสมัยรัชกาลที่ ๓ บันทึกของบาทหลวงปาลเลกัวซ์ (Pallegoix) ระบุว่าคนไทยถือว่ากระต่ายเป็นสัตว์เจ้าปัญญาและเจ้าเล่ห์ นิทานหลายเรื่องล้วนกล่าวถึงกระต่ายมีลักษณะปราดเปรียวและฉลาดเหนือสัตว์อื่น รวมทั้งจุดในดวงจันทร์ก็มองว่าเป็นรูปกระต่ายด้วย ดังนั้นกระต่ายในทรรศนะของคนโบราณจึงมองว่าสัมพันธ์กับดวงจันทร์ (แม้กระทั่งสำนวนไทยยังมีคำว่า กระต่ายหมายจันทร์ ซึ่งหมายถึง ผู้ชายหมายปองผู้หญิงมีฐานะดีกว่า ) และอุปนิสัยของกระต่ายนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่ตามพื้นดิน มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ดังเช่น คำพรรณนาในกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ แต่งขึ้นในคราวพระองค์ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปทรงนมัสการรอยพระพุทธบาทสระบุรี ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
กระต่ายหลายพงศ์พรรค์ เต้นชมจันทร์หันตัวตาม
ซ่อนซุ้มชุมเหลือหลาม ยามออกเล่นเต้นชมกัน ฯ
กระต่ายหลายพวกพ้อง พรรค์งาม
ชมชื่นแสงจันทร์ตาม ไล่เหล้น
ซ่อนซุ้มชุมเหลือหลาม หลายเหล่า
ยามเมื่อออกเล่นเต้น โลดเลี้ยวชมกัน ฯ
และในโคลง “สัตวาภิธาน” แต่งโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ (สมัยรัชกาลที่ ๕) ระบุถึงชื่อสัตว์จำพวกต่าง ๆ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
กระต่ายออกเต้นตามพง ฟุบแฝงกอปรง
กระโดดแลโลดลำภอง
นอกจากนี้กระต่ายยังเป็นสัตว์เลี้ยงของราชสำนักมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐาน “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม” กล่าวว่าบริเวณตำหนักคูหาสวรรค์เป็นสวนกระต่าย ดังข้อความกล่าวว่า
“...มีพระตำหนักห้าห้อง ฝาเขียนทองพื้นลงรักอยู่ในกลางสวนกระต่าย ๑ มีประตูเข้าไปพระตำหนักตึกใหญ่ ผนังนอกทาแดง ชื่อพระตำหนักโคหาสวรรค์ ๑ พระตำหนักนี้เปนที่ประทับของสมเดจพระพรรวษาใหญ่ ซึ่งเปนพระราชเทวีสมเดจพระนารายน์แต่ก่อนมา ครั้นภายหลังมาเปนพระคลังฝ่ายใน...”
แม้กระทั่งในสมัยรัตนโกสินทร์ บริเวณวัดบวรสถานสุทธาวาสในเขตฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เดิมเป็นวัดหลวงชี*** สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้ทำเป็นสวนกระต่าย ดังข้อความใน “ตำนานวังหน้า” ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“...ที่วัดหลวงชี ครั้งรัชกาลที่ ๑ ทำนองจะไม่มีหลวงชีอยู่ดังแต่ก่อน กุฏิหลวงชีร้างชำรุดทรุดโทรม จึงโปรดให้รื้อกุฏิหลวงชีเสียหมด ทำที่นั้นเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย เข้าใจว่าที่ตรงนี้แต่เดิมก็เห็นจะเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย เอาอย่างพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยาจึงปรากฏว่ามีตำหนักอยู่ในนั้น...”
*ดังนั้น พ.ศ. ๒๔๘๓ จึงมีระยะเวลา ๙ เดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน-ธันวาคม
**ตรงกับ ปีเบญจศก จุลศักราช ๑๓๘๕ และ รัตนโกสินทร์ศก ๒๔๒
***หลวงชีในที่นี้หมายถึง นางชีนามว่า “นางแม้น” มารดาของนักองค์อี (ซึ่งเป็นพระราชธิดาสมเด็จพระเจ้าอุไทยราชาแห่งกัมพูชา และเป็นพระสนมของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท)
อ้างอิง
กรมศิลปากร. ไตรภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์พระมหาธรรมราชาที่ ๑ พญาลิไทย ฉบับตรวจสอบชำระใหม่. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๒๖.
