ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

           สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญฟังการบรรยายเรื่อง "โครงการพระราชดำริป่ารักน้ำ บริษัท ดอยคำฯ : สืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธานในหลวง รัชกาลที่ 10" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ภายใต้โครงการพัฒนาและส่งเสริมหอสมุดแห่งชาติเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต ประจำปี 2566 วิทยากรโดย นายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ในวันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2566 เวลา 13.30-16.30 น. ณ อาคารดำรงราชานุภาพ ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ             และยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook Live ของสำนักหอสมุดแห่งชาติ : National Library of Thailand  (www.facebook.com/NationalLibraryThailand) ได้ในวันและเวลาดังกล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 08 6891 2548 


แผ่นจุณเจิมนี้ พบจากเมืองโบราณดงคอน อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ปัจจุบัน จัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี จังหวัดชัยนาท           แผ่นจุณเจิมนี้สร้างจากหิน โดยใช้เครื่องมือสลักลงบนแผ่นหินเป็นลวดลายนูนต่ำ มีขนาดที่วัดได้ ณ ปัจจุบัน กว้าง ๑๑.๕ เซนติเมตร ยาว ๑๕.๘ เซนติเมตร ชำรุดหักเหลือเพียงส่วนเบ้าหลุมตื้นๆ ตรงกลางและลวดลายสลักนูนต่ำบางส่วน ผิวหน้าของแผ่นจุณเจิมมีการกะเทาะหายไป หลงเหลือลวดลายหม้อน้ำ (กลศ) ลวดลายสังข์ และลวดลายส่วนด้ามของแส้จามรี (จามร) ที่เป็นเครื่องสูงอย่างหนึ่ง สันนิษฐานว่าแต่เดิมอาจมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม           มีนักวิชาการหลายท่าน สันนิษฐานว่าแผ่นจุณเจิมนี้อาจทำขึ้นเพื่อเป็นแผ่นหินรองรับหม้อน้ำ (ปูรณฆฏะ) เพื่อใช้สรงน้ำเทพและเทพี ในพิธีราชสูยะ หรือพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ทวารวดี หรืออาจเป็นไปได้ว่าแผ่นจุณเจิมนี้เบ้าตรงกลางอาจมีไว้สำหรับใส่เครื่องหอม ซึ่งอาจใช้สำหรับพราหมณ์ในการทำพิธีกรรมทางศาสนา           แผ่นจุณเจิมนี้มีการค้นพบในพื้นที่ต่างๆ บนดินแดนไทย ได้แก่ แผ่นจุณเจิมที่พบที่พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แผ่นจุณเจิมที่พบที่เมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม แผ่นจุณเจิมที่พบที่อนุเสาวรีย์กลางแจ้ง วัดพระประโทณเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และแผ่นจุณเจิมที่พบที่ บ้านหนองจิก อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี            แผ่นจุณเจิม ที่พบจากเมืองโบราณดงคอน อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาทนี้ กำหนดอายุสมัยอยู่ในวัฒนธรรมทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ หรือประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว แม้จะชำรุดไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นถึงพิธีกรรมและความเชื่อของผู้คนในวัฒนธรรมทวารวดี ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเมืองโบราณดงคอน ในอดีตเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว -------------------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล : Facebook Page พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชัยนาทมุนี https://www.facebook.com/chainatmunimuseum/posts/pfbid029B51XxeP15Wpgr5GiLwr39PWJvThc2VGdvoSa1MmgRojhVnj99mvWmaMz31Pf43Ql  


ชื่อเรื่อง                     ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาค 1 - 6ผู้แต่ง                       องค์การค้าของคุรุสภาประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ประเพณี ขนบธรรมเนียม คติชนวิทยาเลขหมู่                      390.09593 ห391ลสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์คุรุสภาปีที่พิมพ์                    2504ลักษณะวัสดุ               316 หน้าหัวเรื่อง                     พิธีศาสนาและพิธีกรรมภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกรวบรวมเกี่ยวกับประเพณีต่างๆ การทำบุญ มีทั้งหมด 6 ภาค    


ชื่อเรื่อง                    สพ.ส.74 เทพลินทองประเภทวัสดุ/มีเดีย       สมุดไทยขาวISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                  วรรณคดีลักษณะวัสดุ              158; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง                    วรรณคดี                   ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   ประวัติวัดอู่ทอง ต.โคกคราม  อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ 