กรมศิลปากร. นามพรรณพฤกษา สัตวาภิธาน และ นิติสารสาธก. กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๖๕.
กรมศิลปากร. ปฏิทินหลวงพระราชทานกับการกำหนดปีนักษัตรของไทย. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๑ มกราคม ๒๕๖๖, จาก: https://www.finearts.go.th/literatureandhistory/view/22641-ปฏิทินหลวงพระราชทานกับการกำหนดปีนักษัตรของไทย
คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๓๔.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานวังหน้า. พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพฯ: แสงดาว, ๒๕๕๓.
ส. พลายน้อย (นามแฝง). สิบสองนักษัตร. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๗.
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สบ.๒.๑๙/๔. เอกสารส่วนพระองค์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. เรื่อง วินิจฉัย จุลศักราช รัตนโกสินทร์ศก (๑๙ พ.ย. ๒๔๖๖).
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 17/5ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนายจุล กาญจนลักษณ์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ บัณฑิตการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ 2530
จำนวนหน้า 153 หน้า
หมายเหตุ หนังสืออนุสรณืในงานพระราชทานเพลิงศพนายจุล กาญจนลักษณ์
รายละเอียด หนังสือที่ระลึกงานศพ นายจุล กาญจนลักษณ์ ผู้ปรุงสุราแม่โขง กวางทองและอื่นๆประกอบด้วยเรื่อง สำคัญ ดังนี้ ประวัติผู้วายชนม์ คำไว้อาลัย พระธรรมเทศนา ของพระศาสนโสภณ วัดเทพศิรินทราวาส พระบรมราโชวาท ร.5 คู่มือทำให้มั่งมีของสมเด็จพระพุทธาจารย์ (โสมฉนโน)พระเจดีย์ไชยมงคล ของม.ร.วคึกฤทธิ์ ปราโมทย์ พระราชบัญัติสุรา พ.ศ.๒๔๙๓ ศาลเจ้าพ่อเสือของพระครูพวนโกศล (ช.อิสรานนท์ )และมงคลวันครองเรือนของศรีวัน
แนะนำ E-book หนังสือหายาก
เรื่อง อัตชีวประวัติเกิดวังปารุสก์ เล่ม 3 สมัยยุทธภัย
จุลจักรพงษ์, พันตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. อัตชีวประวัติเกิดวังปารุสก์ เล่ม 3 สมัยยุทธภัย. พระนคร: ร.พ. อุดม, 2496.
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายฟุ้ง ศรีวิจารณ์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กทม.
สำนักพิมพ์ หจก. ดอกจันทร์การพิมพ์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๓๓
จำนวนหน้า ๑๗๐ หน้า
บุตร – ธิดา ของคุณฟุ้ง ศณีวิจารณ์ จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายฟุ้ง ศรีวิจารณ์ ป.ม. , ท.ช. , ต.จ.ว. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เนื้อหาของหนังสือประกอบด้วย ๔ ส่วนคือ ส่วนแรก เป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เบื้องหลังของการสร้างวัดไทยพุทคยาประเทศอินเดีย ส่วนที่สามเป็นบทความที่นายฟุ้ง ศรีวิจารณ์ เขียนลงในหนังสือต่าง ๆ ได้แก่ เรื่อง “ส่วนสูงเป็นเหตุ” “กำเนิดดนตรีไทยเทพศิรินทร์” และ “จระเข้หางยาว” และส่วนที่สี่ เป็นโน๊ตดนตรีไทย ที่บันทึกไว้ด้วยลายมือนายฟุ้ง ศรีวิจารณ์ คัดลอกมาจากต้นฉบับจริงโดยมิได้มีการดัดแปลงแก้ไข
ขอเชิญชมนิทรรศการ "ใจเรา ใจลิง (The Monkey Mind)" โดย ชัชวาล อ่ำสมคิด ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป
ในสังคมชาวพุทธ เราถูกสอนให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน มีขึ้น มีลง มีสูง มีต่ำ มีใหม่ มีเก่า ฯลฯ ทุกอย่างมีความเสื่อมเป็นธรรมดา จิตใจมนุษย์ก็เหมือนกัน มีการแปรเปลี่ยนตลอดวัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มีความทุกข์ร้องไห้ มีความสุข สนุกสนาน ฯลฯ ไม่มีอารมณ์ใดอยู่ได้นาน ตามแต่สถานการณ์ต่างๆ จะนำพาไป ในทางพระพุทธศาสนาเปรียบจิตใจมนุษย์เหมือนลิง จิตมีเกิดดับ อุปมาเหมือนลิงท่องเที่ยวในป่าใหญ่ ห้อยโหนกิ่งไม้จากกิ่งหนึ่งไปอีกกิ่งหนึ่ง จิตมนุษย์มีการเคลื่อนไหวเฉกเช่นเดียวกัน มีความคิดที่ฟุ้งซ่านเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา การได้ทำสมาธิหรือการทำอานาปานสติเหมือนเป็นการหาหลักมามัดลิงไว้ให้สงบลงบ้าง เพื่อจะได้ใช้สติพิจารณาดูความเป็นไปของจิตใจตนเอง เมื่อพิจารณาจึงได้เห็นบางอย่าง จิตใจมนุษย์มักชื่นชอบและหลงใหลไปกับค่านิยมในสังคมได้แบบง่ายๆ กิเลศต่างๆ บำรุงจิตใจ จนกายเป็นลิงตัวใหญ่ที่มีพละกำลังมากมาย มีความทะยานอยากได้อยากมีในสิ่งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่เที่ยงแท้ เดี๋ยวก็เสื่อม