#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่เจดีย์วัดพระธาตุดอยกองมู ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอนวัดพระธาตุดอยกองมู เดิมมีชื่อเรียกว่า จองป๋ายหลอย หรือ วัดปลายดอย ตั้งอยู่บนยอด “ดอยกองมู” ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองแม่ฮ่องสอน กองมูเป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า พระเจดีย์ เพราะเชื่อกันว่าเขาลูกนี้มีลักษณะเหมือนเจดีย์ .ภายในวัดมีเจดีย์ที่สำคัญ 2 องค์ คือ เจดีย์องค์ใหญ่และเจดีย์องค์เล็ก ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 ตอนที่ 177 วันที่ 27 ตุลาคม 2524 หน้า 3690 รวมทั้งวิหารหลังคาทรงยวนที่อยู่ติดกันด้วย.เจดีย์องค์ใหญ่ สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2403 (จุลศักราช 1222) โดยศรัทธาผู้สร้างคือ คหบดีชื่อ จองต่องสู่ และนางเหล็ก ผู้เป็นภรรยา ภายในบรรจุพระธาตุของพระโมคัลลานะ ที่อัญเชิญมาจากเมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ซึ่งมอบให้พระอูปั่นเต๊กต๊ะ ช่วยจัดหาพระธาตุสำหรับบรรจุภายในเจดีย์ให้ เมื่อก่อสร้างเสร็จเต็มองค์แล้ว เจดีย์มีฐานกว้างด้านละ 20 เมตร สูง 33 เมตร ต่อมาจองต่องสู่ได้จ้างช่างที่เมืองมะละแหม่งให้ทำยอดฉัตรเจดีย์ให้ แต่ว่าได้ถึงแก่ความตายเสียก่อนที่จะได้ทำพิธียกฉัตรและสมโภช หลังจากนั้นเจดีย์ได้พังลงเหลือเพียงส่วนฐานข้างล่างจากคอระฆังลงมา ปลายปีพุทธศักราช 2491 พระครูอนุสนธิศาสนากิจ เจ้าอาวาสวัดไม้ฮุง และคณะศรัทธา ได้ร่วมกันบูรณะใหม่ให้เต็มองค์และทำพิธียกฉัตรสมโภชเมื่อเดือนมีนาคม ปีพุทธศักราช 2493 ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2511 มีการบูรณะเจดีย์โดยพระครูอนุสารสาสนกรณ์ (ปานนุ วิสุทโธ) เจ้าอาวาส พร้อมคณะศรัทธา ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเจดีย์ตั้งอยู่บนฐาน 8 เหลี่ยมซ้อนกันและสร้างซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิด 8 องค์ และทำพิธียกฉัตรสมโภชเมื่อปีพุทธศักราช 2514.เจดีย์องค์เล็ก สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2417 (จุลศักราช 1236)  โดยศรัทธาผู้สร้างคือ พญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองคนแรกของแม่ฮ่องสอน ภายในบรรจุพระธาตุของพระสารีบุตร ที่อัญเชิญมาจากเมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า ซึ่งมอบให้พระอูเอ่งต๊ะก๊ะ ช่วยจัดหาพระธาตุบรรจุภายในเจดีย์ให้ และทำพิธียกฉัตรสมโภชเมื่อพุทธศักราช 2418 .แม้ว่าเจดีย์ทั้งสององค์จะสร้างไม่พร้อมกันและมีการบูรณะหลายครั้ง แต่รูปแบบปัจจุบันโดยรวมมีความคล้ายกัน คือ “เป็นเจดีย์แบบมอญ” สันนิษฐานว่าจำลองรูปแบบมาจากเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ซึ่งเป็นเจดีย์องค์สำคัญที่เชื่อว่าบรรจุพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้าโดยเจดีย์แบบมอญมีรูปแบบ คือ มีฐานลาด ไม่มีบันไดหรือลานประทักษิณ มักมีเจดีย์ขนาดเล็กที่ฐานด้านล่าง มีปลียาว ซึ่งแตกต่างจากเจดีย์แบบพม่า แต่ส่วนองค์ระฆังมีรัดอกและบัวคอเสื้อ ไม่มีบัลลังก์ มีปัทมบาทระหว่างปล้องไฉนและกับปลี เหมือนกับเจดีย์แบบพม่าเจดีย์ทั้งสององค์มีองค์ประกอบหลักเป็นเจดีย์มอญ แต่มีความแตกต่างกันที่ เจดีย์องค์ใหญ่ได้มีการบูรณะปรับเปลี่ยนเป็นฐาน 8 เหลี่ยมซ้อนกันและบริเวณฐานด้านล่างประดับซุ้มพระพุทธรูปทั้ง 8 ทิศ ส่วนเจดีย์องค์เล็กเป็นฐาน 4 เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน บริเวณฐานด้านล่างประดับซุ้มพระพุทธรูปซึ่งมีหลังคาประดับเรือนยอดทรงปราสาท 3 ยอด และที่มุมทั้ง 4 มีประดับรูปปั้นสิงห์----------------------------------------------------อ้างอิง- พระครูอนุสารสาสนกรณ์. ประวัติวัดพระธาตุดอยกองมู และจังหวัดแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ : นีลนาราการพิมพ์, 2528. หน้า 22-31.- สุรชัย จงจิตงาม. ล้านนา Art & Culture. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, 2555. หน้า 122-125.- คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดแม่ฮ่องสอน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2542. หน้า 94.- สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน. ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่. เชียงใหม่  :  เจริญวัฒน์การพิมพ์, 2549. หน้า 377.- ป้ายประวัติวัดพระธาตุดอยกองมู ที่วัดพระธาตุดอยกองมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน- เอกสารประกอบการบรรยายวิชา survey of arts history in neighboring countries คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร


         ภาพปูนปั้นเล่าเรื่อง ไมตระกันยกะ?          - ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)          - ดินเผา          - ขนาด กว้าง ๙๓.๕ ซม. ยาว ๘๔ ซม. หนา ๕ ซม.          -เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของเจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑          ภาพเล่าเรื่องไมตระกันยกะซึ่งมีปรากฎในคัมภีร์อวทานศตกะ ทิวยาวทาน อวทานกัลปดา และภัทรกัลปอวทานเล่าเรื่อง เมื่อ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพ่อค้า นามว่า ไมตระกันยกะ ก่อนออกเดินทางได้ทำร้ายมารดา เป็นผลให้ต้องผจญวิบากกรรม จนไปพบเปรตตนหนึ่งที่ทนทุกข์ทรมานจากการทูนจักรไฟบนศีรษะเพราะผลกรรมเช่นเดียวกัน พระโพธิสัตว์จึงตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าตนเองจะเป็นผู้ทูนจักรไฟนี้ตลอดไป ขออย่าให้มีใครกระทำบาปเช่นตนอีก เมื่อได้กระทำสัตย์ปฏิญาณแล้วผลแห่งความตั้งใจดีจึงทำให้จักรไฟลอยออกจากศีรษะ พ้นเคราะห์กรรมในที่สุด อย่างไรก็ตาม ภาพนี้สามารถบ่งชี้ลักาณะเครื่องต่ายกาย และลวดลายเครื่องประดับของทั้งบุรุษ และสตรีในสมัยนั้นได้   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40128   ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th


วันพุธ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 07.00 น. ร้อยเอกบุญยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่2 สุพรรณบุรี พร้อมผู้อำนวยการและหัวหน้าส่วนในสังกัด นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ พร้อมเจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ เข้าร่วมงาน "ชวนแต่งไทย ทำบุญเมืองสุพรรณ" ตามโครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี กิจกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเมืองสุพรรณบุรี ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีนายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธานในพิธี


เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าแก่ราชวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังรหัสเอกสาร ฉ/ร ๒๒๙๐


           สำนักหอสมุดแห่งชาติ ขอเชิญเข้าร่วมโครงการเผยแพร่ความรู้ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ฯ ประจำปี 2567 รับฟังการบรรยาย เรื่อง “กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ กับมรดกภูมิปัญญาทางภาษาและวัฒนธรรม” วิทยากรโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ศานติ ภักดีคำ รองเลขาธิการราชบัณฑิตยสภา ในวันพฤหัสบดี ที่ 22 สิงหาคม 2567 เวลา 13.30 - 16.30 น. ณ อาคารดำรงราชานุภาพ 2490 ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ และยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live : National Library of Thailand สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 08 6891 2548, 08 9545 3194


หนังสือเรียน ประวัติศาสตร์สยาม.  พระนคร : โรงพิมพ์ศรีหงส์, 2473.


แบบแจ้งโอนโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว




            สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญชมโครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๘“เหมันต์สุขสันต์ หฤหรรษ์สังคีต” วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เวลา ๑๗.๓๐ น. ณ สังคีตศาลา บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พบกับรายการแสดงวิพิธทัศนา ๑. การบรรเลงดนตรีไทย ๒. ระบำสวัสดิรักษา ๓. ระบำม้า ๔. ละคร เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนหึงนางลาวทอง – ลักพานางวันทอง ๕. ละครนอก เรื่องพระอภัยมณี ตอนสุดสาครจับม้ามังกร นำแสดงโดย ศิลปินสำนักการสังคีต, กำกับการแสดงโดย ปกรณ์  พรพิสุทธิ์, อำนวยการแสดงโดย ศิริพงษ์  ทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักการสังคีต             บัตรราคา ๒๐ บาท (จำหน่ายบัตรก่อนการแสดง ๑ ชั่วโมง) ณ สังคีตศาลา บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐ ๒๒๒๑ ๖๕๓๓