นิทรรศการ "ใจเรา ใจลิง (The Monkey Mind)" โดย ชัชวาล อ่ำสมคิด นี้เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจข้างต้น ชัชวาลใช้จิตนาการสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงรูปลักษณ์ของจิต โดยอาศัยรูปทรงของสัตว์ โดยเฉพาะลิงสายพันธุ์ต่างๆ อุปมา อุปไมย เปรียบเทียบความไม่แน่นอนของจิตใจมนุษย์ผ่านท่าทาง เรื่องราวสภาพแวดล้อม น้อมนำให้ผู้ชมผลงานสัมผัสได้ถึงจินตนาการและความงามของประติมากรรมที่ทำจากวัสดุทองสำริด นิทรรศการ ใจเรา ใจลิง (The Monkey Mind) จัดแสดงวันที่ 3 – 30 มีนาคม 2566 ณ อาคาร 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เปิดทำการวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
เลขทะเบียน : นพ.บ.439/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 32 หน้า ; 5.5 x 58.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 157 (141-148) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : เวสฺสนฺตรชาตก--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.584/3 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 189 (372-377) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
#เก๊าไม้เก๊าตอกลมแล้งชื่อทางการ : ราชพฤกษ์ ลมแล้ง ต้นไม้มงคลที่ต้นไม้ประจำชาติไทย มีการเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกราชพฤกษ์ว่า “คูน” เนื่องจากจำง่ายกว่า ทางภาคเหนือเรียกว่า “ลมแล้ง” และจะบานสีเหลืองอร่ามในช่วงเดือนเมษายนเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะเทศกาลปี๋ใหม่เมือง ข้อมูลจาก เพจอุทยานหลวงราชพฤกษ์ https://www.facebook.com/129630133792811/posts/2195581530530984/
องค์ความรู้ตอนที่ 2 ที่นำเสนอในวันนี้มีชื่อว่า "Ep.2 เมืองโบราณยะรัง = ลังกาสุกะ?" นำเสนอเกี่ยวกับชื่อ “ลังกาสุกะ” ที่ปรากฏในเอกสารโบราณต่างๆ และสันนิษฐานว่ามีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโบราณยะรัง
ลังกาสุกะ เป็นชื่อเมืองที่ปรากฏอยู่ในเอกสารโบราณ กล่าวกันว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 – 21 ผลจากการศึกษาเอกสารโบราณ นักวิชาการได้สรุปในเบื้องต้นว่าที่ตั้งของเมืองลังกาสุกะนั้นตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทรมลายูโดยมีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณ 3 จังหวัดชายแดนใต้และบริเวณเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันนักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าลังกาสุกะนั้นตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโบราณยะรัง
แต่ทั้งนี้การศึกษาเรื่องเอกสารโบราณยังมีข้อถกเถียงอีกมากมายหลายประการ การนำเสนอองค์ความรู้ในครั้งนี้เป็นเพียงทฤษฎีหนึ่งในการศึกษาเมืองลังกาสุกะที่ผ่านมา การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูลทางด้านวิชาการถือเป็นการศึกษาประวัติศาสตร์เชิงสร้างสรรค์ แต่ทั้งนี้ การศึกษาเอกสารโบราณ ยังมีปัญหาอีกมากในการนำมาใช้งาน ทั้งการอ่านหรือแปลความ หรืออคติของผู้เขียนเอง ดังนั้น การศึกษาเอกสารโบราณเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการตีความทางด้านโบราณคดี
---------------------------
Ep1 เมืองโบราณยะรัง : เมืองโบราณสำคัญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/628320109334790
Ep2 เมืองโบราณยะรัง = ลังกาสุกะ?