  "อีโก้ (Ego)" เป็นคำที่เรามักใช้เรียกที่พวกมีความมั่นใจสูงปรี๊ด หรือพวกที่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมักจะสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่เสมอ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว "อีโก้" ไม่ได้สื่อถึงด้านลบเสมอไป เพราะตัวมันเองเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติแห่งการมีตัวตนของมนุษย์ ที่มีส่วนสำคัญต่อการทำงานและความสำเร็จของแต่ละบุคคลด้วย     Ego คืออะไร ? Ego เป็นหนึ่งในรูปแบบโครงสร้างของจิตของนักจิตวิทยาผู้โด่งดัง ซิกมัน ฟรอยด์ ซึ่งประกอบด้วย 3 รูปแบบคือ Id คือ จิตไร้สำนึก เช่น สัญชาตญาณและความต้องการต่างๆ Ego คือ ตัวตนของเราที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้พฤติกรรมของเราสามารถถูกยอมรับได้ในสังคม ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมจิตไร้สำนึกหรือสัญชาติญาณของเรา เช่น กาละเทศะ บรรทัดฐาน และ วัฒนธรรม Superego คือ จิตส่วนที่เป็นแนวทางสำหรับการตัดสินใจความถูกและผิด ตามที่เราเรียนรู้ซึมซับมาจากพ่อแม่และสังคมรอบตัวของเรา พูดง่าย ๆ Ego ก็คือตัวตนของเรานี่แหละ เป็นสิ่งที่เรายึดถือและเชื่อมั่นจนกระทั่งสะท้อนออกทางพฤติกรรมของเรา ถ้าสนใจลองไปศึกษา Structural Model of the Psyche ต่อได้นะ Ego ส่งผลกับการทำงานยังไง ? คนที่มี Ego สูง (เชื่อมั่นถือมั่นในตัวเองสูง) จะสามารถต้านทานแรงกดดันของสภาพแวดล้อมและสังคมได้ ไม่ถูกครอบงำ โดยผู้อื่น และสามารถชี้นำคนอื่นๆ ให้ไปในทางที่ดีหรือไม่ดีได้ คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมั่นใจในความสามารถของตัวเองสูง ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นประเด็นเพราะถ้ามี Ego สูงเกินไปจากข้อดีก็อาจกลายเป็นข้อเสียได้ เช่น กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง จนทำให้มีปัญหาในการสื่อสารและรับฟังผู้อื่น มีปัญหาในการทำงานเป็นทีม กดขี่ผู้อื่น ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดี เพราะจิตใจที่เป็นเด็กน้อยมันบอกว่า "เราเป็นคนที่ถูกเสมอ" จนคนรอบข้างอาจจะตั้งคำถามว่า "โตมายังไง ?" ในทางกลับกัน ถ้าไม่มี Ego หรือมีในระดับที่ต่ำเกินไปก็จะกลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่สามารถลงมือทำสิ่งต่าง ๆ และถูกบงการและกดขี่ได้ง่าย ดังนั้นคนที่สามารถบริหาร Ego ได้จึงเป็นผู้ที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในชีวิตและการทำงาน วิธีบริหาร Ego เบื้องต้น แม้ว่าเราจะมั่นใจว่าเราเป็นคนที่มี Ego อยู่ในระดับที่พอดีอยู่แล้ว แต่เราสามารถบริหารให้มันดียิ่งขึ้นได้โดย พูดให้น้อยลง ตั้งใจรับฟังผู้อื่นให้มากขึ้น ตั้งใจทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วง มากกว่าที่พูดไปเรื่อย ยอมรับความรับผิดชอบและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง หัดอ่อนน้อมถ่อมตน ยืดหยุ่น และทบทวนพฤติกรรมที่แสดงออกอยู่เสมอ แม้ว่าเราจะมีอายุมากกว่าผู้ร่วมงาน หรือมีตำแหน่งที่สูงกว่าผู้ร่วมงาน เรียนรู้อยู่เสมอ อย่ายึดติดกับความสำเร็จ ความรู้ และประสบการณ์ในอดีต เพราะปัจจัยต่าง ๆ ในโลกล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความทะนงตนจะขัดขวางการเรียนรู้ชีวิตของเรา   สุดท้ายนี้ต้องบอกว่า... "เรามี Ego สูงได้นะ แต่ต้องเก่งให้เท่า Ego ที่มีด้วย"   อ้างอิง: https://www.britannica.com/topic/ego-philosophy-and-psychology ขอขอบคุณบทความตั้งต้น https://blog.cariber.co/post/what-is-ego  


black ribbon.