Ep3 เมืองโบราณยะรัง : การดำเนินงานทางด้านโบราณคดี
Ep4 เมืองโบราณยะรัง : โบราณสถานและโบราณวัตถุชิ้นพิเศษ
EP5 เมืองโบราณยะรัง : การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งโบราณสถานด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (Li-DAR)
Ep6 เมืองโบราณยะรัง : การศึกษาชายฝั่งทะเลโบราณอ่าวปัตตานี
---------------------------
อ้างอิง
กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร. พัฒนาการทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ๓ จังหวัดชายแดนใต้. สงขลา : สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา, ๒๕๖๕.
อมรา ศรีสุชาติ.ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป. กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,๒๕๕๗.
---------------------------
ข้อมูลการศึกษาลังกาสุกะเพิ่มเติม
Gustaaf Schlegel, “Geographical Notes Lang-ga-siu or Lang-ga-su and Sih-lan shan Ceylon, in T’uong Pao vol.9 No.3 (1898), 191-200
Ed. Huber, “Reviewed Work: En Oud-Javaansch geschiedkundig gedicht uit het bloeitijdperk van Madjapahit by H. Kern”in Bulletin de l'École française d'Extrême-Orient Vol.4, No. 1/2 (janvier-juin 1904), 474-475
Paul Pelliot, Deux itinéraires de Chine en Inde à la fin du VIIIe siècle in Bulletin de l'École française d'Extrême-Orient ,1904 vol 4, 131-413
G.E. Gerini, “The Nagarakretakama list of the countries on the Indo-Chinese mainland” in Journal of the Royal Asiatic Society of Great Britain & Ireland, (1905), 485-511
Charles Otto Blagden, “Siam and the Malay peninsula” in Journal of the Royal Asiatic Society of Great Britain & Ireland, (1906), 107-119
G.P. Rouffaer, Was Malaka Emporium Voor 1400 A. D., Genaamd Malajoer? En Waar Lag Woerawari, Ma-Hasin, Langka, Batoesawar? in Bijdragen tot de taal-, land- en volkenkunde, deel Ixxvii (1921), 359-569
W. Linehan, “Langkasuka The Island of Asoka” in Journal of the Malayan Branch of the Royal Asiatic Society, Vol. 21, No. 1 (144) (April 1948), pp. 119-123.
G. Ferrand, “Le Melaka, Le Melayur” in Journal Asiatique (paris), 1918, 391-484.
George Coedes, “Le royaume de Crivijaya” in Bulletin de l'École française d'Extrême-Orient ,1918 vol XVIII,no.6, 1-36. and Les états hindouisés d'Indochine et d'Indonésie (Paris : De Boccard, 1964)
Roland Braddell, “Notes on Ancient Times in Malaya - Langkasuka and Kedah” in Journal of the Malayan Branch of the Royal Asiatic Society, Vol. 23, No. 1 (151) (February, 1950), 1-36.
Paul Wheatley, “Langkasuka” in The Golden Khersonese (Kuala Lumpur : University of Malaya Press, 1961), 252 - 267.